8 ขั้นตอน สร้างกลยุทธ์ Digital Marketing ให้สำเร็จ มีอะไรบ้าง?

Digital Marketing

Digital Marketing

Digital Marketing เมื่อการบริโภคเนื้อหาส่วนใหญ่ของผู้คนในยุคนี้มากระจุกรวมกันราวกับดอกเห็ดอยู่บนโลกออนไลน์ในหลายแพลตฟอร์ม แบรนด์ต่างๆ จึงต้องปรับตัวด้วยการสร้างกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้ตอบโจทย์ เพื่อพิชิตใจผู้บริโภคที่หลากหลายให้ได้ในที่สุด หลายแบรนด์ประสบความสำเร็จ อีกหลายแบรนด์อาจพบกับความยากลำบากในการพิชิตเป้าหมายที่วางเอาไว้ อาจเพราะเกิดความผิดพลาดบางอย่างในกลยุทธ์ที่สร้างขึ้น หรือเพราะความผันผวนที่เกินคาดเดาของโลกยุค Digital Transformation ก็สุดแล้วแต่ อย่างไรก็ตามการวางแผนการตลาดดิจิทัลไม่เคยเป็นเรื่องง่าย เมื่อช่องทางในการรับข่าวสารของผู้คน กระจายอยู่ในหลายแพลตฟอร์ม แต่หากเราวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอนครบทั้งกระบวนการ ความสำเร็จก็คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม วันนี้ Talka จะพาทุกคนมารู้จักกับโลกของดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งให้มากขึ้น รวมถึงขั้นตอนสำคัญต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณสร้างกลยุทธ์ดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งให้ประสบความสำเร็จได้ครับ

Digital Marketing คืออะไร

Digital Marketing

Digital Marketing คืออะไร?

Gartner บริษัทวิจัยและให้คำปรึกษาระดับโลกได้ให้คำจำกัดความ “Digital Marketing” หรือ “การตลาดดิจิทัล” เอาไว้ว่า คือ ชุดของเทคนิค เทคโนโลยี และข้อมูลต่างๆ ที่ช่วยให้การตลาด สามารถสร้างผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดและปรับปรุงกระบวนการที่จำเป็นในการสนทนาได้อย่างต่อเนื่องกับผู้ที่มีอิทธิพลและผู้ซื้อ นำมาสู่การกำหนดเป้าหมาย สร้างลูกค้าและรักษาลูกค้าไว้ได้ในที่สุด ซึ่งถ้าเราจะพูดให้ชัดเจนขึ้น ก็คือ การใช้ช่องทางดิจิทัลเพื่อทำการตลาดผลิตภัณฑ์และบริการเพื่อเข้าถึงผู้บริโภค ทั้ง เว็บไซต์ อุปกรณ์มือถือ โซเชียลมีเดีย เสิร์ชเอ็นจิ้น และช่องทางอื่นๆ ที่คล้ายคลึงกัน เป็นต้นหากจะว่าไปแล้วการตลาดดิจิทัลเกี่ยวข้องกับหลักการเดียวกันกับการตลาดแบบดั้งเดิม และมักถูกมองว่าเป็นวิธีใหม่สำหรับบริษัทในการเข้าถึงผู้บริโภคและทำความเข้าใจพฤติกรรมของพวกเขา ซึ่งการจะทำให้กลยุทธ์การตลาดประสบความสำเร็จได้ ต้องใช้ทั้งความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ ที่ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญหรือนักการตลาดเฉพาะทาง ถ้าจะมองภาพให้ชัดขึ้นไปอีกขั้น เราจะมาจำแนก เป็นประเภทกันครับ ว่าการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งมีวิธีการอย่างไรบ้าง

1. Search Engine Optimization (SEO)

เป้าหมายของกลยุทธ์ SEO คือ การทำให้ธุรกิจมีอันดับสูงขึ้นในผลการค้นหาของ Google ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะช่วยเพิ่มปริมาณการใช้เครื่องมือค้นหาไปยังเว็บไซต์ของธุรกิจ เพื่อให้บรรลุกลยุทธ์นี้นักการตลาดจะทำการวิจัยคำและวลีที่ผู้บริโภคใช้ในการค้นหาข้อมูลออนไลน์ และเลือกใช้คำเหล่านั้นในเนื้อหาของตนเองซึ่งเมื่อมีการค้นหาคำหรือวลีนั้นๆ ก็จะช่วยเพิ่ม Traffic ในการเข้าชมเว็บไซต์และนำมาซึ่งโอกาสที่ดีของแบรนด์และธุรกิจในท้ายที่สุด

