ส่องพลังแห่ง อินโฟกราฟิก ที่ช่วยติดปีกให้ Content Marketing

อินโฟกราฟิก

อินโฟกราฟิก -ได้กลายเป็นรูปแบบของการตลาดเนื้อหาที่ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา และด้วยเหตุผลที่ดีมากมาย ทำให้มันกลายเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เข้าใจง่ายซึ่งสามารถแชร์กับผู้ชมในวงกว้างได้อย่างง่ายดาย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่าอินโฟกราฟิก คืออะไร แบ่งออกได้เป็นกี่ประเภท และเพราะเหตุใดจึงมีประสิทธิภาพสำหรับการตลาดเนื้อหา ตลอดจนวิธีที่คุณสามารถใช้เพื่อปรับปรุงความพยายามทางการตลาดของคุณเองครับ 

อินโฟกราฟิก คืออะไร?

อินโฟกราฟิก คืออะไร

อินโฟกราฟิก คืออะไร?

ในเบื้องต้นหลายคนอาจทราบว่า “Infographic” นั้นมีที่มาจากคำว่า “Information” และ “Graphic” มารวมกัน โดยพื้นฐานแล้ว อินโฟกราฟิกเป็นรูปแบบหนึ่งของการสื่อสารด้วยภาพเพื่อดึงดูดความสนใจและเพิ่มความเข้าใจ ในยุคนี้ “อินโฟกราฟิก” ได้กลายเป็นคำอธิบายที่กว้างที่สุดของการสื่อสารด้วยภาพประเภทหนึ่ง และไม่ได้จำกัดอยู่แค่ชิ้นงานบนโลกออนไลน์เท่านั้น เพราะเชื่อว่าคุณอาจเคยเห็นสิ่งที่เรียกว่าอินโฟกราฟิกในนิตยสาร หรือแม้แต่บนผนังในห้องตรวจของแพทย์ในโรงพยาบาล เช่นเดียวกันซึ่งทั้งหมดทั้งมวล มันคือการการแสดงภาพข้อมูล หรือความรู้ โดยใช้กราฟิก รูปภาพ และข้อความสั้นๆ เพื่อสื่อสารข้อความหรือบอกเล่าเรื่องราว

เป้าหมายของอินโฟกราฟิก คือการลดความซับซ้อนของข้อมูลให้อยู่ในรูปแบบที่น่าดึงดูดและทำความเข้าใจได้ง่ายเพื่อสร้างประสิทธิภาพในการนำเสนอข้อมูลและอธิบายปัญหาที่ซับซ้อนด้วยวิธีที่นำไปสู่การเข้าใจและความเข้าใจที่ดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วความจริงแล้วลักษณะของอินโฟกราฟิกนั้นมีมาก่อนการเขียนเพื่อเผยแพร่ข้อมูลก็ว่าได้ ซึ่งภาพวาดบนผนังถ้ำน่าจะเป็นตัวอย่างแรกที่ดีที่สุด นอกจากนี้ ผู้คนยังสร้างและใช้แผนที่ก่อนที่จะมีภาษาเขียน ซึ่งสรุปแล้วมัน คือการแสดงข้อมูลหรือสารสนเทศให้เป็นภาพอินโฟกราฟิกสามารถใช้เลย์เอาต์ต่างๆ มากมาย แต่ท้ายที่สุดแล้วมักจะรวมถึงภาพ แผนภูมิ ไอคอน และส่วนสั้นๆ ของข้อความ เพื่อถ่ายทอดแนวคิด เช่นเดียวกับเนื้อหาอื่นๆ ทุกองค์ประกอบที่ใช้ควรช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจโดยรวมเกี่ยวกับหัวข้อนั้นๆ แทนที่จะเป็นส่วนเสริมของเนื้อหาที่มีอยู่แล้ว

อินโฟกราฟิกเป็นรูปแบบการตลาดเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพสูงด้วยเหตุผลหลายประการ ซึ่งต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญในเบื้องต้น
 
  • เข้าใจได้ง่าย : อินโฟกราฟิกนำเสนอข้อมูลในแบบที่คนทั่วไปสามารถเข้าใจได้ง่าย สิ่งนี้ทำให้มันเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการแบ่งหัวข้อที่ซับซ้อนและนำเสนอในรูปแบบที่เข้าถึงได้และสร้างการมีส่วนร่วม
  • แชร์ได้ : อินโฟกราฟิกสามารถแชร์บนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้ง่าย ทำให้มันกลายเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้น เช่น สามารถฝังลงในบล็อกโพสต์ แชร์บนโซเชียลมีเดีย และแม้แต่โปสเตอร์หรือใบปลิว เป็นต้น
  • เป็นที่น่าจดจำ : อินโฟกราฟิกได้รับการออกแบบให้ดึงดูดสายตา ซึ่งทำให้น่าจดจำมากกว่าเนื้อหารูปแบบอื่นๆ พวกเขาติดอยู่ในใจของผู้อ่าน ทำให้เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการตอกย้ำข้อความของแบรนด์คุณ
  • ติดตามผลลัพธ์ได้ง่าย : เราสามารถติดตามความสำเร็จของอินโฟกราฟิกได้อย่างง่ายดายผ่านการวิเคราะห์ในแต่ละแพลตฟอร์ม ที่คุณใช้ในการเผยแพร่ ซึ่งช่วยให้คุณเห็นจำนวนคนที่ดู ระยะเวลาที่พวกเขาใช้ และวิธีที่พวกเขามีปฏิสัมพันธ์กับอินโฟกราฟิกของคุณ ซึ่งข้อมูลนี้สามารถใช้เพื่อนำไปปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดเนื้อหาของคุณได้ในอนาคต

ประโยชน์ต่อการตลาดของ อินโฟกราฟิก

ประโยชน์ของ อินโฟกราฟิก

ประโยชน์ต่อการตลาดของ อินโฟกราฟิก

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ปัจจุบันอินโฟกราฟิกได้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของกลยุทธ์ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถช่วยให้คุณเข้าถึงผู้ชมได้กว้างขึ้นและปรับปรุงความพยายามทางการตลาดของคุณ ด้วยการลดความซับซ้อนของข้อมูล สร้างข้อความที่น่าจดจำ และติดตามผลลัพธ์ของคุณเพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดให้บรรลุเป้าหมายได้ นอกจากนี้ หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความนิยมที่เพิ่มขึ้นของอินโฟกราฟิก คือ ผู้คนในปัจจุบันสนใจเนื้อหาที่มีเนื้อหาเป็นภาพมากกว่าข้อมูลธรรมดา ดังนั้นเจ้าของธุรกิจออนไลน์และ นักการตลาดดิจิทัล จึงสามารถใช้อินโฟกราฟิกเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ใช้ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้เป็นอย่างดีซึ่งต่อไปนี้คือประโยชน์ของอินโฟกราฟิก บางประการ ที่นักการตลาดทุกคนควรรู้ครับ

1. อินโฟกราฟิก ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม 

ไม่น่าแปลกใจที่การผลิตเนื้อหาภาพที่น่าสนใจจะทำให้ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะอ่านและสนใจที่จะมีส่วนร่วมกับธุรกิจของคุณ ในการศึกษาล่าสุดเกี่ยวกับพลังของอินโฟกราฟิกพบว่า 42% ของนักการตลาดรายงานว่า อินโฟกราฟิกและกราฟิกต้นฉบับอื่นๆ เป็นสิ่งที่สามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ดีที่สุด ซึ่งสูงกว่าเนื้อหาภาพรูปแบบอื่นๆ มันช่วยดึงดูดผู้ติดตามของคุณด้วยการสร้างเนื้อหาภาพที่ง่ายต่อการแยกแยะและแบ่งปันกับเครือข่ายของพวกเขา ในทางกลับกัน สิ่งนี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการเข้าถึงของผู้ใช้ของคุณ ในแง่มุมต่อไปนี้

  • ใช้ภาพแทนข้อความ : อินโฟกราฟิกใช้ภาพ เช่น รูปภาพ แผนภูมิ และกราฟ ซึ่งน่าดึงดูดและมีส่วนร่วมมากกว่าเนื้อหาที่เป็นข้อความ
  • ลดความซับซ้อนของข้อมูลที่ซับซ้อน : อินโฟกราฟิกนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เรียบง่ายและทำความเข้าใจได้ง่าย และทำให้ผู้คนสามารถเข้าใจข้อมูลที่ซับซ้อนได้ง่ายขึ้น
  • ดึงดูดความสนใจ : อินโฟกราฟิกดึงดูดสายตาและสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คน ซึ่งช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมกับเนื้อหาของคุณ
  • อำนวยความสะดวกในการทำความเข้าใจ : อินโฟกราฟิกช่วยแบ่งข้อมูลที่ซับซ้อนออกเป็นชิ้นเล็กๆ ที่สามารถจัดการได้ ทำให้ผู้คนเข้าใจและเก็บรักษาข้อมูลได้ง่ายขึ้น
  • ให้มุมมองใหม่ : อินโฟกราฟิกสามารถนำเสนอข้อมูลในรูปแบบใหม่และสร้างสรรค์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความสนใจในเนื้อหาของผู้ชม
  • สนับสนุนการแบ่งปัน : อินโฟกราฟิก คือเนื้อหาที่สามารถแชร์บนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการมองเห็น และเพิ่มอัตรของการมีส่วนร่วมกับแบรนด์ได้เป็นอย่างดี

2. อินโฟกราฟิก ช่วยปรับปรุงการรับรู้ในแบรนด์ 

อินโฟกราฟิกถูกแชร์บนโซเชียลมีเดียมากกว่าเนื้อหาประเภทอื่นถึงสามเท่า ผู้ติดตามของคุณไม่เพียงแต่มีแนวโน้มที่จะแบ่งปันเนื้อหาอินโฟกราฟิกของคุณ แต่สิ่งนี้หมายถึงการนำชื่อเสียงมาสู่เว็บไซต์ของคุณเช่นเดียวกัน เว็บไซต์ยอดนิยมอาจไม่ต้องการแชร์บล็อกโพสต์ แต่อาจใช้การแชร์อินโฟกราฟิก เนื่องจากมันดึงดูดสายตามากกว่าและสามารถแชร์ได้ง่าย ในเบื้องต้น เมื่อสร้างอินโฟกราฟิกคุณจะต้องใส่โลโก้และลิงก์ไปยังเว็บไซต์หรือบล็อกโพสต์ที่เกี่ยวข้อง ด้วยวิธีนี้ ผู้ชมจะสามารถบอกได้ว่าเป็นคุณ และมองว่าคุณเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม
 
ยิ่งไปกว่านั้น มีการวิจัยมากมาย ที่แสดงให้เห็นว่าสมองของมนุษย์สามารถประมวลผลรูปภาพได้เร็วกว่าข้อความถึง 60,000 เท่า ในความเป็นจริง 93% ของการสื่อสารทั้งหมดของมนุษย์เป็นภาพ ซึ่ง อินโฟกราฟิกนำเสนอข้อมูลในรูปแบบแผนภูมิและโฟลว์ด้วยความช่วยเหลือของรูปทรงและกราฟิกที่น่าสนใจ โดยสามารถแปลงข้อมูลที่มีความยาวให้เป็นที่ดึงดูดสายตาและย่อยหรือทำความเข้าใจได้ง่าย ซึ่งในท้ายที่สุด การดึงดูดความสนใจของผู้ใช้มากขึ้นย่อมนำไปสู่การมองเห็นที่ดีขึ้นและช่วยเพิ่มมูลค่าในการจดจำสำหรับแบรนด์ของคุณ ซึ่งต่อไปนี้คือวิธีที่อินโฟกราฟิกที่สวยงามสามารถปรับปรุงการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณครับ
 
  • สามารถแชร์ได้ : เนื้อหาภาพมีแนวโน้มที่จะถูกแชร์ในโซเชียลมีเดียมากกว่าเนื้อหาประเภทอื่นถึง 40 เท่า เนื่องจากอินโฟกราฟิกที่ดีย่อมมีเนื้อหาที่ลื่นไหลและตรงประเด็น เมื่อคุณได้รวบรวมเนื้อหาภาพที่สื่อถึงข้อความที่น่าสนใจของคุณในลักษณะที่โฟกัสและเรียบง่ายแล้ว เป็นธรรมดาที่จะต้องได้รับการแบ่งปันอย่างแน่นอน ซึ่งการแชร์มากขึ้นในโซเชียลมีเดียหมายถึงการมองเห็นแบรนด์ของคุณมากขึ้นด้วยเช่นกัน สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องไม่ลืมที่จะใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มที่รูปภาพเป็นตัวชูโรง เช่น Pinterest หรือ Instagram เป็นต้น
  • เป็นมิตรกับ SEO : คุณรู้หรือไม่ว่า 55% ของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ใช้เวลาน้อยกว่า 15 วินาทีบนหน้าเว็บหนึ่งหน้า ซึ่งอินโฟกราฟิกไม่เพียงแต่จะเพิ่มเวลาที่ผู้เยี่ยมชมใช้บนเพจของคุณ แต่ยังเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณด้วย บทความที่มีภาพได้รับการดูเพิ่มขึ้น 94% กล่าวโดยย่อ อินโฟกราฟิกจะเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเพจของคุณ เปิดโอกาสให้คุณได้รับส่วนแบ่งและลิงก์ย้อนกลับ (Backlink) มากขึ้น ซึ่งมันย่อมหมายถึงอันดับที่สูงขึ้นสำหรับเว็บไซต์ของคุณในผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา
  • ภาพมักฝังอยู่ในความทรงจำของมนุษย์ : การเรียกคืนข้อมูลของภาพโดยสมองมนุษย์ คือ 65% หลังจากสามวัน เทียบกับ 10% สำหรับข้อมูลจากการได้ยิน นี่คือเหตุผลที่สำคัญที่สุดว่าทำไมอินโฟกราฟิกจึงเป็นเนื้อหาที่ยอดเยี่ยมหากคุณต้องการเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณ โดยผู้ใช้จะสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ตามปฏิสัมพันธ์ของเขากับเนื้อหาซึ่งอินโฟกราฟิกที่น่าสนใจและให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับพวกเขาจะสามารถอยู่ในใจของผู้ใช้ได้ดีกว่า
  • ง่ายต่อการทำความเข้าใจ : อินโฟกราฟิกเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการนำเสนอแนวคิดที่ซับซ้อน คุณสามารถอธิบายความสัมพันธ์และความสัมพันธ์ที่หลากหลายได้ ตลอดจนการวางผังกระบวนการ หรือนำเสนอความหลากหลายได้ในพริบตาเดียว การนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่เรียบง่ายเช่นนี้ยังแสดงถึงความเชี่ยวชาญของคุณในเรื่องนั้นๆ ที่ช่วยสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่ดีต่อแบรนด์ของคุณ
  • ปรับเปลี่ยนและฝังได้ง่าย : อินโฟกราฟิกสามารถเปลี่ยนเป็นรูปแบบและขนาดต่างๆ ได้ง่าย เพื่อให้เหมาะกับแพลตฟอร์มต่างๆ นอกจากนี้ยังฝัง (Embed) ลงในเนื้อหาต่างๆ ได้ง่าย และสามารถใช้เพื่อนำไปยังเว็บไซต์ของคุณได้ในคลิกเดียว

3. อินโฟกราฟิก ช่วยเพิ่มอันดับ SEO 

อินโฟกราฟิกถือว่าเป็นหนึ่งในเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงที่มักจะมีอัตราตีกลับ (Bounce Rate) ที่ต่ำกว่าเนื้อหาประเภทอื่นๆ หากคุณสร้างและแชร์อินโฟกราฟิกในเนื้อหาบนเว็บไซต์ของคุณ โอกาสที่เครื่องมือค้นหาจะจดจำมันและจัดอันดับเว็บไซต์ของคุณก็เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ธุรกิจของคุณเข้าใกล้อันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาไปอีกขั้น นอกจากนี้ อินโฟกราฟิกยังปรากฏในผลการค้นหาของ Google แบบรูปภาพ ซึ่งช่วยให้อันดับ SEO ของคุณดีขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วยนั่นเองครับ

นอกจากนี้ อินโฟกราฟิกยังมีประโยชน์สำหรับการสร้างลิงก์เพื่อรับลิงก์ขาเข้า (Backlink) แบบออร์แกนิก เพราะเมื่อคุณสร้างอินโฟกราฟิกที่สวยงามและดึงดูดสายตาซึ่งเต็มไปด้วยสถิติและข้อมูลอันมีค่า ผู้คนจะกระตือรือร้นที่จะแบ่งปันข้อมูลเหล่านั้น ซึ่งคุณสามารถเพิ่มโค้ดฝังลงในเว็บไซต์ของคุณได้อย่างง่ายดายเพื่อทำให้ผู้คนสามารถคัดลอกและวางอินโฟกราฟิกของคุณลงในบล็อกโพสต์หรือหน้า Landing Page ของตนเองได้ไม่ยากเพื่อลิงก์กลับมายังแหล่งที่มาบนเว็บไซต์ของคุณ
 
อีกสิ่งหนึ่งที่ยอดเยี่ยมเกี่ยวกับอินโฟกราฟิกคือการเพิ่มโอกาสในการจัดอันดับที่ดีในการค้นหารูปภาพ ซึ่งเป็นช่องทางการค้นหาของ Google ที่แยกจากกัน ไม่เพียงแต่ผู้คนมีแนวโน้มที่จะแชร์อินโฟกราฟิกของคุณเท่านั้น แต่ Google ยังมองว่าอินโฟกราฟิกนั้นสามารถแชร์ได้มากขึ้น และมีแนวโน้มที่จะทำให้เพจของคุณอยู่ในอันดับที่สูงขึ้นด้วย ซึ่งทำให้การเลือกคำหลัก วลีคำหลัก และคำถามของคุณมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในขั้นตอนนี้
 

4. อินโฟกราฟิก ช่วยเพิ่มจำนวนผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์

หากอินโฟกราฟิกของคุณสวยงามและน่าสนใจ ก็จะช่วยเพิ่มจำนวนการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณโดยธรรมชาติได้อีกทางหนึ่ง ซึ่งในทุกๆ “การคลิก” หรือ “แชร์” แน่นอนว่าจะมีคนเห็นเนื้อหาของคุณเพิ่มมากขึ้น ยิ่งทุกวันนี้ผู้คนมีแนวโน้มมากขึ้น ที่จะแชร์เนื้อหาที่เป็นรูปภาพ อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับการตลาดเนื้อหาส่วนใหญ่ ผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไรนั้น มันยังต้องคำนึงสิ่งที่คุณทำ วิธีที่คุณครีเอทและสร้างสรรค์ ตลอดจนตำแหน่งที่ดีในตลาดและอุตสาหกรรมของคุณซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการสร้างผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณให้เพิ่มมากขึ้น
 

5. อินโฟกราฟิก สร้างภาพของการเป็นผู้เชี่ยวชาญในตลาด

เชื่อหรือไม่ว่า ข้อนี้คือหนึ่งในประโยชน์ของอินโฟกราฟิกที่ดีที่สุดต่อการตลาดของคุณ  ด้วยลูกเล่นของอินโฟกราฟิกที่สามารถใช้ประโยชน์จากตาราง แผนภูมิ และข้อมูลอื่น ๆ ที่ผู้ใช้ต้องการได้ เมื่อเราใส่ข้อมูลทั้งหมดในอินโฟกราฟิก ผู้ใช้จะรู้สึกว่าคุณเป็นผู้รอบรู้และเป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนั้นๆ ที่ส่งผลดีต่อผลลัพธ์ของแบรนด์ในอนาคต กล่าวคือ มันสามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือทางออนไลน์ของคุณและแม้แต่ชื่อเสียงของคุณในตลาดที่คุณได้แสดงตัวว่ามีความเข้าใจในเรื่องนั้นเป็นอย่างดี ทั้งนี้ทั้งนั้นยังขึ้นอยู่กับการคุณแบ่งปันข้อมูลที่เกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับผู้ใช้ได้อย่างน่าสนใจและแตกต่างจากคู่แข่ง
 

ประเภทของ อินโฟกราฟิก

ประเภทของ อินโฟกราฟิก
ในขณะที่มีการนำเสนออินโฟกราฟิกที่แตกต่างกันมากมาย คุณทราบหรือไม่ว่า โดยทั่วไปอินโฟกราฟิกนั้นสามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ประเภท หลักๆ ได้แก่
 

1. เน้นการให้ข้อมูล (Information Infographic)

อินโฟกราฟิกที่เน้นการให้ข้อมูล คือ การแสดงภาพข้อมูล หรือความรู้ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความรู้และแจ้งให้ผู้ชมทราบ โดยอาศัยองค์ประกอบด้านกราฟิกต่างๆ เช่น แผนภูมิ ไดอะแกรม รูปภาพ และข้อความเพื่อทำให้ข้อมูลที่ซับซ้อนนั้นง่ายขึ้นและทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น อินโฟกราฟิกที่ให้ข้อมูลสามารถใช้อธิบายหัวข้อต่างๆ ได้หลากหลาย เช่น วิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย อินโฟกราฟิกที่เน้นให้ข้อมูลสามารถพบได้ในรูปแบบต่างๆ เช่น โปสเตอร์ ใบปลิว และบทความออนไลน์ เป็นต้น
 

2. ให้ข้อมูลเชิงสถิติ (Statistical Infographic)

อินโฟกราฟิกเชิงสถิติ คือ อินโฟกราฟิกเชิงข้อมูลที่มุ่งเน้นเฉพาะในการนำเสนอและแสดงภาพข้อมูลสถิติ โดยใช้แผนภูมิ กราฟ และการแสดงภาพข้อมูลอื่นๆ เพื่อนำเสนอข้อมูลที่เป็นตัวเลขอย่างชัดเจนและรัดกุม ทำให้ผู้ชมเข้าใจและสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ง่าย เป้าหมายของอินโฟกราฟิกเชิงสถิติ คือ การช่วยให้ผู้คนเข้าใจข้อมูลและรูปแบบเบื้องหลังตัวเลข มันเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการนำเสนอข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบที่เรียบง่ายและดึงดูดสายตา ตัวอย่างของอินโฟกราฟิกเชิงสถิติ ได้แก่ แผนภูมิวงกลม กราฟแท่ง กราฟเส้น และกราฟกระจาย เป็นต้น

3. เรียงลำดับเวลา (Timeline Infographic)

อินโฟกราฟิกแบบไทม์ไลน์ หรือเรียงลำดับเวลา คือ อินโฟกราฟิกที่ให้ข้อมูลซึ่งแสดงเหตุการณ์หรือเหตุการณ์สำคัญด้วยภาพตามความก้าวหน้าเชิงเส้นของเวลา ใช้เพื่อนำเสนอข้อมูลตามลำดับเวลา เน้นลำดับเหตุการณ์ เหตุการณ์สำคัญ หรือช่วงเวลา มักประกอบด้วยวันที่ คำอธิบายสั้นๆ รูปภาพ และข้อมูลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ เพื่อให้บริบทและให้ความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่กำลังนำเสนอ เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์สำหรับการสรุปเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ ลำดับเวลาของโครงการ วงจรชีวิต และอื่นๆ การออกแบบอินโฟกราฟิกของไทม์ไลน์อาจแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไปจะใช้เลย์เอาต์เชิงเส้นพร้อมเครื่องหมายเพื่อระบุจุดต่างๆ ของเวลา

4. เล่ากระบวนการ (Process Infographic)

อินโฟกราฟิกแบบเล่ากระบวนการ คือ อินโฟกราฟิกที่ให้ข้อมูลซึ่งแสดงภาพขั้นตอน หรือขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกันในกระบวนการ หรือขั้นตอนเฉพาะ ใช้เพื่ออธิบายวิธีการทำงานของบางสิ่งหรือวิธีการทำงานบางอย่างให้สำเร็จในลักษณะที่ชัดเจนและง่ายต่อการติดตาม อินโฟกราฟิกแบบเล่ากระบวนการ มักจะประกอบด้วยภาพประกอบ รูปภาพ และคำอธิบายข้อความง่ายๆ เพื่อแนะนำผู้ชมผ่านในแต่ละขั้นตอนของกระบวนการ โดยเป้าหมาย คือ การทำให้กระบวนการนั้นๆ เข้าใจและปฏิบัติตามได้ง่าย แม้แต่ผู้ที่อาจไม่มีความรู้หรือประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ มาก่อน อินโฟกราฟิกแบบเล่ากระบวนการมักใช้ในสาขาต่างๆ เช่น ธุรกิจ เทคโนโลยี การศึกษา และการดูแลสุขภาพ เพื่ออธิบายขั้นตอนการทำงาน และระบบที่ซับซ้อน เป็นต้น

5. เปรียบเทียบข้อมูล (Comparison Infographic)

อินโฟกราฟิกแบบเปรียบเทียบ เป็นอินโฟกราฟิกที่ใช้เพื่อนำเสนอและเปรียบเทียบข้อมูล แนวคิด ตลอดจนผลิตภัณฑ์ หรือบริการตั้งแต่ 2 ชิ้น ขึ้นไป โดยจะแสดงภาพความเหมือนและความแตกต่างระหว่างรายการที่กำลังเปรียบเทียบ เพื่อช่วยให้ผู้ชมเข้าใจและเกิดการวิเคราะห์ข้อมูล อินโฟกราฟิกการเปรียบเทียบมักจะประกอบด้วยแผนภูมิ กราฟ รูปภาพ และข้อความเพื่อเน้นคุณลักษณะหลัก สถิติ หรือลักษณะของรายการที่กำลังเปรียบเทียบ เป้าหมายของการเปรียบเทียบอินโฟกราฟิก คือ การทำให้ผู้ชมตัดสินใจได้ง่ายขึ้นโดยนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ย่อยง่าย อินโฟกราฟิกแบบเปรียบเทียบถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในด้านต่างๆ เช่น การตลาด การศึกษา และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อช่วยให้ผู้คนทำการเปรียบเทียบและตัดสินใจได้อย่างมีข้อมูล

6. เรียงลำดับชั้น (Hierarchical Infographic)

อินโฟกราฟิกแบบลำดับชั้น คือ อินโฟกราฟิกแบบแสดงข้อมูลประเภทหนึ่ง ที่แสดงข้อมูลในโครงสร้างแบบลำดับชั้นหรือเป็นชั้น โดยปกติแล้วจะมีข้อมูลที่สำคัญที่สุดอยู่ด้านบนและข้อมูลที่สำคัญรองลงมาอยู่ด้านล่างถัดลงไป ส่วนใหญ่ใช้ในการนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นระเบียบ ชัดเจน แสดงความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงระหว่างข้อมูลต่างๆ อินโฟกราฟิกแบบเรียงลำดับชั้นมักใช้รูปภาพ ข้อความ และสื่อช่วยด้านภาพ เช่น แผนภูมิลำดับ หรือแผนที่ความคิด (Mind Map) เพื่อแสดงข้อมูลในรูปแบบที่ชัดเจน และง่ายต่อการติดตาม เป้าหมายของอินโฟกราฟิกแบบลำดับชั้น คือ การช่วยให้ผู้ชมเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลต่างๆ และเพื่อแสดงลำดับชั้นของความสำคัญภายในข้อมูล อินโฟกราฟิกแบบลำดับชั้นมักใช้ในสาขาต่างๆ เช่น การจัดการโครงการ โครงสร้างองค์กร และกระบวนการตัดสินใจ เป็นต้น

7. เน้นเป็นข้อ (List Infographic)

อินโฟกราฟิกแบบเน้นเป็นข้อหรือรายการ เป็นอินโฟกราฟิกที่นำเสนอข้อมูลในรูปแบบรายการ โดยมีการใช้ชุดสัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อย หรือรายการลำดับตัวเลขเพื่อนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ชัดเจนและรัดกุม สามารถใช้เพื่อนำเสนอข้อมูลที่หลากหลาย รวมถึงข้อเท็จจริง สถิติ เคล็ดลับ และอื่นๆ เป้าหมายของอินโฟกราฟิกประเภทนี้ คือ การทำให้ผู้ชมเข้าใจและรับข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว โดยมักเน้นประเด็นสำคัญหรือแบ่งข้อมูลที่ซับซ้อนออกเป็นส่วนที่สามารถจัดการได้ อินโฟกราฟิกรายการมักใช้ในด้านต่างๆ เช่น การศึกษา การตลาด และธุรกิจ เพื่อนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่ย่อยง่าย สามารถพบได้ในหลายรูปแบบ รวมทั้งโปสเตอร์ บทความออนไลน์ และอื่นๆ

ขั้นตอนสำคัญในการสร้าง อินโฟกราฟิก

ขั้นตอนการสร้าง อินโฟกราฟิก
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า อินโฟกราฟิกเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ในด้านการตลาดเพราะช่วยในการสื่อสารข้อมูลที่ซับซ้อนในรูปแบบภาพที่ย่อยง่าย สามารถทำให้ข้อมูลและสถิติมีส่วนร่วมมากขึ้นและเข้าถึงได้สำหรับผู้ชมที่กว้างขึ้น และใช้สื่อสารข้อความของแบรนด์ด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และน่าจดจำ อินโฟกราฟิกยังสามารถเพิ่มการมองเห็นแบรนด์และการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มดิจิทัลอื่น ๆ มันจึงกลายเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในกลยุทธ์ทางการตลาดใดๆ อย่างไรก็ตามการสร้างกลยุทธ์อินโฟกราฟิกให้ประสบความสำเร็จนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเสมอไป เพราะต้องมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน บวกกับ ความท้าทายในด้านอื่นๆ อีก อาทิ
 
  • การออกแบบข้อมูล : การนำเสนอข้อมูลในลักษณะที่ดึงดูดสายตาและสื่อถึงข้อความที่ต้องการอย่างถูกต้องอาจเป็นเรื่องที่ต้องใช้การวางแผนอย่างรอบคอบ
  • การแสดงข้อมูล : การแสดงข้อมูลและสถิติที่ซับซ้อนในแบบที่เข้าใจง่ายอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีทักษะด้านการออกแบบที่จำกัด
  • ความสอดคล้องของแบรนด์ : การผสมผสานความสวยงามและข้อความของแบรนด์เข้ากับอินโฟกราฟิกอาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย และต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบและใส่ใจในรายละเอียดปลีกย่อย
  • การเล่าเรื่อง : การสร้างเรื่องเล่าที่น่าสนใจผ่านอินโฟกราฟิกต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และความเข้าใจในสิ่งที่จะสะท้อนกับกลุ่มเป้าหมาย
โดยรวมแล้ว การสร้างอินโฟกราฟิกที่จะสามารถสื่อสารข้อความของแบรนด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และดึงดูดกลุ่มเป้าหมายนั้นต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง อาทิ การออกแบบ ความรู้ด้านการตลาด และความคิดสร้างสรรค์ผสมผสานกัน แม้อาจเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คุ้มค่าในแง่ของการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นและการมองเห็นแบรนด์ ซึ่งต่อไปเราจะมาดู องค์ประกอบที่สำคัญต่างๆ ที่คุณจำเป็นต้องรวมไว้ในกลยุทธ์อินโฟกราฟิกของคุณครับ
 

1. กำหนดวัตถุประสงค์ของคุณ

ก่อนที่คุณจะเริ่มออกแบบกลยุทธ์ สิ่งสำคัญคือต้องใช้เวลาคิดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณต้องการให้อินโฟกราฟิกของคุณบรรลุผลสำเร็จ โดยคุณต้องรู้ก่อนว่าจุดประสงค์ของอินโฟกราฟิกของคุณคืออะไร? และคุณต้องการให้ผู้คนมีแอคชันอย่างไร หลังจากที่พวกเขาเห็นชิ้นงานของคุณ? ซึ่งวัตถุประสงค์ของการสร้าอินโฟกราฟิกโดยทั่วไปได้แก่
 
  • เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์
  • ให้ความรู้แก่ลูกค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการ
  • ปรับปรุงการบริการลูกค้า
  • เพิ่มยอดขาย
  • ปรับปรุงกระบวนการ
ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ได้ในขั้นแรก จะช่วยให้คุณตัดสินใจว่าจะรวมข้อมูลใดบ้าง และจะใช้วิธีในการออกแบบอินโฟกราฟิกของคุณอย่างไร
 

2. รู้จักผู้ชมของคุณ

ก่อนที่คุณจะเริ่มสร้างอินโฟกราฟิก สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่ากลุ่มเป้าหมายของคุณคือใคร ซึ่งรวมถึงข้อมูลประชากร เช่น อายุ เพศ ระดับการศึกษา และสถานที่ ตลอดจนความสนใจ ความต้องการ และรูปแบบพฤติกรรม ข้อมูลนี้จะช่วยคุณกำหนดว่าข้อมูลประเภทใดที่พวกเขาจะพบว่ามีประโยชน์และมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยง และจะนำเสนอในลักษณะที่โดนใจพวกเขาได้อย่างไร
 

3. กำหนดเป้าหมายของคุณ

คุณต้องการบรรลุอะไรด้วยชิ้นงานอินโฟกราฟิกของคุณ? ให้ความรู้ ความบันเทิง โน้มน้าวใจ หรือสร้างความตระหนักรู้หรือไม่? การรู้เป้าหมายจะช่วยให้คุณเลือกประเภทของอินโฟกราฟิกที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ชมของคุณ เช่น การแสดงข้อมูล กราฟิกข้อมูล หรือกราฟิกที่โน้มน้าวใจ และกำหนดองค์ประกอบเนื้อหาและการออกแบบที่จะช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายได้ในที่สุด
 

4. รวบรวมข้อมูลที่คุณต้องการ

เมื่อคุณรู้ว่าคุณต้องการให้อินโฟกราฟิกของคุณบรรลุเป้าหมายอะไร ก็ถึงเวลารวบรวมข้อมูลที่คุณต้องการ ข้อมูลนี้อาจมาจากการวิจัยที่คุณทำขึ้น แบบสำรวจ ความคิดเห็นของลูกค้า ข้อมูลบริษัท หรือแหล่งข้อมูลอื่นๆ เป็นต้น
 

5. เลือกองค์ประกอบการออกแบบที่เหมาะสม

อินโฟกราฟิกประกอบด้วยองค์ประกอบการออกแบบหลายอย่าง เช่น ข้อความ รูปภาพ แผนภูมิ กราฟ และไอคอน การเลือกองค์ประกอบที่เหมาะสมและการรวมเข้าด้วยกันอย่างมีประสิทธิภาพคือกุญแจสำคัญในการสร้างอินโฟกราฟิกที่ดึงดูดสายตาและให้ข้อมูล ควรพิจารณาใช้การออกแบบที่เรียบง่าย สะอาดตา ที่อ่านและติดตามได้ง่าย และใช้สี แบบอักษร และรูปภาพเพื่อทำให้ข้อมูลของคุณดูโดดเด่น
 

6. ใช้เครื่องมือออกแบบที่เหมาะสม

มีเครื่องมือมากมายสำหรับสร้างอินโฟกราฟิก ตั้งแต่เทมเพลตออนไลน์ธรรมดาไปจนถึงซอฟต์แวร์การออกแบบขั้นสูง อาทิ Adobe Photoshop อย่างไรก็ตามควรเลือกเครื่องมือที่เหมาะกับทักษะและความต้องการของโครงการของคุณมากที่สุด โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น การใช้งานง่าย ความอเนกประสงค์ และต้นทุนในการสร้างกลยุทธ์ เป็นต้น
 

7. เพิ่มเนื้อหาของคุณ

เมื่อคุณเลือกเทมเพลตหรือเครื่องมือออกแบบได้แล้ว ก็ถึงเวลาเพิ่มเนื้อหาของคุณ นี่คือขั้นตอนที่คุณจะนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาเปลี่ยนเป็นอินโฟกราฟิกที่สามารถให้ข้อมูลและดึงดูดสายตาอย่างไรก็ตาม เมื่อถึงขั้นตอนในการเพิ่มเนื้อหาของคุณ อย่าลืมพิจารณาให้รอบคอบว่าเนื้อหาของคุณ มีลักษณะที่สำคัญ 2 ข้อ ต่อไปนี้
 
  • สั้นกระชับ : อินโฟกราฟิกควรเข้าใจง่าย ดังนั้นให้แน่ใจว่าคุณใส่เฉพาะข้อมูลที่สำคัญที่สุดเท่านั้น พยายามทำให้ข้อความของคุณน้อยที่สุดและใช้สัญลักษณ์แสดงหัวข้อย่อยทุกครั้งที่ทำได้
  • ใช้ภาพที่ชัดเจน : จำไว้ว่าอินโฟกราฟิกนั้นเกี่ยวกับภาพทั้งหมด ดังนั้นให้เลือกภาพที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย ยกตัวอย่างในแพลตฟอร์ม Canva คุณสามารถอัปโหลดภาพถ่ายของคุณหรือเลือกจากภาพสต็อกกว่า 1 ล้านภาพ คุณยังสามารถเลือกจากแผนภูมิ กราฟ และกราฟิกอื่นๆ เพื่อทำให้ข้อมูลของคุณดูน่าดึงดูดยิ่งขึ้น

8. ปรับแต่งการออกแบบ

เมื่อคุณเพิ่มเนื้อหาทั้งหมดแล้ว ก็ถึงเวลาปรับแต่งการออกแบบให้เหมาะกับแบรนด์ของคุณ นี่คือที่ที่คุณจะเพิ่มสัมผัสส่วนตัวของคุณลงในอินโฟกราฟิก ทำให้มันมีเอกลักษณ์อย่างแท้จริง และทำให้เข้ากับการออกแบบแบรนด์ของคุณ สิ่งที่คุณสามารถทำได้เพื่อปรับแต่งการออกแบบ ได้แก่
 
  • ปรับเปลี่ยนสี : หากคุณใช้เทมเพลต คุณสามารถเปลี่ยนสีได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง หากคุณเริ่มต้นจากศูนย์ ให้เลือกสีแบรนด์ 2-3 สีที่คุณต้องการใช้ตลอดการออกแบบ
  • เพิ่มโลโก้ของคุณ : ดังที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ อินโฟกราฟิกเป็นโอกาสที่ดีในการแสดงเอกลักษณ์ของแบรนด์ของคุณ การเพิ่มโลโก้ของคุณลงในงานออกแบบจะช่วยให้ผู้คนจดจำบริษัทของคุณได้หลังจากดูอินโฟกราฟิก
  • เลือกฟอนต์ : การเลือกใช้ฟอนต์ให้เหมาะสมกับแบรนด์จะช่วยสื่อถึงบุคลิกของแบรนด์ของคุณ

9. บันทึกและแชร์อินโฟกราฟิกของคุณ

เมื่อคุณพอใจกับการออกแบบของคุณในขั้นสุดท้ายแล้ว ก็ถึงเวลาบันทึกและแชร์อินโฟกราฟิกของคุณ เมื่อใช้ Canva คุณสามารถดาวน์โหลดงานออกแบบของคุณเป็นไฟล์ PNG, JPG หรือ PDF คุณยังสามารถแชร์อินโฟกราฟิกของคุณโดยตรงบนโซเชียลมีเดียหรือฝัง (Embed) บนเว็บไซต์ของคุณ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงขั้นตอนแชร์อินโฟกราฟิก คุณไม่ควรลืมเรื่องสำคัญ ต่อไปนี้
 
  • ใส่คำกระตุ้นการตัดสินใจ : บอกผู้อื่นว่าคุณต้องการให้พวกเขาทำอะไรหลังจากดูอินโฟกราฟิกของคุณ คุณต้องการให้พวกเขาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณ สมัครรับจดหมายข่าว หรือซื้อสินค้าหรือไม่ การรวมคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) จะช่วยเพิ่มอัตราการแปลง การเพิ่มลิงก์ที่คลิกได้ภายในอินโฟกราฟิกของคุณเป็นทางเลือกที่ดี อย่างไรก็ตามควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ามันเป็นไปได้หรือไม่กับการออกแบบของคุณ
  • เพิ่มประสิทธิภาพสำหรับ SEO : หากคุณกำลังฝังอินโฟกราฟิกบนเว็บไซต์ของคุณ ให้ใส่คำหลักในชื่อและคำอธิบาย วิธีนี้จะช่วยให้ผู้คนพบอินโฟกราฟิกของคุณเมื่อพวกเขาค้นหาทางออนไลน์
  • แชร์บนโซเชียลมีเดีย : โซเชียลมีเดียเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มปริมาณการเข้าชมอินโฟกราฟิกของคุณ เมื่อแชร์บนโซเชียลมีเดีย ให้ใช้ภาพที่ดึงดูดใจและคำอธิบายที่จับใจ คุณยังสามารถใช้แฮชแท็กเพื่อเข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นได้อีกทางหนึ่งด้วย
  • แบ่งปันบนไซต์อินโฟกราฟิก : การแบ่งปันอินโฟกราฟิกของคุณบนไซต์ที่ส่งอินโฟกราฟิก คุณสามารถเข้าถึงผู้ที่สนใจหัวข้ออินโฟกราฟิกของคุณและผู้ที่อาจกำลังมองหาข้อมูลเพิ่มเติม
การแบ่งปันอินโฟกราฟิกของคุณบนไซต์ ช่วยให้คุณได้รับการเปิดเผยและสร้างลิงก์ย้อนกลับไปยังเว็บไซต์หรือบล็อกของคุณ ซึ่งสามารถปรับปรุงอันดับของเครื่องมือค้นหาและการมองเห็นของคุณ
 

10. วัดผลลัพธ์ของคุณ

หลังจากที่คุณแชร์อินโฟกราฟิกแล้ว การวัดผลเป็นสิ่งสำคัญเพื่อดูว่าชิ้นงานของคุณประสบความสำเร็จหรือไม่ มีเมตริกต่างๆ สองสามรายการ ที่คุณสามารถติดตามได้ รวมถึง
 
  • การเข้าชมเว็บไซต์ : ใช้ Google Analytics เพื่อดูว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับปริมาณการเข้าชมจากอินโฟกราฟิกของคุณมากน้อยเพียงใด โดยดูทั้งจากจำนวนผู้เข้าชมที่ไม่ซ้ำกันและจำนวนการดูหน้าเว็บ
  • การมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดีย : หากคุณแชร์อินโฟกราฟิกบนโซเชียลมีเดีย ให้ดูที่จำนวนไลค์ แชร์ และความคิดเห็นที่ได้รับ คุณยังสามารถติดตามจำนวนผู้ติดตามใหม่ที่คุณได้รับหลังจากแชร์อินโฟกราฟิก
  • ลีดที่เกิดขึ้น : หากเป้าหมายของคุณ คือ สร้างลีดโดยใช้การออกแบบของคุณ ให้ดูจำนวนลีดใหม่ที่คุณได้รับหลังจากแชร์อินโฟกราฟิก คุณสามารถเพิ่มลิงก์ที่ไม่ซ้ำลงในรูปภาพได้ เพื่อติดตามจำนวนคลิกที่เกิดขึ้นจากอินโฟกราฟิก และจำนวนคลิกเหล่านี้ที่กลายเป็นโอกาสในการขาย

11. นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปปรับปรุง

หลังจากที่คุณได้วัดผลลัพธ์ในกลยุทธ์อินโฟกราฟิกแรกของคุณแล้ว ให้นำสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ไปใช้เพื่อสร้างอินโฟกราฟิกที่ดียิ่งขึ้นในอนาคต ลองทดสอบการออกแบบ รูปแบบ และกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อดูว่าแบบใดดีและเหมาะสมที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ ด้วยการหมั่นฝึกฝนคุณจะสามารถสร้างอินโฟกราฟิกที่ให้ข้อมูลและดึงดูดสายตาผู้ชมของคุณและช่วยให้คุณสื่อสารข้อความของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่เสมอ เมื่อทำตามคำแนะต่างๆ  เหล่านี้ คุณจะสามารถสร้างภาพที่ทรงพลังซึ่งจะทำให้ข้อมูลของคุณมีชีวิตขึ้นมาได้

 

แหล่งที่มา :

https://www.instacap.co

https://visme.co

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *