การโฆษณาบน Facebook สามารถเป็นเครื่องมือการตลาดที่ยอดเยี่ยมสำหรับธุรกิจที่เพิ่งเริ่มต้นใหม่หรือธุรกิจขนาดเล็ก เนื่องจาก Facebook มีฟีเจอร์การรายงานผลที่ครอบคลุมเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจนว่างบประมาณการตลาดถูกใช้ไปอย่างไร มีอะไรได้ผลและอะไรที่ยังต้องปรับปรุง นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในการกำหนดเป้าหมายที่ไม่เหมือนใคร ธุรกิจต่างๆ จึงสามารถใช้โฆษณาของตัวเองเพื่อดึงดูดผู้ชมที่เหมาะสมที่สุดได้ วันนี้เราจะมาพูดถึงความสามารถของ Facebook Ad ที่พร้อมช่วยเหลือธุรกิจใหม่ ร้านค้าใหม่ สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ทางการตลาด รวมถึงความสำคัญของการใช้โฆษณาในปัจจุบัน ตลอดจนเทคนิคในการยิงโฆษณาดีๆ ที่จะช่วยมือใหม่ให้สร้างยอดขายในช่วงการเริ่มต้นได้ตามเป้าครับ
Facebook Ad คืออะไร?
Facebook Ad คืออะไร?
ธุรกิจที่ต้องการความได้เปรียบในการโฆษณา การใช้ Facebook Ad ถือเป็นแนวทางที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าให้ประโยชน์แก่ธุรกิจหลายข้อ และเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญขององค์กรต่างๆ จำนวนมากFacebook Ads เป็นแพลตฟอร์มโฆษณาของ Facebook หรือ Meta ที่ช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์และบริการผ่านสื่อหรือโฆษณาที่เป็นทั้งข้อความ รูปภาพ หรือวิดีโอ เป็นช่องทางการตลาดที่บริษัทต่างๆ ใช้กันอย่างแพร่หลาย เชื่อว่าทุกคนรับรู้ถึงประโยชน์ของ Facebook ในแง่ของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ทรงอิทธิพล แต่อาจยังไม่รู้วิธีใช้ประโยชน์สูงสุดจากการโฆษณาบน Facebook ทุกวันนี้เราเคยชินกับการเลื่อนดูฟีดบน Facebook และเห็นโฆษณาที่เราแทบไม่สังเกตเห็น สำหรับนักการตลาดแล้วนี่เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างไรก็ตามคุณจะใช้โฆษณา Facebook ให้เกิดประโยชน์กับธุรกิจของคุณได้อย่างไรเดี๋ยวเราจะมากล่าวถึงกันต่อไป แต่ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนนะครับว่าโฆษณาบนเฟสบุ๊คมีกี่ประเภท
ประเภทที่แตกต่างกันของ Facebook Ads
ก่อนดำเนินการแคมเปญโฆษณาบน Facebook สิ่งสำคัญ คือต้องทำความเข้าใจว่าโฆษณาบน Facebook มีกี่ประเภท แต่ละประเภทเสนออะไรให้คุณบ้าง ซึ่ง Meta Ad Manager มีตัวเลือกโฆษณาต่างๆ มากมายเพื่อ Objective ที่แตกต่างกัน ได้แก่
1. โฆษณาแบบรูปภาพ (Image Ads)
โฆษณาแบบรูปภาพเป็นหนึ่งในประเภทโฆษณาบน Facebook ที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ภาพๆ เดียวสามารถดึงดูดความสนใจควบคู่ไปกับข้อความบรรทัดแรกและคำอธิบาย แม้ว่ามันจะดูเรียบง่ายแต่ก็มีประโยชน์อย่างมากสำหรับการโปรโมตรายการพิเศษหรือเนื้อหาที่เฉพาะเจาะจง
2. โฆษณาวิดีโอ (Video Ads)
โฆษณาวิดีโอนั้นเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้นทุกวัน พวกเขาสามารถทำงานในฟีดข่าวและสตอรี่ของ Facebook หรือสามารถแสดงเป็นโฆษณาในวิดีโอ Facebook ที่ยาวขึ้นได้ นอกจากนี้ Facebook ยังติดตามระยะเวลาที่ผู้ใช้แต่ละคนดูวิดีโอซึ่งหมายความว่าคุณสามารถใช้ข้อมูลนั้นเมื่อสร้างกลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเป้าหมายใหม่ได้
3. โพลล์โฆษณา (Poll Ads)
หรือโฆษณาแบบสำรวจความคิดเห็น เป็นรูปแบบโฆษณาที่รองรับบนเฉพาะสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้ชมมีส่วนร่วมโดยการเพิ่มแบบสำรวจสองตัวเลือกลงในโฆษณาแบบรูปภาพหรือวิดีโอก็ได้ ทั้งคุณและผู้เข้าร่วมสามารถเห็นจำนวนคำตอบ โดยดูว่าผู้ชมชอบตัวเลือกใดมากกว่า โพลล์โฆษณานี้มีประโยชน์เพราะคุณสามารถดูสิ่งที่ผู้ชมชื่นชอบได้โดยตรง
4. โฆษณาแบบหมุน (Carousel Ads)
หรือโฆษณาแบบหมุน เหมาะสำหรับการแสดงรายการสินค้าที่สามารถใส่รูปภาพหรือวิดีโอได้สูงสุด 10 รายการเพื่อเน้นการนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการ ตัวเลือกนี้สามารถใช้เพื่อแสดงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายในแคมเปญ คุณลักษณะผลิตภัณฑ์หรือบริการ หรือเพื่อแสดงการอัปเดตใหม่ Facebook Ad Manager อนุญาตให้ผู้ใช้เชื่อมต่อลิงก์ไปยังแต่ละภาพ ทำให้ลูกค้ามีโอกาสค้นหาข้อมูลบนเว็บไซต์หรือร้านค้าของคุณ
5. โฆษณาแบบสไลด์โชว์ (Slideshow Ads)
คล้ายกับโฆษณาแบบ Carousel โฆษณาแบบสไลด์โชว์นั้นช่วยให้คุณสร้างโฆษณาวิดีโอสั้นต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อดึงดูดความสนใจของผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ข้อดีอย่างหนึ่งของโฆษณาแบบสไลด์โชว์คือ ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้โฆษณาวิดีโอในขนาดและงบประมาณที่น้อยกว่ามาก โฆษณาแบบสไลด์โชว์นั้นรวดเร็วและราคาไม่แพงที่สำคัญคือมีประสิทธิภาพ
6. โฆษณาแบบคอลเลกชัน (Collection Ads)
เป็นโฆษณารูปแบบพิเศษที่แสดงผลเฉพาะบนสมาร์ทโฟนเท่านั้น ประกอบด้วยภาพหน้าปกหรือวิดีโอ ตามด้วยภาพผลิตภัณฑ์ 4 ภาพด้านล่าง ที่ใส่ได้ทั้งรูปภาพและวิดีโอ รูปภาพผลิตภัณฑ์เป็นส่วนหนึ่งของแคตตาล็อกผลิตภัณฑ์ที่ผู้ลงโฆษณาอัปโหลดไปยัง Facebook หรือ Instagram โดยปรากฏบนฟีดข่าวของผู้ใช้ เหมาะสำหรับการแสดงรายการสินค้าเหมือนกับ Carousel Ads ช่วยให้ผู้ใช้ได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้งานจริงก่อนตัดสินใจตัดสินใจซื้อโดยสามารถคาดเดาการใช้งานในสภาพจริงได้ มันได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้คนดูและซื้อผลิตภัณฑ์และบริการของคุณจากอุปกรณ์เคลื่อนที่ได้ง่ายขึ้น ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าสามารถเรียกดูคอลเลกชันของคุณได้โดยไม่ต้องออกจากแอป Facebook
7. โฆษณาอินสแตนท์เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Instant Experiences Ads)
หรือเรียกอีกอย่างว่า Canvas เป็นรูปแบบโฆษณาแบบเต็มหน้าจอสำหรับมือถือซึ่งโหลดได้เร็วกว่าการเข้าเว็บไซต์บนมือถือนอกแอป Facebook ด้วย Instant Experiences ผู้ใช้แต่ละคนสามารถดูวิดีโอและภาพถ่าย เลื่อนดูภาพหมุนและดูสินค้าที่ติดแท็กได้ในโฆษณาเดียวซึ่งเป็นรูปแบบการโฆษณาที่ถูกพัฒนาให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานบนมือถือ เมื่อผู้ใช้งานกดบนตัวโฆษณาจะเด้งหน้า Pop-up ในรูปแบบเต็มจอ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถ Interact กับโฆษณาได้ไม่ว่าจะเลื่อนดูสินค้าที่สนใจ ปัดสไลด์ภาพไปมา กรอกแบบฟอร์ม หรือรับชมวิดีโอได้ภายในโฆษณาเดียว
8. โฆษณาแบบลีด (Lead Ads)
Lead Ads สามารถใช้ได้บนสมาร์ทโฟนเท่านั้น มันได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณรวบรวมข้อมูลจากผู้ใช้ที่สนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ ช่วยให้คุณค้นหาผู้ที่อาจสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณและรวบรวมข้อมูลจากพวกเขา เป็นรูปแบบโฆษณาที่เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีจุดประสงค์ในการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายที่สนใจสินค้าหรือบริการ และ ให้พวกเขาลงทะเบียนผ่าน Instant Forms โดยคุณสามารถรวบรวมข้อมูลติดต่อ เช่น ชื่อ ที่อยู่อีเมล หมายเลขโทรศัพท์ และอื่นๆ คุณยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพรูปแบบต่างๆ และรวมคำถามที่กำหนดเองเพื่อช่วยให้คุณเข้าใจผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าและบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจของคุณได้
9. โฆษณาแบบไดนามิก (Dynamic Ads)
โฆษณาแบบไดนามิกถูกสร้างขึ้นเพื่อให้ธุรกิจต่างๆ สามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์เป้าหมายให้กับลูกค้าที่น่าจะสนใจผลิตภัณฑ์เหล่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นประโยชน์สำหรับการกำหนดเป้าหมายลูกค้าที่ทิ้งสินค้าไว้ในรถเข็น หากต้องการใช้โฆษณาแบบไดนามิก คุณจำเป็นต้องมีบัญชี Meta Business Manager
10. โฆษณาเมสเซนเจอร์ (Messenger Ads)
โฆษณา Messenger เป็นช่องทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพอีกรูปแบบหนึ่ง โดยจะมีการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องบน Facebook Messenger นอกจากนี้ยังเป็นวิธีที่ช่วยส่งเสริมการสื่อสารกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าผ่านการส่งข้อความโดยตรงของแอปพลิเคชัน Messenger การวางโฆษณาใน Messenger นั้นทำได้ง่ายๆ เพียงแค่กดปุ่มใน Meta/Facebook Ad Manager เมื่อเสร็จแล้ว โฆษณาจะปรากฏเป็นตัวเลือกการแชทซึ่งช่วยให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าสามารถติดต่อธุรกิจของคุณได้โดยตรง
11. โฆษณาสตอรี่ (Stories Ads)
เรื่องราวคือสิ่งที่ผู้คนแบ่งปันและค้นพบเนื้อหาที่พวกเขาสนใจด้วยวิธีที่รวดเร็วและสนุกสนาน Facebook IQ พบว่าผู้คน 68% กล่าวว่าพวกเขาใช้สตอรี่บนแอปอย่างน้อยสามแอปเป็นประจำ และ 63% วางแผนที่จะใช้มากขึ้นในอนาคต ตอนนี้คุณสามารถรวม Facebook Stories เป็นตำแหน่งเพิ่มเติมในแคมเปญโฆษณา โดยส่งข้อความของคุณแบบเต็มหน้าจอที่สมจริง เพื่อขยายการเข้าถึงและปรับปรุงประสิทธิภาพของแคมเปญโฆษณาเรื่องราวของคุณใน Messenger ได้เช่นกัน โฆษณาบน Facebook Stories รองรับทุกวัตถุประสงค์ที่มีอยู่ ทั้งการเข้าถึง การรับรู้ถึงแบรนด์ การดูวิดีโอ การติดตั้งแอป คอนเวอร์ชั่น ปริมาณการเข้าชม และการสร้างลูกค้าเป้าหมาย เป็นต้น
12. โฆษณาแบบ AR (Augmented Reality Ads)
โฆษณา Augmented Reality เป็นส่วนเสริมที่ค่อนข้างใหม่ ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้คุณลักษณะต่างๆ เช่น ฟิลเตอร์และแอนิเมชันเพื่อให้ผู้คนโต้ตอบกับแบรนด์ได้อย่างสนุกสนานและแปลกใหม่ โฆษณาเหล่านี้สร้างขึ้นโดยคำนึงถึงการแบ่งปัน ลูกค้าที่ใช้ตัวกรองที่กำหนดเองของคุณสามารถแชร์ออนไลน์ได้ ขยายการเข้าถึงโฆษณาของคุณผ่านการบอกต่อแบบปากต่อปาก (Word of Mouth) โฆษณาแบบ AR กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องโดยคาดการณ์ว่าในปี 2024 จะมีผู้ใช้งานเทคโนโลยี AR ทั่วโลกถึง 1.73 พันล้านคนภายในสิ้นปีนี้ เนื่องจากผู้บริโภคเปลี่ยนพฤติกรรมมาสู่ออนไลน์มากขึ้นกว่าเดิม
เหตุผลที่ธุรกิจ ควรใช้ Facebook Ad
เหตุผลที่ธุรกิจ ควรใช้ Facebook Ad
การโฆษณาบน Facebook เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการดึงดูดตลาดเป้าหมายของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ใช้งาน Facebook มากกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก เมื่อโฆษณาปรากฏในฟีดข่าว คุณจะสามารถดึงดูดการเข้าชมและลูกค้าใหม่ๆ ได้ คุณยังสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าปัจจุบันของคุณใหม่ได้อีกด้วย ซึ่งต่อไปนี้คือเหตุผลที่คุณควรพิจารณาการโฆษณาบน Facebook ครับ
1. เชื่อมต่อกับตลาดเป้าหมาย
Facebook มีผู้ใช้มากกว่า 2 พันล้านคนทั่วโลก จึงไม่น่าแปลกใจว่ามันเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมสูงสุด ดังนั้นความนิยมของ Facebook เปิดโอกาสให้คุณดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ มายังธุรกิจของคุณและทำการตลาดกับพวกเขาได้
2. โฆษณา Facebook ราคาไม่แพง
การโฆษณาบน Facebook สามารถเลือกใช้งบประมาณต่ำกว่าการโฆษณาประเภทอื่นๆ อาทิ โฆษณาในนิตยสารและหนังสือพิมพ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงมาก หรือแม้แต่ แคมเปญ PPC ที่ถือว่ามีประสิทธิภาพแต่ก็อาจกินงบประมาณของคุณอย่างรวดเร็วหากคุณไม่มีทีมที่มีประสบการณ์มาดูแลบัญชีของคุณ เมื่อตั้งค่าโฆษณา Facebook คุณสามารถจำกัดจำนวนเงินที่คุณต้องการใช้ และ CPC สามารถคุ้มทุนได้มากขึ้น
3. ใช้ได้ในทุกขั้นตอนการเดินทางของผู้ซื้อ
เมื่อพูดถึงการตลาดขาเข้าหรือ Inbound Marketing การโฆษณาบนโซเชียลมีเดียสามารถใช้เพื่อมีส่วนร่วมกับผู้คนในขั้นตอนต่างๆ ของการเดินทางของผู้ซื้อ หรือ Customer Journey เมื่อเข้าใจลักษณะผู้ซื้อในอุดมคติของคุณ คุณจะสามารถสร้างโฆษณาที่จะมีส่วนร่วมกับความต้องการของพวกเขาและนำพวกเขาไปสู่ขั้นต่อไป ซึ่งคุณสามารถรวมการโฆษณาบน Facebook เข้ากับกลยุทธ์การตลาดขาเข้าของคุณได้ไม่ว่าจะเป็น
- ขั้นการรับรู้ : โฆษณาของคุณสามารถมีส่วนร่วมกับปัญหาของผู้ซื้อของคุณและช่วยให้พวกเขาเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมันและสิ่งที่พวกเขาสามารถแก้ไขได้
- ขั้นการพิจารณา : สำหรับผู้ติดต่อใดๆ ที่คุณได้รับจากโฆษณา ‘การรับรู้’ ของคุณ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายพวกเขาด้วยโฆษณาที่เสนอวิธีแก้ปัญหาที่เป็นประโยชน์เพื่อนำพวกเขาไปสู่ขั้นตอนการตัดสินใจ
- ขั้นการตัดสินใจ : ในที่สุดคุณสามารถสร้างโฆษณาที่แสดงธุรกิจของคุณ คือโซลูชันที่พวกเขากำลังมองหาและเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับพวกเขา
4. กำหนดเป้าหมายตามข้อมูลประชากรได้
หนึ่งในเหตุผลที่เป็นที่นิยมมากที่สุด เพราะโฆษณาเฟสบุ๊กสามารถกำหนดเป้าหมายตามข้อมูลประชากร หรือ Demographics ที่หลากหลาย หากคุณเป็นธุรกิจใหม่ที่ยังไม่มีรายชื่อผู้ติดต่อที่จะกำหนดเป้าหมายใหม่ คุณสามารถเริ่มต้นกำหนดเป้าหมายด้วยลูกค้ารายใหม่ได้ ผู้ชมของ Facebook นั้นค่อนข้างกว้าง ด้วยการใช้ความสามารถในการโฆษณา คุณสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายไปที่ เพศ อายุ ที่ตั้ง ตำแหน่งงาน สาขาอาชีพ และความสนใจ ของกลุ่มเป้าหมายได้
5. Remarket ให้กับลูกค้าปัจจุบันของคุณ
ตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายขั้นสูงคือ “กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดเอง” ซึ่งช่วยให้คุณกำหนดเป้าหมายผู้ติดต่อ/ลูกค้าเป้าหมายจากฐานข้อมูล CRM ของคุณได้โดยตรงบน Facebook โดยรีมาร์เก็ตติ้งไปยังฐานข้อมูลลูกค้าปัจจุบันของคุณทำให้คุณมีโอกาสเชื่อมต่อกับลูกค้าเดิมอีกครั้งด้วยการเตือนให้พวกเขากลับมาที่ธุรกิจของคุณ เมื่อคุณมีข้อเสนอพิเศษต่างๆ การใช้โฆษณาบน Facebook นั้นเป็นวิธีที่รวดเร็วและไม่เป็นทางการในการติดต่อ ไม่เหมือนอีเมล เพราะโฆษณาบน Facebook ขัดจังหวะผู้ชมน้อยกว่า
6. ทำได้ง่ายถ้าเข้าใจในฟีเจอร์ต่างๆ
อีกเหตุผลหนึ่งที่คุณไม่ควรลังเลที่จะใช้โฆษณาบน Facebook ก็คือความจริงที่ว่ามันทำได้ง่าย อย่างไรก็ตาม การสละเวลาเพื่อทำความเข้าใจกระบวนการสร้างโฆษณาและตั้งค่าตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายสามารถให้ประโยชน์มหาศาลแก่คุณจากการโฆษณาบน Facebook
ยิง Facebook Ad เริ่มต้นอย่างไร
ยิง Facebook Ad เริ่มต้นอย่างไร?
ขั้นตอนแรกให้คุณสร้าง Meta Business Manager account เสร็จแล้วให้ไปที่ตัวจัดการโฆษณาหรือตัวจัดการธุรกิจเพื่อเริ่มกระบวนการโฆษณา หลังจากนั้นให้ เลือกประเภทของแคมเปญที่ต้องการ การตัดสินใจเลือกแคมเปญที่คุณจะดำเนินการคือรากฐานของความพยายามในการโฆษณาของคุณ เพื่อช่วยคุณในการตัดสินใจ Facebook ได้เสนอวัตถุประสงค์ หรือ Objective ทางการตลาดหลายอย่างโดยที่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คุณต้องการให้โฆษณาของคุณบรรลุผล
ขั้นตอนที่ 1 : เลือกประเภทแคมเปญของคุณ
Facebook มีประเภทแคมเปญโฆษณาที่หลากหลายเพื่อช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมายและวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน แคมเปญแต่ละประเภทออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายผลลัพธ์และการโต้ตอบของผู้ชมที่เฉพาะเจาะจง ต่อไปนี้คือ ประเภทของแคมเปญโฆษณา Facebook ครับ
- การรับรู้ถึงแบรนด์ (Brand Awareness)
Facebook แนะนำให้ใช้โฆษณาประเภทนี้เพื่อเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณโดยการเข้าถึงผู้คนที่มีแนวโน้มจะสนใจโฆษณานี้ โฆษณาประเภทนี้ได้รับการปรับให้เหมาะสมอย่างชัดเจนสำหรับการดูโดยผู้คนในช่องหรือผู้ชมที่เฉพาะเจาะจง
- การเข้าถึง (Reach)
โฆษณาเหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อแสดงโฆษณาของคุณต่อผู้ชมที่ไม่ซ้ำจำนวนสูงสุดในระหว่างแคมเปญของคุณ
- การเข้าชม (Traffic)
แคมเปญการเข้าชมได้รับการออกแบบมาเพื่อเพิ่มการเข้าชมไซต์ หน้า Landing Page หรือร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ นี่เป็นหนึ่งในประเภทโฆษณาที่พบบ่อยที่สุดบน Facebook การเข้าชมเว็บไซต์เป็นหนึ่งในเมตริกที่สำคัญที่สุดในการติดตามอีคอมเมิร์ซและธุรกิจออนไลน์
- การมีส่วนร่วม (Engagement)
แคมเปญเหล่านี้ดึงดูดผู้ชมของคุณ กระตุ้นให้พวกเขาดำเนินการ ซึ่งวัตถุประสงค์ของการมีส่วนร่วมมี 3 ประเภท ได้แก่
– การมีส่วนร่วมกับโพสต์ (Post Engagement) : เหมาะสำหรับธุรกิจขนาดเล็กที่ต้องการดึงดูดความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
– การถูกใจเพจ (Page Likes) : สิ่งนี้มุ่งเป้าไปที่การทำให้ผู้คนชอบเพจ Facebook ของธุรกิจของคุณ
– การตอบกลับกิจกรรม (Event Responses) : นี่เป็นแคมเปญที่ยอดเยี่ยมหากคุณมีร้านค้าจริงและต้องการโปรโมตกิจกรรมในร้านค้าหรือหากคุณกำลังจัดกิจกรรมพิเศษสำหรับร้านค้าออนไลน์ของคุณ
- การติดตั้งแอป (App installs)
แคมเปญประเภทนี้มีไว้สำหรับแอปซอฟต์แวร์โดยเฉพาะและใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่เท่านั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ขายแอปพลิเคชัน เนื่องจากมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้คนติดตั้งแอปของคุณบนโทรศัพท์หรือแท็ปเล็ต นอกจากนี้ยังสามารถติดตามจำนวนผู้ติดตั้ง ลงทะเบียน หรือเข้าสู่ระบบแอป
- การดูวิดีโอ (Video views)
แคมเปญวิดีโอมุ่งเน้นไปที่ Facebook การติดตามระยะเวลาที่คนดูวิดีโอของคุณ ยิ่งคนดูนานเท่าไหร่ก็ยิ่งแสดงถึงความสนใจมากขึ้นเท่านั้น โฆษณาวิดีโอที่มีความยาวตั้งแต่ 10 วินาทีขึ้นไปมีแนวโน้มที่จะได้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคุณต้องสร้างหรือกำหนดกลุ่มเป้าหมายใหม่
- การสร้างโอกาสในการขาย (Lead Generation)
วัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้ออกแบบมาเพื่อรวบรวมที่อยู่อีเมลโดยตรงบน Facebook แทนที่จะนำลูกค้าที่คาดหวังไปยังหน้า Landing Page เพื่อรวบรวมอีเมล คุณสามารถเข้าถึงพวกเขาได้โดยตรงจาก Facebook ซึ่งจำเป็นต้องมีลำดับการติดตามที่มีประสิทธิภาพเพื่อให้ได้รับความสำเร็จสูงสุดจากแคมเปญนี้ หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดคือให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซเสนอรหัสคูปอง เมื่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเลือกรับโฆษณาแบบฟอร์มโอกาสในการขายของคุณแล้ว คุณจะส่งรหัสคูปองให้พวกเขา เมื่อสร้างโฆษณาสำหรับวัตถุประสงค์ของแคมเปญนี้ คุณจะต้องสร้างแบบฟอร์มเพื่อให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ากรอก โดยแบบฟอร์มนี้ควรปรากฏขึ้นทันทีที่ผู้ชมคลิกปุ่มในโฆษณา
- ข้อความ (Messages)
แคมเปญที่อิงตามข้อความเป็นคุณลักษณะใหม่ซึ่งขึ้นอยู่กับลูกค้าที่คาดหวังการตอบกลับข้อความ เพื่อเลือกเข้าร่วมในรายชื่อผู้รับข่าวสารของคุณ ธุรกิจต่างๆ จะต้องพิจารณาว่าผู้รับหลายคน (หากไม่ใช่ส่วนใหญ่) จะไม่ตอบกลับข้อความ หากคุณต้องการใช้ตัวเลือกนี้เป็นตัวเลือกในการบริการลูกค้า การถามว่าประสบการณ์การซื้อของลูกค้าเป็นอย่างไรบ้าง? อาจเป็นวิธีที่สมบูรณ์แบบสำหรับ E-Commerce นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้เพื่อโปรโมตบล็อกของคุณหรือเป็นส่วนเสริมของแคมเปญอีเมลของคุณ
- การแปลง (Conversions)
แน่นอนว่าโฆษณาแบบคอนเวอร์ชั่นได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับการสร้างคอนเวอร์ชั่น เป้าหมายคือเพื่อดึงดูดผู้คนมาที่เว็บไซต์ของคุณ หรือเพื่อให้พวกเขากรอกแบบฟอร์ม เพื่อให้แน่ใจว่า Facebook สามารถติดตามการขายของคุณได้ คุณอาจต้องใช้ Meta Pixel บนเว็บไซต์ หรือร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณด้วย
- ขายแคตตาล็อก (Catalog sales)
โฆษณาขายแค็ตตาล็อกเหมาะสำหรับอีคอมเมิร์ซ เนื่องจากโฆษณาเหล่านี้ช่วยให้คุณขายสินค้าจากแค็ตตาล็อกได้โดยตรงบนเพจ Facebook ของคุณ คุณสามารถใช้ แพลตฟอร์มสำหรับการขาย เพื่อรวมเข้ากับเพจของคุณโดยตรง จากนั้นใช้โฆษณาการขายแคตตาล็อกเพื่อโปรโมตผลิตภัณฑ์ของคุณได้
- การเข้าชมร้านค้าออนไลน์ (Store traffic)
แคมเปญโฆษณานี้เหมาะสำหรับร้านค้าที่มีหน้าร้านจริงที่ต้องการดึงดูดผู้เข้าชมให้มากขึ้น ออกแบบมาเพื่อกำหนดเป้าหมายผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงและเสนอสิ่งจูงใจเพื่อให้พวกเขาเข้าร้านของคุณ
ขั้นตอนที่ 2 : ตั้งชื่อแคมเปญของคุณ
หลังจากเลือกแคมเปญโฆษณา Facebook ที่คุณจะใช้งานแล้ว คุณจะต้องตั้งชื่อแคมเปญ หากคุณใช้งานหลายแคมเปญ สิ่งนี้จะช่วยให้ง่ายต่อการแยกแยะว่าแคมเปญใดเป็นแคมเปญใด นอกจากนี้ คุณจะต้องประกาศว่าแคมเปญโฆษณานั้นจัดอยู่ในหมวดหมู่พิเศษใดๆ เช่น การเมืองหรือไม่ เป็นต้น
-
กำหนดงบประมาณและตัวเลือกการตั้งเวลาของคุณ
คุณต้องตัดสินใจว่าจะใช้เงินเท่าใดในแคมเปญโฆษณาของคุณ คุณสามารถเลือกงบประมาณแบบรายวันหรืองบประมาณตลอดชีพ ตลอดจนกำหนดวันที่เริ่มต้นและวันที่สิ้นสุดโฆษณา หากต้องการตั้งค่าตัวเลือกการตั้งเวลานอกเหนือจากแบบวันต่อวัน คุณอาจจะต้องเลือกงบประมาณตลอดอายุการใช้งานสำหรับแคมเปญโฆษณาของคุณเพื่อให้ได้รับประสิทธิภาพสูงสุดในการแสดงผลโฆษณา
-
ตั้งค่าการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
ในการเรียกใช้แคมเปญโฆษณาที่ประสบความสำเร็จ คุณจะต้องตัดสินใจเลือกผู้ชมที่กำหนดเองที่คุณต้องการกำหนดเป้าหมาย ซึ่งสามารถจัดเรียงและเลือกตามสถานที่เป้าหมาย อายุ เพศ และภาษา นอกจากนี้ คุณสามารถกำหนดเครือข่ายผู้ชมของคุณได้ง่ายขึ้น และด้วยตัวกรองเพื่อค้นพบขนาดของกลุ่มประชากรแต่ละกลุ่ม
หากต้องการค้นหาผู้ชมเฉพาะ คุณยังสามารถเลือกตัวเลือกเหล่านี้ได้
– กำหนดเป้าหมายโดยละเอียด (Detailed targeting)
คุณสามารถใช้ฟิลด์นี้เพื่อรวมหรือไม่รวมบุคคลตามข้อมูลประชากร พฤติกรรม หรือความสนใจของพวกเขา แบบละเอียด โดยนำเสนอตัวเลือกการกำหนดเป้าหมายเฉพาะสำหรับแต่ละหมวดหมู่
– การเชื่อมต่อ (Connections)
สำหรับ ฟิลด์นี้สามารถใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายหรือยกเว้นบุคคลที่มีความสัมพันธ์หรือความสัมพันธ์กับเพจ Facebook ธุรกิจ หรือแอปพลิเคชันของคุณ ช่องการเชื่อมต่อเป็นวิธีที่ดีในการติดตามและกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่อาจไม่คุ้นเคยกับธุรกิจของคุณ
-
เลือกตำแหน่งโฆษณา Facebook
คุณจะต้องเลือกตำแหน่งที่โฆษณาของคุณจะปรากฏในที่สุด หากคุณเป็นผู้เริ่มต้นในการโฆษณาบน Facebook คุณสามารถเลือกตำแหน่งอัตโนมัติได้ ซึ่งจะทำให้โฆษณาในเครือข่ายของคุณทำงานอัตโนมัติ ตั้งแต่ Facebook ไปจนถึง Instagram อย่างไรก็ตาม หากคุณมีประสบการณ์มากขึ้น คุณสามารถวางโฆษณาของคุณในตำแหน่งที่ตั้งเฉพาะได้ ตัวเลือกสำหรับสิ่งนี้รวมถึง ประเภทอุปกรณ์ แพลตฟอร์ม ระบบปฏิบัติการ และ ตำแหน่ง
-
ความปลอดภัยของแบรนด์และการตั้งค่าต้นทุน
ส่วนความปลอดภัยของแบรนด์นั้นอนุญาตให้คุณสามารถยกเว้นเนื้อหาประเภทใดก็ตามที่คุณเห็นว่าไม่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงเว็บไซต์ วิดีโอ หรือผู้เผยแพร่เฉพาะ นอกจากนี้ คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพกลยุทธ์การเสนอราคาโฆษณาของคุณและสร้างการควบคุมต้นทุนเพื่อให้แน่ใจว่าเหมาะสมกับงบประมาณโฆษณาของคุณ
-
สร้างโฆษณาของคุณ
สุดท้าย คุณจะต้องตัดสินใจเลือกรูปแบบโฆษณาและป้อนองค์ประกอบของสื่อที่เกี่ยวข้อง นี่คือขั้นตอนที่สามารถใช้การสร้างสรรค์ให้ทีมสร้างแบรนด์และการตลาดของคุณสามารถเพิ่มสัมผัสที่สดใหม่หรือการออกแบบที่ไม่ซ้ำใครได้ หลังจากนั้น? คลิกที่ปุ่มเผยแพร่ โฆษณาของคุณก็พร้อมที่จะเริ่มต้น
เคล็ดลับยิง Facebook Ad สำหรับธุรกิจใหม่
เคล็ดลับยิง Facebook Ad สำหรับธุรกิจใหม่
การสร้างโฆษณาบน Facebook ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีแนวทางเชิงกลยุทธ์และความเข้าใจที่ดีเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ และตัวแพลตฟอร์มเอง ต่อไปนี้คือคำแนะนำทีละขั้นตอนเพื่อช่วยให้คุณยิงโฆษณาบน Facebook ที่สามารถช่วยให้ร้านค้ามือใหม่ของคุณประสบความสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้นและทำยอดขายได้เกินเป้าหมาย
1. กำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย
กำหนดเป้าหมายธุรกิจของคุณให้ชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการเข้าชมเว็บไซต์ สร้างโอกาสในการขาย หรือเพิ่มยอดขาย หริออื่นๆ นอกจากนี้ ให้ระบุกลุ่มเป้าหมายของคุณตามข้อมูลประชากร ความสนใจ พฤติกรรม และปัจจัยที่เกี่ยวข้องอื่นๆ
2. เริ่มต้นด้วยโพสต์ที่มีประสิทธิภาพ
หากคุณสนใจที่จะใช้แคมเปญโฆษณาบน Facebook ควรจะเริ่มด้วยโพสต์ที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว ซึ่งนักการตลาดบางคนอาจทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามและสนับสนุนโพสต์ที่ “ต้องการความช่วยเหลือเล็กน้อย” หากโพสต์นั้นมีส่วนร่วมกับผู้อื่นอยู่แล้ว ลองจินตนาการถึงความสนใจที่จะได้รับจากแคมเปญที่เสียค่าใช้จ่าย คุณจะเห็นความคิดเห็นเพิ่มเติมในโพสต์และการเข้าชมไซต์ของคุณสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
3. โฆษณาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วม
แน่นอนว่าเคล็ดลับที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจขนาดเล็กหรือธุรกิจใหม่ในการสร้างแคมเปญโฆษณาบน Facebook คือ การขยายการเข้าถึงของคุณด้วยโฆษณาเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในโพสต์เพจ หรือ “Engagement” แม้ว่าอัลกอริทึมของ Facebook บางโพสต์ดูเหมือนจะไม่ส่งถึงผู้ติดตามทั้งหมดการแสดงโฆษณาเพื่อการมีส่วนร่วมจะนำเนื้อหาของคุณไปยังผู้ชมที่ชอบ แสดงความคิดเห็น และโต้ตอบกับเนื้อหานั้นอยู่แล้ว หากต้องการตั้งค่าโฆษณาเพื่อการมีส่วนร่วม เพียงเลือกวัตถุประสงค์ทางการตลาดเป็น “Engagement”
4. ติดตั้ง Meta Pixel
หากคุณเป็นธุรกิจขนาดเล็กที่มีเว็บไซต์ สิ่งแรกที่คุณต้องทำคือการตั้งค่า Meta/Facebook Pixel คุณควรตั้งเป้าหมายที่จะทำสิ่งนี้ก่อนที่คุณจะเริ่มคิดเกี่ยวกับโฆษณารวมถึงการกำหนดเป้าหมายและงบประมาณแคมเปญด้วยซ้ำ พิกเซลของ Meta เป็นโค้ดชิ้นเล็กๆ ที่คุณใส่บนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งเมื่อติดตั้งแล้ว มันจะรวบรวมข้อมูลที่ช่วยให้คุณติดตามคอนเวอร์ชั่นจากโฆษณาบน Facebook และปรับใช้แคมเปญ Remarketing จากนั้น คุณสามารถตรวจสอบความสำเร็จของแคมเปญได้อย่างถูกต้อง และมั่นใจได้ว่าคุณได้รับคุณค่าจากการแสดงโฆษณาบน Facebook
5. อัปโหลดรายชื่อลูกค้าของคุณ
เมื่อเรียกใช้แคมเปญโฆษณาบน Facebook ที่กำหนดเป้าหมายใหม่หรือเน้นเนื้อหา ให้พิจารณาใช้ที่อยู่อีเมลของฐานลูกค้าที่มีอยู่ของคุณและอัปโหลดรายชื่อไปยังแพลตฟอร์มโฆษณา ซึ่งที่อยู่อีเมลเหล่านี้จะจับคู่กับผู้ใช้ Facebook เพื่อพัฒนากลุ่มเป้าหมายที่เป็นส่วนตัวสูง ด้วยการจำกัดผู้ชมเฉพาะลูกค้าปัจจุบันของคุณ โฆษณาบน Facebook สามารถปรับแต่งให้แสดงตัวตนที่สำคัญที่สุดของคุณได้
6. มุ่งเน้นไปที่ ROI ก่อน แล้วค่อยเพิ่มประสิทธิภาพ
ธุรกิจใหม่ที่ต้องการใช้แคมเปญโฆษณาบน Facebook ควรมองข้ามสถิติต่างๆ ที่อยู่ในอินเทอร์เน็ต หากคุณพบกรณีศึกษาที่แสดงอัตราการคลิก (CTR) หรือต้นทุนต่อคลิก (CPC) โดยเฉพาะ อย่าอิงแคมเปญโฆษณาของคุณจากตัวเลขเหล่านั้นเพียงอย่างเดียว เนื่องจากทุกธุรกิจและผู้ชมเป้าหมายนั้นย่อมแตกต่างกัน และตัวเลขเหล่านี้อาจแตกต่างกันไปมากขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ มากมาย เช่น โฆษณา ช่วงเวลาของสัปดาห์ ช่วงเวลาของปี ผู้ชม และอื่นๆ สิ่งหนึ่งที่คุณควรให้ความสำคัญแทนคือ ROI นั่นคือไม่ว่าคุณจะสร้างรายได้จากแคมเปญหรือไม่ก็ตาม เมื่อคุณคุ้มทุนแล้ว คุณก็เริ่มเพิ่มประสิทธิภาพโฆษณาของคุณจากตรงนั้นเพื่อพยายามเพิ่ม CTR และลด CPC จากจุดนั้น
7. ใช้เนื้อหาวิดีโอสั้น
คุณควรใช้วิดีโอสั้นในโฆษณา เนื่องจากโฆษณาวิดีโอมีผู้ใช้มากกว่าโฆษณาอื่นๆ ที่สำคัญวีดีโอคือเนื้อหาที่สามารถาร้างการมีส่วนร่วมได้มากกว่า ทดสอบโฆษณาและดูว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร หากผลลัพธ์ยังไม่น่าพอใจ ให้ปรับแต่งโฆษณาหรือกำหนดเป้าหมายแล้วลองอีกครั้ง การทดสอบและทำซ้ำอย่างต่อเนื่องเป็นหัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จนี้ และเมื่อพบวิธีที่คุณได้รับผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมแล้วให้ดำเนินการต่อและอาจลองปรับงบประมาณให้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถเพิ่มผลตอบแทนได้สูงสุด
8. หมั่นเรียนรู้ อัปเดตข้อมูลใหม่ๆ
Facebook Ads เป็นแพลตฟอร์มที่มีการพัฒนา การลงทะเบียนเข้าร่วมการฝึกอบรมออนไลน์ฟรีเกี่ยวกับโฆษณาบน Facebook ผ่าน Facebook Blueprint เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการรับความรู้และเรียนรู้หลักปฏิบัติที่ดีที่สุด หลักสูตรต่างๆ เช่น “คำแนะนำฉบับย่อสำหรับโฆษณาบนเพจ Facebook” หรือ “เคล็ดลับสำหรับโฆษณาที่ดึงดูดสายตา” คือการลงทุนที่ช่วยให้โฆษณาสร้าง ROI ที่ดีขึ้น ก่อนที่คุณจะใช้เงินก้อนแรก ให้ใช้เวลาเรียนรู้วิธีใช้แพลตฟอร์มโฆษณา Facebook ให้ทะลุปรุโปร่ง
9. สร้างผู้ชมที่คล้ายกัน Lookalike Audiences จากผู้ชมที่มีประสิทธิภาพสูง
ส่วนที่ดีที่สุดเกี่ยวกับโฆษณาบน Facebook คือนักการตลาดสามารถจำลองผู้ชมที่มีประสิทธิภาพสูงจากแคมเปญที่ประสบความสำเร็จได้ ผู้ชมที่มีส่วนร่วมสูงเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะตัดสินใจซื้อ คลิกตัวเลือก lookalike audiences หรือผู้ชมที่คล้ายกัน เมื่อเลือกผู้ชมสำหรับแคมเปญการตลาดใหม่ของคุณ Facebook จะเลือกผู้ใช้ใหม่ที่มีภูมิหลังคล้ายคลึงกับผู้ชมคุณภาพสูงของคุณโดยอัตโนมัติ
10. อย่าใช้วิธีสุ่มแบบกว้างๆ
การโฆษณาบน Facebook ทำงานโดยอิงตามอินพุตเพื่อให้อัลกอริทึมตัดสินใจว่าโฆษณาของคุณควรแสดงที่หน้าฟีดของใครด้วยการกรองและจำกัดโฆษณาของคุณให้แคบลงตามกลุ่มประชากรที่เกี่ยวข้อง คุณสามารถคาดหวังผลตอบแทนจากค่าโฆษณา หรือ ROAS ที่ดีขึ้น เนื่องจากโฆษณาของคุณจะแสดงต่อผู้ชมเฉพาะกลุ่มเท่านั้น ตัวอย่างเช่น หากคุณกำลังขายกาแฟ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายความสนใจตามบริษัทกาแฟยอดนิยมอื่นๆ ที่มีผู้ติดตามบน Facebook จำนวนมาก เป็นต้น
เมื่อคุณเปรียบเทียบวิธีการนี้กับการกำหนดเป้าหมายกลุ่มอายุเพียงอย่างเดียว มีแนวโน้มที่วิธีนี้จะให้ ROI ที่ดีขึ้น เนื่องจากเป้าหมายได้แสดงความสนใจทั่วไปในประเภทผลิตภัณฑ์ที่คุณขายแล้ว คุณสามารถใช้ข้อมูลประชากรเพื่อสร้างชุดโฆษณาแต่ละชุด คอยดูว่าอะไรได้ผล และเพิ่มเป็นสองเท่า!
11. เลียนแบบโพสต์ที่ไม่ได้รับการสนับสนุน
หากคุณต้องการให้โฆษณาของคุณปรากฏ คุณต้องเน้นในสิ่งที่ไม่ดูเหมือนโฆษณา ดูโพสต์จากผู้ที่อยู่ในกลุ่มประชากรเป้าหมายของคุณ เรียนรู้วิธีที่พวกเขาพูดในโพสต์และเลียนแบบสิ่งนั้น หากพวกเขาไม่รู้ว่าโฆษณาของคุณเป็นโฆษณาจนกระทั่งพวกเขาได้อ่าน คุณก็จะสามารถเข้าถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าได้มากกว่าผู้ที่เคยเลื่อนดู
12. ปิดท้ายด้วยคำกระตุ้นการตัดสินใจ
ใช้เวลาในการทำความเข้าใจว่าผู้ชมของคุณมีส่วนร่วมกับเนื้อหาใดมากที่สุด ซึ่งทำได้โดยการเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกที่มีอยู่จากหน้าแรกของธุรกิจของคุณ นอกจากนี้ คุณควรให้ความสนใจกับเวลาและวันที่เผยแพร่เนื้อหา เมื่อคุณเข้าใจว่าเนื้อหาและเวลาใดที่มีส่วนร่วมและยอดดูดีที่สุด คุณสามารถเริ่มปรับกลยุทธ์เนื้อหาของคุณไปสู่สิ่งที่โดนใจผู้ชมมากที่สุด อย่าลืมกระตุ้นการมีส่วนร่วมในโพสต์ของคุณโดยใช้คำกระตุ้นการตัดสินใจ หรือ CTA เมื่อเป็นไปได้ที่ท้ายโพสต์ ซึ่งสามารถทำได้ง่ายๆ เช่น “ติดตามลิงก์นี้ทันที” หรือ “แจ้งให้เราทราบว่าคุณคิดอย่างไรในส่วนความคิดเห็น” หรือแม้กระทั่ง “อย่าลืมกดปุ่มติดตามเพื่อติดตามข้อมูลล่าสุด
แหล่งที่มา :