2. Pay per Click (PPC)

เช่นเดียวกับการทำ SEO กลยุทธ์แบบ Pay per Click เป็นหนึ่งในวิธีเพิ่มปริมาณการค้นหาให้กับธุรกิจออนไลน์ แต่เป็นวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายเพื่อผลลัพธ์ที่ดีในผลการค้นหาของ Google เป็นรูปแบบการตลาดดิจิทัลระยะสั้น หมายความว่าเมื่อคุณไม่จ่ายเงินแล้ว โฆษณาก็จะไม่อยู่ในตำแหน่งนั้นอีกต่อไป เมื่อมีคนคลิกที่โฆษณาและเข้าสู่เว็บไซต์คุณจะสามารถใช้จ่ายเงินจำนวนเท่าใดก็ได้ในการโฆษณาแบบจ่ายต่อคลิก บางครั้งอาจเห็นผลลัพธ์ที่ดีจากการลงทุนเพียงไม่กี่พันบาท แต่บริษัทขนาดใหญ่จำนวนมากใช้เงินหลายหมื่นต่อเดือนในการจ่ายต่อคลิก 

3. Cost per Mile (CPM)

CPM เป็นรูปแบบการซื้อพื้นที่โฆษณาแบบโปรแกรม ทั้งโฆษณาแบบดิสเพลย์ หรือ โฆษณาวิดีโอ ซึ่งมีการวัดต้นทุนต่อการแสดงผลพันครั้ง ซึ่งหมายถึง ค่าใช้จ่ายที่กำหนดต่อการแสดงผล 1,000 ครั้ง CPM คือ รูปแบบการกำหนดราคาที่แบรนด์จ่ายเงินจำนวนหนึ่งสำหรับการแสดงผล 1,000 ครั้ง หรือ ตามจำนวนครั้งที่โฆษณาปรากฏขึ้น CPM เป็นที่นิยมในผู้เผยแพร่โฆษณาขนาดใหญ่ ซึ่งผู้ลงโฆษณาจะจ่ายราคาที่กำหนดตามจำนวนครั้งที่โฆษณาถูกเห็นเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส

4. Social Media Marketing (SMM)

กลยุทธ์นี้รวมถึงทุกอย่างที่ธุรกิจหรือแบรนด์ทำเพื่อเชื่อมต่อกับผู้บริโภคผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง Facebook Tiktok Line หรือ Instagram เป็นต้น แม้ผู้บริโภคในยุคนี้คุ้นเคยกับโซเชียลมีเดีย แต่นักการตลาดก็จำเป็นต้องเข้าหาพวกเขาด้วยแนวทางแบบบูรณาการและมีกลยุทธ์ การตลาดบนโซเชียลมีเดียเป็นมากกว่าแค่การสร้างโพสต์สำหรับช่องทางต่างๆ การตอบกลับความคิดเห็น หรือ อินโฟกราฟิกที่มีข้อความ แต่ยังรวมถึงการใช้งานเครื่องมือออนไลน์มากมายที่พร้อมทำงานแบบอัตโนมัติอย่างถูกที่ถูกเวลา เช่น เครื่องมือที่ช่วยกำหนดเวลาลงโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เป็นต้น

5. Content Marketing

หรือ การตลาดเนื้อหา เป็นกระบวนการและแนวปฏิบัติในการสร้าง และจัดการข้อความที่แบรนด์ใช้ในการสื่อสารกับกลุ่มเป้ามหมาย อาทิ วิดีโอ รูปภาพ กราฟิก บทความ และอื่นๆ อีกมากมาย ที่เผยแพร่ผ่านสื่อในช่องทางของแบรนด์ เช่นเว็บไซต์ หรือ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ เนื้อหาเหล่านี้ใช้เพื่อบอกเล่าเรื่องราวที่ช่วยให้แบรนด์สร้างและรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าตลอดจนผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าและผู้ชมอื่นๆ เพื่อกระตุ้นการรับรู้ สร้างความต้องการ สร้างอิทธิพลต่อความชอบ และสร้างความภักดีของกลุ่มเป้าหมายและผู้บริโภค ซึ่งตัวชี้วัด (Metrics) ที่น่าสนใจสำหรับการวางเป้าหมายทำ Content Marketing นั้นมีหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ จำนวนผู้เข้าชมเว็บ (Page View) ผู้ติดตาม (Follower / Subscriber)  Engagement เช่น ยอดไลค์ ยอดแชร์ หรือการแสดงความคิดเห็น ตลอดจนรายได้ที่ได้ต่อการลงทุน (ROI) เป็นต้น

6. Mobile Marketing

การทำดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งประเภทนี้ เน้นที่การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์บนสมาร์ทโฟนหรือแท็บเล็ตเป็นหลัก การตลาดบนมือถือเข้าถึงผู้คนผ่านข้อความที่ยิงตรงสู่กลุ่มเป้าหมาย โดยนักการตลาดสามารถปรับแต่งข้อเสนอหรือเนื้อหาพิเศษให้เข้ากับสถานที่หรือเวลาทางภูมิศาสตร์ได้ เช่น เมื่อลูกค้าเดินเข้าไปในร้านค้าหรือเข้าไปในงานต่างๆ เป็นต้น กลยุทธ์การตลาดผ่านช่องทางนี้ มีข้อดีคือต้นทุนต่ำกว่ากลยุทธ์อื่นๆ และสามารถสื่อสารกับผู้บริโภคได้โดยตรง ทั้งยังช่วยเรื่องการส่งสารที่ตกหล่น ที่สำคัญสามารถวัดผลได้เป็นตัวเลขที่ชัดเจน

7. Video Marketing

การตลาดวีดีโอ คือ ส่วนหนึ่งของ Content Marketing ปัจจุบันมีการใช้กลยุทธ์การตลาดวิดีโอเพื่อขับเคลื่อนผลลัพธ์ที่ดีของกระบวนการทางการตลาด ทุกวันนี้พฤติกรรมของผู้คนที่กำลังสนใจจะซื้อผลิตภัณฑ์ต่างๆ มักมีวีดีโอมักเข้ามาเป็นส่วนสำคัญระหว่างขั้นตอนของการตัดสินใจ เช่น เปิดดูรีวิวที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการบางอย่าง หรือบางคนใช้เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และดูว่าผู้อื่นใช้งานอย่างไร เป็นต้น ซึ่งกลยุทธ์ Video Marketing นั้นเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางว่ามีส่วนช่วยให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น 

8. Email Marketing

แม้จะมีโซเชียลมีเดีย แอปพลิเคชันมือถือ และช่องทางการสื่อสารอื่นๆ เกิดขึ้นมากมาย แต่การทำการตลาดผ่าน Email Marketing ก็ยังเป็นหนึ่งในเทคนิคการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดเนื้อหา ด้วยการมอบคุณค่าให้แก่ผู้บริโภค และเปลี่ยนผู้ชมให้เป็นลูกค้าเมื่อเวลาผ่านไป ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดผ่านอีเมลไม่เพียงแต่ต้องรู้วิธีสร้างแคมเปญที่น่าสนใจเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสมที่สุด ตลอดจนมีทักษะในการวิเคราะห์ปฏิสัมพันธ์และข้อมูลของลูกค้าและตัดสินใจเชิงกลยุทธ์จากข้อมูลดังกล่าว

9. Marketing Analytics

ข้อดีที่สำคัญประการหนึ่งของการตลาดดิจิทัล คือ ความสามารถในการติดตามและวัดผลได้อย่างละเอียด ในทางกลับกัน การตลาดยุคดั้งเดิมมีชิ้นส่วนทางการตลาดที่สามารถติดตามวัดผลได้เพียงอย่างเดียว คือ คูปอง หากลูกค้าใช้คูปอง เราจะรู้ว่าข้อความนั้นถูกกระตุ้นได้ดีเพียงใด แต่ในปัจจุบันการวิเคราะห์ในมิติของการตลาดดิจิทัลด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือ MarTech ต่างๆ ช่วยให้นักการตลาดสามารถติดตามพฤติกรรมของผู้ใช้ในระดับที่มีรายละเอียดสูงได้ เช่น พวกเขาคลิกลิงก์กี่ครั้ง ใช้เวลาบนหน้าเว็บนานเท่าใด เปิดอีเมลบ่อยเพียงใด และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ด้วยข้อมูลจำนวนมหาศาลที่มีอยู่เกี่ยวกับประสิทธิภาพการตลาดดิจิทัล นักการตลาดจำเป็นต้องเข้าใจอย่างแท้จริงว่าข้อมูลแต่ละส่วนหมายถึงอะไร และจะนำไปปรับใช้กับกลยุทธ์ได้อย่างไร

10. Instant Message Marketing

ปัจจุบันการใช้กลยุทธ์ข้อความโต้ตอบแบบทันทีนั้นเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนอกจากแพลตฟอร์มอย่าง Line แล้ว แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเกือบทั้งหมด ยังมีฟีเจอร์การส่งข้อความถึงผู้ใช้โดยตรง (Direct Message) ซึ่งถือเป็นโอกาสที่ยอดเยี่ยมสำหรับกลยุทธ์ทางการตลาด โดยเฉพาะเมื่อลูกค้าของคุณต้องการการสนับสนุน พวกเขาสามารถติดต่อกับช่องทางเหล่านี้เพื่อรับคำตอบได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลดีต่อแบรนด์ในด้านการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า

11. Affiliate Marketing

การตลาดแบบ Affiliate Marketing คือ การที่แบรนด์เจาะกลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มว่าจะ “สนใจหรือซื้อ” สินค้าและผลิตภัณฑ์ ด้วยวิธีในการสื่อสารกับกลุ่มเหล่านี้ผ่านช่องทางที่หลากหลาย เช่น การสร้างบทความ หรือคอนเทนต์ที่หลากหลายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ ทั้ง Facebook Page Instagram หรือ TikTok ฯลฯ วัตถุประสงค์คือการเพิ่มปริมาณของ Conversion ต่างๆ อาทิ จำนวนการคลิกเพื่อทำการสั่งสินค้า การติดต่อเจ้าหน้าที่เพื่อสอบถามข้อมูล การลงทะเบียน หรือดาวน์โหลดแอปเพื่อยินดีรับข่าวสารจากแบรนด์ เป็นต้น ซึ่งวิธีการคือนำลิงค์ของชิ้นงานที่สร้างขึ้นไปโปรโมตผ่านช่องทางการสือสารต่างๆ 

ผู้ผลิตเนื้อหา หรือ Content Writer จะได้รับมอบหมายจากแต่ละ Conversion ที่ได้รับสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการ กล่าวคือ ผู้ผลิตเนื้อหา ไม่ว่าจะเป็น บล็อกเกอร์ หรือ อินฟลูเอนเซอร์ จะทำหน้าที่เสมือนทีมขายสำหรับแบรนด์ คอยสร้างเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและเป็นต้นฉบับของตนเอง โดยกล่าวถึงหรือสนับสนุน บริการ/ผลิตภัณฑ์ โดยใช้ลิงก์ที่กำหนดขึ้นพ่วงเข้าไปในชิ้นงานด้วย หากผู้ชมคลิกที่ลิ้งค์เพื่อซื้อ จะมีการจ่ายเงิน หรือ ค่าคอมมิชชันสำหรับการขายแต่ละครั้ง  ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องหลักๆ ในกลยุทธ์นี้โดยทั่วไปได้แก่ ผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ ผู้ที่มี Facebook Page หรือ บล็อคเกอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และสุดท้ายคือลูกค้า ที่ทำการตัดสินใจซื้อ

12. Influencer Marketing

คือ การที่แบรนด์เลือกใช้ผู้ที่มีชื่อเสียงมาช่วยในการโปรโมตแบรนด์ด้วยวิธีการต่างๆ ที่หลากหลาย เนื่องจาก Influencer คือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องที่มีผู้ติดตามจำนวนมากที่มักจะสนใจในสิ่งที่พวกเขาพูดหรือกระทำบางอย่าง แบรนด์จำนวนมากใช้การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์เป็นส่วนหนึ่งในกลยุทธ์และได้ผลลัพธ์ที่ดี แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้าง เช่น คนดังเหล่านี้อาจพูดหรือมีพฤติกรรมอะไรบางอย่างในชีวิตส่วนตัวที่ส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ในทางลบได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง เพราะความภักดีของผู้ติดตามของอินฟลูเอนเซอร์แต่ละคนนั้นอาจแปรเปลี่ยนเป็นลูกค้าใหม่จำนวนมากที่เข้ามาสู่การเป็นผู้บริโภคหรือลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ได้ 

13. Audio Marketing

ในยุคทองของสมาร์ทโฟน กลยุทธ์ Audio Marketing เช่น การสร้างพอดคาสต์ หรือ ไฟล์เสียงออดิโอดิจิทัล ถูกใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยพอดคาสต์ สามารถดึงดูดผู้ฟังโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาอยู่ระหว่างการเดินทาง หรือทำอะไรบางอย่าง เช่น ทำความสะอาดบ้าน หรือ ออกกำลังกาย หากแบรนด์ทราบนิสัยของเป้าหมาย อาจนึกถึงหัวข้อสำหรับพอดแคสต์ของคุณที่มีความสัมพันธ์กับกิจกรรมที่กลุ่มเป้าหมายอาจทำในขณะที่กำลังฟังอยู่ ด้วยวิธีนี้ คุณสามารถแทรกผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณตามความเหมาะสมของบริบทและเปลี่ยนการตลาดด้วยเสียงให้เป็นโอกาสในการขายครั้งใหญ่ได้

14. Virtual Reality Marketing

 VR หรือ Virtual Reality อาจเป็นเรื่องใหม่ในโลกของการตลาดดิจิทัล แต่ความจริงคือมันได้เข้ามาอยู่ในชีวิตของเราแล้ว ที่สำคัญยังเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่นักการตลาดสามารถใช้เพื่อการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะมันสามารถมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำต่อแบรนด์ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการ ได้เป็นอย่างดี หรือเรียกได้ว่าช่วยสร้างความแตกต่างมาสู่แบรนด์ในกลุ่มตลาดเดียวกัน Virtual Reality Marketing จะเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับแนวคิดสมัยใหม่ซึ่งตอบโจทย์คนยุคใหม่หรือโดยเฉพาะคน Gen Z ที่สำคัญมันจะเป็นกลยุทธ์สที่ทำให้ธุรกิจอยู่ในตำแหน่งที่เป็นนวัตกรรมใหม่ก่อนเวลาหรือเรียกว่าผู้นำเทรนด์ได้ไม่ยาก

15. Remarketing

Remarketing หรือ Retargeting เป็นกลยุทธ์การตลาดที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายโดยเฉพาะในวงการ E-Commerce เป็นกลยุทธ์การทำโฆษณาซ้ำไปหากลุ่มเป้าหมายที่อาจเคยเข้าเว็บไซต์ของเรา หรือ เคยเห็นโพสต์บางประเภทของเรา เป้าหมายคือเพื่อดึงดูดหรือโน้มน้าวให้พวกเขากลับมาทำ Conversion หรือ ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์หรือบริการให้เสร็จสิ้น พูดง่ายๆ ให้เห็นภาพก็เหมือนกับการที่เราเข้าแพลตฟอร์มช้อปปิ้งออนไลน์ต่างๆ เพื่อดูสินค้าที่กำลังสนใจแต่ยังไม่ได้ตัดสินใจซื้อ เมื่อเราดูสินค้าเสร็จ และกลับมาเปิด Facebook เราจะเห็นว่ามีโพสต์โฆษณาสินค้าที่เราเคยดูมาตามหลอกหลอนอยู่ตลอดนั่นเองครับ

8 ขั้นตอน สร้างกลยุทธ์ Digital Marketing

Digital Marketing

8 ขั้นตอน สร้างกลยุทธ์ Digital Marketing

มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่าดิจิทัลมาร์เก็ตติ้งเป็นสาขาที่มีแนวทางปฏิบัติที่ค่อนข้างหลากหลาย มีการใช้วิธีดึงดูดลูกค้าผ่านอีเมล การตลาดเนื้อหา แพลตฟอร์มการค้นหา โซเชียลมีเดีย และอื่นๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่นักการตลาดดิจิทัลต้องเผชิญ คือ การสร้างความแตกต่างในโลกที่เต็มไปด้วยโฆษณา ดังนั้นการวางกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้มีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เมื่อคุณรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ประเภทต่างๆ ก็ถึงเวลารู้ถึงพื้นฐานเกี่ยวกับการสร้างกลยุทธ์ ซึ่งมีหลายสิ่งหลายอย่างที่สามารถช่วยเหลือ หรือขัดขวางความสำเร็จของกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลได้ ต่อไปนี้คือสิ่งที่คุณต้องลงมือทำเพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ของคุณจะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

1. วิเคราะห์จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ อุปสรรค 

สิ่งแรกที่คุณต้องทำในการพัฒนาแผนการตลาดดิจิทัล คือ การวิเคราะห์ SWOT เพื่อพิจารณาถึง จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และภัยคุกคามสำหรับบริษัทของคุณและตลาดโดยรวม เราจำเป็นต้องทำความคุ้นเคยกับระบบนิเวศที่เราดำเนินการอยู่ ความต้องการของลูกค้าคืออะไร และพวกเขาจะแก้ไขได้ที่ไหน การใช้เทคนิคการเปรียบเทียบเป็นแนวทางปฏิบัติทั่วไปในบริษัทต่างๆ เพื่อระบุแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและเรื่องราวความสำเร็จ และดึงตัวอย่างสำหรับแผนการตลาดดิจิทัลของคุณ  นอกจากนี้เรายังต้องทำการศึกษาภายในองค์กรเพื่อให้ทราบว่าสถานการณ์ของบริษัทหรือแบรนด์ในยุคดิจิทัลเป็นอย่างไร เช่น เว็บไซต์ของเรามุ่งเน้นที่ลูกค้าหรือไม่ การใช้งานและประสบการณ์การท่องเว็บเป็นอย่างไร? เราอัปเดตบทความเป็นระยะหรือไม่ ตำแหน่งปัจจุบันของเว็บไซต์ของเราเป็นอย่างไร? และการปรากฏตัวบนโซเชียลมีเดียของเราเป็นแบบไหน เป็นต้น

2. สร้างตัวตนของลูกค้า

ในยุคที่การแข่งขันสูง การสร้าง Customer Persona หรือ การสร้างตัวตนของลูกค้าได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งคุณจำเป็นต้องรู้ว่าใคร คือ กลุ่มเป้าหมายของคุณก่อนที่คุณจะพยายามเข้าถึงพวกเขาได้สำเร็จ โดยใช้ข้อมูลการวิจัยทางการตลาดและการเก็บข้อมูลพฤติกรรม เพื่อนำมากำหนดบุคลิก วิเคราะห์และอธิบายลักษณะของลูกค้า ด้วยการทำความเข้าใจลูกค้าจากข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative) เพื่อที่จะได้ “ตัวแทนกลุ่มเป้าหมาย” หรือ ลูกค้าในอุดมคติ ซึ่งจะทำให้เราเห็นภาพของการตัดสินใจของลูกค้า ตลอดจนพฤติกรรมต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น และในที่สุดก็จะสามารถเข้าถึงความคาดหวังของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดนั่นเองครับ

3. กำหนดเป้าหมาย

นักการตลาดมืออาชีพทุกคนรู้ดีว่าขั้นตอนนี้สำคัญเพียงใด เพราะหากไม่มีเป้าหมาย กลยุทธ์ก็จะใช้งานไม่ได้ การกำหนดเป้าหมายให้ชัดก่อนจึงเป็นงานหลักที่ต้องทำเสมอ ดังนั้นต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป้าหมายที่คุณพัฒนาขึ้นนั้นเหมาะสมและวัดผลได้ นอกจากนี้คุณต้องถามตัวเองว่าคุณหวังว่าจะบรรลุผลสำเร็จด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดได้อย่างไร ซึ่งเมื่อคุณมีที่ยืนในตลาด และมีจุดแข็งในใจจากการวิเคราะห์ SWOT แล้ว ให้พยายามกำหนดเป้าหมายบางอย่างเพื่อสร้างแนวคิดที่ชัดเจนว่าการกระทำของคุณจะนำพาคุณไปที่ใด ซึ่งทุกสิ่งที่คุณวางแผนจะต้องทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเหล่านั้น คุณสามารถพัฒนาแผนการตลาดดิจิทัลโดยคำนึงถึงเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจง วัดผลได้ บรรลุได้ มีความเกี่ยวข้อง และตรงเวลา 

4. ทำความเข้าใจเกี่ยวกับช่องทางการขายดิจิทัล

ช่องทางการขายดิจิทัลเป็นส่วนโค้งของเส้นทางของผู้บริโภค จากคนแปลกหน้าไปสู่ลูกค้าที่ซื้อซ้ำหรือลูกค้าระยะยาว แบรนด์ที่มีสถานะทางดิจิทัลที่แข็งแกร่งย่อมสามารถใช้ช่องทางต่างๆ ที่มีเพื่อบรรลุเป้าหมายทางการตลาดดิจิทัลได้โดยกล่าวถึงแต่ละขั้นตอนของช่องทางด้วยเครื่องมือการตลาดที่ลงตัว ซึ่งการทำความเข้าใจช่องทางการขายดิจิทัลหมายความว่าคุณจำเป็นต้องเข้าใจแต่ละขั้นตอนของช่องทางและเครื่องมือดิจิทัลที่เหมาะสมที่จะช่วยเสริมความสำเร็จของแคมเปญการตลาดของคุณได้นั่นเอง

5. ค้นหาช่องทางของลูกค้า 

ขั้นตอนนี้ คือการค้นหาลูกค้าในทุกโอกาส รวมถึงค้นหาช่องทางที่พวกเขาเชื่อมต่อกับแบรนด์ เช่น สมมติว่าผลิตภัณฑ์ของคุณเป็น ขนมปังไร้สารกันบูด ลูกค้าที่คาดหวังของคุณอาจเป็นผู้ที่กำลังค้นหาขนมปังไร้สารกันบูดใน Google และจบลงด้วยการอ่านบทความที่กล่าวถึงแบรนด์คุณ หรือคนที่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์ขนมปังไร้สารกันบูด และเห็นโพสต์บน Facebook ที่ได้รับการสนับสนุนของคุณเกี่ยวกับอันตรายจากสารกันบูด สุดท้ายก็คือผู้ที่ซื้อผลิตภัณของคุณไปแล้ว และตอนนี้คุณสามารถรวมคนเหล่านี้ไว้ในแคมเปญอีเมลที่มีตัวเลือกในการซื้อผลิตภัณฑ์ในราคาพิเศษ เมื่อคุณมีข้อมูลนี้แล้ว คุณสามารถเริ่มกำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกันผ่านช่องทางต่างๆ ได้ เป็นต้น

6. วางแผนทำคอนเทนต์ 

ขั้นตอนนี้ คือ การพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดเฉพาะสำหรับทุกช่องทางที่แบรนด์เลือกใช้ในการดึงดูดลูกค้า หรือการใช้คอนเทนต์เพื่อผลักดันให้เป้าหมายเป็นจริงได้ โดยผู้รับผิดชอบต้องวางแผนว่าจะใช้เนื้อหาอย่างไรเพื่อให้บรรลุเป้าหมายการตลาดในแต่ละช่องทางและจะใช้วิธีดำเนินการอย่างไรให้ตอบสนองต่อเป้าหมายเฉพาะ นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องมีไทม์ไลน์ในการเผยแพร่ชิ้นงานที่ชัดเจนเพื่อให้การดำเนินการมีกำหนดเวลาที่สามารถวัดผลได้ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของการทำแผนการตลาดเนื้อหา

7. ใช้กลยุทธ์และยุทธวิธีดิจิทัล

ตามวัตถุประสงค์ของการตลาด เราจะเริ่มดำเนินการตามกลยุทธ์ต่างๆ เช่น ทำแคมเปญผ่านอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือเพิ่มประสิทธิภาพเว็บด้วยกลยุทธ์ SEO  ตลอดจนการโฆษณาผ่านสื่อแบบชำระเงิน เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีสัมมนาผ่านเว็บเพื่อสนับสนุนการดาวน์โหลด e-book สร้างอินโฟกราฟิก หรือ เอกสารประเภทใดก็ได้ รวมถึงการเสนอส่วนลด โปรโมชัน และข้อเสนอต่างๆ เมื่อช่องทางในการจัดการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงข้อมูลเกี่ยวกับลูกค้าเพิ่มขึ้น สิ่งสำคัญคือต้องใช้เครื่องมือ Marketing Automation ที่ช่วยให้แคมเปญการตลาดดำเนินไปได้แบบอัตโนมัติ ด้วยกลยุทธ์และกลวิธีเหล่านี้ คุณจะสามารถสร้างเวิร์กโฟลว์ที่ช่วยให้คุณสร้างแคมเปญได้หลายร้อยแคมเปญด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว คุณจะปรับแต่งข้อความตามบุคลิกของกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ นอกจากนี้คุณยังสามารถแปลงพวกเขาให้เป็นลูกค้าได้เช่นกัน ซึ่งขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ของพวกเขากับแบรนด์

8. การวัดผลและ KPI

หลังจากที่คุณได้ออกแบบและใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลของคุณแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือขั้นตอนที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่ง นั่นคือ การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการดำเนินการตามแผน ซึ่งปัจจุบันแพลตฟอร์ม Analytics ต่างๆ ได้กลายเป็นเสาหลักสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพและการใช้จ่ายด้านการตลาดดิจิทัลให้ประสบความสำเร็จ เราต้องวัดทุกการกระทำโดยใช้ KPI เพื่อดูว่าเราได้รับ ROI ที่คาดหวังหรือไม่ การวัดประสิทธิภาพของกลยุทธ์และกิจกรรมที่เราดำเนินการในกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลจะช่วยให้เราแก้ไขสิ่งที่ใช้ไม่ได้ผล เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่เราตั้งไว้ 

ประโยชน์ของกลยุทธ์ Digital Marketing

Digital Marketing

มาถึงตรงนี้ เราจะสรุปถึงประโยชน์ของ Digital Marketing  ที่มีอยู่หลายประการดังนี้ครับ

1. Digital Marketing เข้าถึงได้ทั่วโลก (Global Reach)

การตลาดแบบดั้งเดิมถูกจำกัดโดยภูมิศาสตร์และการสร้างแคมเปญการตลาดระหว่างประเทศอาจทำได้ยาก เพราะมีราคาแพงและต้องใช้แรงงานมาก อย่างไรก็ตาม การตลาดดิจิทัลเกิดขึ้นบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งหมายความว่าการเข้าถึงที่คุณสามารถทำได้ด้วยการตลาดดิจิทัลนั้นมีมากมายมหาศาล แม้แต่เจ้าของธุรกิจในท้องถิ่นที่มีขนาดเล็กมากก็สามารถเข้าถึงผู้ชมจากต่างประเทศด้วยร้านค้าออนไลน์ได้ ซึ่งสิ่งนี้ไม่มีทางเกิดขึ้นได้ด้วยการตลาดแบบเดิมๆ หรือต้องใช้เงินจำนวนมากในการทำ การเข้าถึงออนไลน์เปิดโอกาสการเติบโตมากมายให้ธุรกิจ การรวมกันของการเข้าถึงทั่วโลกและการมองเห็นเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจใดๆ

2. Digital Marketing เข้าถึงในท้องถิ่น (Local Reach)

การเข้าถึงทั่วโลกเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของการตลาดดิจิทัล เช่นเดียวกับความสามารถในการเข้าถึงในพื้นที่เฉพาะ ซึ่งสำคัญอย่างยิ่งหากธุรกิจต้องพึ่งพาลูกค้าที่อยู่ใกล้เคียง กลยุทธ์ Local SEO และโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายในพื้นที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับแบรนด์ที่พยายามดึงดูดลูกค้ามาสู่แบรนด์ ลองนึกถึงการที่คุณสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ใกล้เคียงทั้งหมดด้วยการตลาดดิจิทัล เทียบกับการเข้าถึงที่คุณจะต้องใช้การพิมพ์ใบปลิวและแจกจ่ายไปทั่ว เราจะเห็นถึงความได้เปรียบทันทีของการตลาดดิจิทัล

3. Digital Marketing มีต้นทุนต่ำ (Lower Cost)

ไม่ว่าคุณต้องการส่งเสริมธุรกิจของคุณในประเทศหรือต่างประเทศ การตลาดดิจิทัลจะมอบโซลูชันที่คุ้มค่าแก่คุณ ช่วยให้แม้แต่บริษัทที่เล็กที่สุดสามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้โดยใช้กลยุทธ์ที่ตรงเป้าหมาย กลยุทธ์เหล่านี้ส่วนใหญ่จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เลยในการเริ่มต้น เช่น SEO โซเชียลมีเดีย และ Content Marketing อย่างไรก็ตาม การตลาดดิจิทัลทุกรูปแบบไม่เหมาะสำหรับทุกธุรกิจ และบางธุรกิจอาจมีค่าใช้จ่ายมากกว่าธุรกิจอื่นๆ ธุรกิจสามารถค้นหาโซลูชันที่เหมาะสมตามเป้าหมายทางการตลาด

4. Digital Marketing ง่ายต่อการเรียนรู้

แม้ว่าการตลาดดิจิทัลจะมีหลายแง่มุมที่ต้องเรียนรู้ แต่การเริ่มต้นเพื่อเรียนรู้โลกของดิจิทัลมาร์เกตติ้งไม่ใช่เรื่องยากในขั้นเริ่มต้น แม้จะมีความซับซ้อนจากพฤติกรรมที่แตกต่างของกลุ่มเป้าหมาย และขนาดของแคมเปญ อย่างไรก็ตาม การค้นหากลยุทธ์ที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณล้วนเป็นเรื่องของการค้นหาที่สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจได้ไม่ยากอีกต่อไปในยุคที่โลกเป็นดิจิทัลมากขึ้น

5. Digital Marketing กำหนดเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แม้ว่าคุณจะไม่มีแนวคิดที่ชัดเจนเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ แต่การตลาดดิจิทัลทำให้คุณสามารถดึงข้อมูลสำคัญต่างๆได้ เพื่อดูว่ากลุ่มเป้าหมายใดจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แคมเปญของคุณ มีตัวเลือกต่างๆ มากมายในการกำหนดเป้าหมาย เช่น การใช้พลังของ Keyword สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพกลไกค้นหา (SEO) หรือการจ่ายต่อคลิก (PPC) หรือ ข้อมูลประชากรบนโซเชียลมีเดีย องค์ประกอบการกำหนดเป้าหมายจำนวนมหาศาลที่มีอยู่นี้ ทำให้แน่ใจได้ว่าทุกแคมเปญจะเข้าถึงผู้ชมที่เหมาะสมได้ นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณวิเคราะห์พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงของลูกค้าและแก้ไขแคมเปญสำหรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น ความสามารถในการเข้าใจความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าอย่างรวดเร็วนี้เป็นหนทางสู่ความสำเร็จที่แน่นอนสำหรับบริษัทใดๆ

6. Digital Marketing มีกลยุทธ์หลากหลายให้เลือกใช้

มีกลยุทธ์ต่างๆ ของการตลาดดิจิทัลที่ธุรกิจประเภทต่างๆ สามารถใช้ได้ ธุรกิจ B2B ที่สนใจในการได้รับโอกาสในการขายจากต่างประเทศอาจมีกลยุทธ์ที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงจากธุรกิจในท้องถิ่นแบบ B2C แม้ว่าบางบริษัทจะได้รับประโยชน์จากการตลาดเนื้อหาและ SEO ได้ง่ายขึ้น แต่บริษัทอื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากแคมเปญโฆษณาที่อิงตาม Conversion สิ่งสำคัญคือต้องวิเคราะห์ผลลัพธ์และพัฒนากลยุทธ์และวิธีการให้ดีขึ้นตลอดเวลา กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ดำเนินการอย่างยอดเยี่ยม คือ กลยุทธ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็วตามความต้องการของการเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ

7. Digital Marketing เป็นรูปแบบการตลาดที่วัดผลได้มากที่สุด

คุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการตลาดของคุณได้ผล? วิธีเดียวที่จะทราบได้อย่างแน่นอน คือ การวัดความสำเร็จของคุณเมื่อเวลาผ่านไป การติดตามความสำเร็จของแคมเปญการตลาดแบบดั้งเดิม เช่น โฆษณาทางวิทยุหรือไปรษณีย์อาจเป็นเรื่องยาก แต่สำหรับกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่คุณใช้เป็นสิ่งที่สามารถวัดผลได้ ประโยชน์นี้ คือ เหตุผลทุกประการที่คุณต้องลงทุนในการตลาดดิจิทัล การวิเคราะห์การตลาดดิจิทัลทำให้ไม่ต้องคาดเดาว่าการตลาดของคุณได้ผลจริงหรือไม่ ด้วยการวัดผลแคมเปญของคุณแบบเรียลไทม์คุณจะเห็นว่ากลวิธีใดได้ผลและไม่ได้ผล จากนั้นคุณสามารถปรับแต่งแคมเปญของคุณเพื่อความสำเร็จที่มากขึ้น คุณยังสามารถนำข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากกระบวนการมาปรับปรุงแคมเปญในอนาคตได้อีกด้วย

8. Digital Marketing ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม

ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการตลาดดิจิทัล คือการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น ผู้ใช้สามารถแชร์ Blog โพสต์ เช่น รูปภาพ บันทึกวิดีโอ หรือมีส่วนร่วมกับเว็บไซต์ของคุณผ่านการคลิกโฆษณาที่เสียค่าใช้จ่าย ส่วนที่ดีที่สุดคือสามารถวัดการกระทำทั้งหมดเหล่านี้ได้ สิ่งนี้ช่วยให้คุณสร้างโพสต์ที่น่าดึงดูดยิ่งขึ้นเพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์หรือเพิ่มยอดขาย ยิ่งคุณมีส่วนร่วมทางออนไลน์มากเท่าไหร่ คุณก็จะได้ลูกค้าที่ภักดีมากขึ้นเท่านั้น ธุรกิจที่ใช้รูปแบบการมีส่วนร่วมอย่างมีประสิทธิภาพในกลยุทธ์ออนไลน์ของตนจะสามารถเปลี่ยนทราฟฟิกที่เย็นจัดเป็นลูกค้าประจำได้ง่ายขึ้น

 

 

 

 

แหล่งที่มา :

https://www.simplilearn.com/

https://www.wearemarketing.com/blog/

https://www.lyfemarketing.com/blog

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *