การทำ SEO – ถือเป็นหนึ่งกลยุทธ์ด้านการตลาดออนไลน์ที่สำคัญ เนื่องจากเป็นช่องทางที่สร้างผลตอบแทนจากการลงทุน (Return On Investment) ได้สูงที่สุดช่องทางหนึ่ง ปัจจุบันการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับในหน้าแรกของเสิร์ชเอนจิ้นนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เมื่อการแข่งขันเพื่อ “ทำให้คนเห็น บนช่องทางการสืบค้นคำ” นั้นค่อนข้างสูง แต่ในทางกลับกันก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินที่จะทำ (ความเข้าใจ) เพียงแค่คุณเข้าใจในวิธีการทำงานของเสิร์ชเอนจิ้นทั้งหลาย ซึ่งถ้าหากคุณเป็นมือใหม่ในการสร้างกลยุทธ์ด้าน SEO หรือนักเขียนมือใหม่ที่ได้รับมอบหมายให้เขียนคอนเทนต์เพื่อสนับสนุน SEO อันดับแรกคุณต้องเข้าใจก่อนว่า กลยุทธ์ในการทำ SEO นั้นมีกี่แบบ แต่ละแบบมีลักษณะอย่างไร ซึ่งวันนี้ Talka จะพาทุกคนไปทำความเข้าใจเบื้องต้นในประเด็นนี้พร้อมสรุปทิศทางการอัปเดตอัลกอลิทึมล่าสุดของทาง Google (Core Update : May 2022) ให้คุณผู้อ่าน ได้อ่านกันครับ
การทำ SEO คืออะไร?
การทำ SEO คืออะไร?
คำว่า SEO ย่อมาจาก “Search Engine Optimization” หรือ “การเพิ่มประสิทธิภาพของกลไกการค้นหา” ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือ กระบวนการปรับปรุงเว็บไซต์ของคุณ เพื่อ “เพิ่มการมองเห็น” เมื่อมีคนค้นหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณในเครื่องมือค้นหาต่าง ๆ โดยเฉพาะ Google ด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง ยิ่งหน้าเว็บของคุณมีการแสดงผลที่ดีขึ้นในผลการค้นหา ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะสามารถดึงดูดความสนใจ และดึงดูดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าและลูกค้าปัจจุบันให้มาสู่ธุรกิจของคุณได้ Search Engine เช่น Google ใช้บอท (Bots) เพื่อรวบรวม (Crawling) ข้อมูลจากหน้าต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณ โดยรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวกับหน้าต่างๆ และบันทึกไว้ในดัชนี (Index) การค้นหาหรือเปรียบเทียบง่ายๆ ลองหลับตานึกห้องสมุดขนาดใหญ่ ที่ซึ่งบรรณารักษ์สามารถแนะนำหนังสือที่คุณกำลังมองหาหรือสนใจได้อย่างแม่นยำ เหมือนกับการที่อัลกอริธึม จะวิเคราะห์หน้าต่างๆ ในดัชนี โดยคำนึงถึงปัจจัยการจัดอันดับหรือสัญญาณต่างๆ นับร้อยๆ รายการ เพื่อกำหนดลำดับของหน้าที่ควรปรากฏในผลการค้นหาสำหรับข้อความค้นหา หรือ Keyword ตามที่ระบุ
ซึ่งถ้าเปรียบกับห้องสมุดก็เหมือนการที่บรรณารักษ์ได้อ่านหนังสือทุกเล่มในห้องสมุด และสามารถบอกเราได้อย่างชัดเจน ว่าหนังสือเล่มใดที่จะมีคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคำถามของคุณนั่นเองปัจจัยความสำเร็จของ กลยุทธ์ด้าน SEO ถือว่าเป็นตัวแทนของประสบการณ์ผู้ใช้ เป็นวิธีที่บอทใช้ค้นหา (Crawling) ว่าเว็บไซต์หรือหน้าเว็บไหนสามารถมอบสิ่งที่พวกเขากำลังค้นหาแก่ผู้ค้นหาได้ดีเพียงใด ซึ่งไม่เหมือนกับโฆษณาบนหน้าการค้นหาที่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพราะคุณไม่สามารถจ่ายเงินให้กับเครื่องมือค้นหาเพื่อให้ได้อันดับการค้นหาโดยทั่วไปที่สูงขึ้น ซึ่งหมายความว่าผู้เชี่ยวชาญและผู้ที่เกี่ยวข้องด้าน SEO จะต้องทุ่มเทอย่างมากในการทำงานกับปัจจัยต่างๆ ที่มีส่วนสำคัญในการจัดอันดับการค้นหามาถึงตรงนี้ เราอาจต้องทำความเข้าใจในสิ่งสำคัญของการทำ SEO ซึ่งก็คือสิ่งที่เรารียกว่า Keyword ครับ
Keyword คืออะไร สำคัญอย่างไร?
คำหลัก หรือ Keyword คือ แนวคิดและหัวข้อที่กำหนดว่าเนื้อหาของคุณเกี่ยวกับอะไร ในแง่ของ SEO คือ คำและวลีที่ผู้ค้นหาป้อนลงในเครื่องมือค้นหาหรือที่เรียกว่า “คำค้นหา” ไม่ว่าจะเป็นรูปภาพ วิดีโอ สำเนา ฯลฯ ทั้งหมด ไปจนถึงคำและวลีง่ายๆ สิ่งเหล่านี้คือคำหลักของคุณ ในฐานะเจ้าของเว็บไซต์และผู้สร้างเนื้อหา คุณต้องการให้คำหลักในหน้าเว็บของคุณเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาเพื่อให้มีโอกาสในการค้นหาเนื้อหาของคุณในผลลัพธ์มากขึ้นนั่นเองครับและเหตุผลที่ Keyword มีความสำคัญเนื่อง จากเป็นส่วนสำคัญระหว่างสิ่งที่ผู้คนกำลังค้นหาและเนื้อหาที่คุณจัดเตรียมเพื่อเติมเต็มความต้องการนั้น เป้าหมายของคุณในการจัดอันดับบนเสิร์ชเอ็นจิ้น คือ การเพิ่มปริมาณการเข้าชมไซต์ของคุณจากหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERP) และ คำหลักที่คุณเลือกกำหนดเป้าหมาย หมายถึง สิ่งที่คุณเลือกที่จะรวมไว้ในเนื้อหาของคุณ ซึ่งจะกำหนดประเภทของการเข้าชมที่คุณได้รับ ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเจ้าของร้านกาฟแฟ คุณอาจต้องการอันดับสำหรับ “ร้านกาแฟน่านั่ง” เป็นต้นซึ่งคำหลักนั้นเกี่ยวกับผู้ชมของคุณมากพอๆ กับเนื้อหาของคุณ เนื่องจากคุณอาจอธิบายสิ่งที่คุณนำเสนอในลักษณะที่แตกต่างออกไปเล็กน้อยจากที่ผู้คนค้นหา ในการสร้างเนื้อหาที่มีอันดับที่ดีและดึงดูดผู้เข้าชมไซต์ของคุณท้ายที่สุดแล้วคุณจำเป็นต้องเข้าใจความต้องการของผู้เยี่ยมชมเหล่านั้น
การทำ SEO มีกี่ประเภท?
การทำ SEO มีกี่ประเภท?
1. On-Page SEO
On-Page SEO ประกอบด้วยการเขียนเนื้อหาคุณภาพสูงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพิสูจน์ว่าเนื้อหาเหล่านั้นมีประโยชน์ต่อผู้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ การเพิ่มเมตาแท็ก (Meta Tag) เพื่อช่วยให้ Google bots เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น การใช้แท็ก HTML เพื่อเน้นในส่วนหัวข้อ และองค์ประกอบเนื้อหาอื่นๆ และสร้างความมั่นใจว่าไม่มีลิงค์เสียหรือ เนื้อหาหรือหน้าที่ซ้ำกัน การทำโครงสร้าง URL ให้ไม่ยุ่งเหยิงซับซ้อน และมีระบบการตั้งชื่อที่เป็นระเบียบสำหรับหน้าที่คล้ายคลึงกันซึ่งจัดอยู่ในหมวดหมู่เดียว ตลอดจนการเลือกใช้รูปภาพที่ขนาดไม่ใหญ่เกินไป และการตั้งชื่อไฟล์ภาพที่สื่อความหมาย เป็นต้น
2. Off-Page SEO
หมายถึงทุกสิ่งที่คุณทำนอกเว็บไซต์ของคุณ เพื่อให้อันดับการค้นหาของคุณดีขึ้นและมีคุณสมบัติที่สูงขึ้นใน SERP ของ Google ซึ่งรวมถึงการทำงานกับปัจจัยภายนอกเว็บไซต์ของคุณ เช่น การได้รับ Backlink เพื่อเชื่อมโยงกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา (จากเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ) การตลาดบนโซเชียลมีเดียต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จ ตลอดจนการให้ลูกค้าเขียนรีวิวในเชิงบวกในฟอรัมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น
3. Technical SEO
เป็นกลยุทธ์ด้าน SEO ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางเทคนิคเป็นส่วนใหญ่เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้บอทของ Google สามารถรวบรวมข้อมูล ทำการตีความ และจัดทำดัชนีหน้าทั้งหมดของไซต์ของคุณได้สำเร็จด้วยดีเพื่อนำไปใช้ในอนาคต ยกตัวอย่างการสร้างแผนผังไซต์ XML อย่างละเอียดจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ การเพิ่มข้อมูลที่มีโครงสร้างเพื่อช่วยให้บอทสามารถรวบรวมข้อมูลเว็บเพื่อนำไปจัดเรียงและจัดหมวดหมู่หน้าเว็บของคุณตามประเภทของเนื้อหาที่มีได้เป็นอย่างดี เป็นต้น
4. SEO สายขาว (White-Hat SEO)
หมายถึงเทคนิคการเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหา โดยปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของ ของ Google Search อย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา อาทิ หลีกเลี่ยงการทำ Hidden text หรือ Hidden Links หลีกเลี่ยงการทำ Spam Keyword หรือ การทำ Duplicate Content เป็นต้น แม้จะเป็นวิธีที่ต้องอดทนรอดูผลลัพธ์ อย่างน้อย 3 – 6 เดือน แต่ก็ถือว่ายั่งยืนและคุ้มค้า นอกจากนี้ ยังปลอดภัยจากการถูกแบนหรือเกิดกรณีหน้าเว็บเพจชนกันในผลการสืบค้น (หากมีการเปลี่ยนแปลงอัลกอริทึม) โดยรวมแล้ว SEO แบบ White-Hat ถือว่ามีความเสี่ยงต่ำ และให้ผลตอบแทนสูงหากทำถูกวิธี ตัวอย่างของเทคนิค SEO แบบ White-Hat ได้แก่ การเขียนเนื้อหาที่มีประโยชน์และมีความเกี่ยวข้องกับคำค้นหา หลังจากทำ Keywords Research อย่างละเอียดถี่ถ้วน ตลอดจนการได้รับลิงค์ (Backlink) จากเว็บไซต์ที่มีชื่อเสียง หรือมีความน่าเชื่อถือสูงโดยพิจารณาจากเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ในหน้าเว็บไซต์ของคุณ เป็นต้น
5. SEO สายดำ (Black-Hat SEO)
กลยุทธ์นี้อยู่ฝั่งตรงข้ามกับ SEO สายขาว โดยสิ้นเชิง กล่าวคือ มีการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่หรือจุดอ่อนในอัลกอริทึมการค้นหาของ Google เพื่อให้อันดับของหน้าเว็บไซต์ที่ต้องการดีขึ้น ใน SERP โดยไม่ยึดติดกับกฏเกณฑ์และข้อควรปฏิบัติต่างๆ ของ Google (สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ) เช่น ใช้วิธีสร้างลิงค์ที่เป็นสแปมหรือเสียค่าใช้จ่าย การใส่คำหลักในคอนเทนต์อย่างไม่เป็นธรรมชาติ (Keyword Stuffing) มีการทำ Cloaking ที่ตั้งใจแสดงเนื้อหาคอนเทนต์ให้คนเห็นแบบหนึ่ง แต่ให้บอทเห็นอีกแบบหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งการใช้เทคนิคแบบสายดำอาจทำให้เว็บไซต์ของคุณได้รับผลเสียในระยะยาวได้ ทางที่ดีจึงควรหลีกเลี่ยง และจำไว้ว่า การทำ SEO สายดำ เป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูง แม้บางครั้งจะให้ผลลัพธ์ตามที่เราต้องการได้ แต่ก็เป็นเพียงผลลัพธ์ในระยะสั้นเท่านั้นเอง
6. SEO สายเทา (Grey-Hat SEO)
กลยุทธ์นี้มักใช้เมื่อคนทำ SEO ถูกกดดันจากผู้ว่าจ้างเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ตามที่คาดหวังอย่างรวดเร็ว เป็นเทคนิคที่อยู่ระหว่าง SEO สายขาวและสายดำในแง่ของแนวทาง แม้ว่าหลักเกณฑ์ของ Google ไม่ได้ระบุอย่างชัดเจน ว่าวิธีนี้เป็นสิ่งต้องห้าม ทว่าการใช้วิธีนี้อาจสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีแก่ผู้ใช้งาน เช่น พบกับผลลัพธ์ในการค้นหาที่ไม่พึงประสงค์ ตัวอย่างของ SEO ประเภทนี้ ได้แก่ เนื้อหาลักษณะคลิกเบต (Clickbait) ที่มักไม่มีคุณค่าต่อผู้ใช้ ตลอดจนการแลกเปลี่ยนลิงค์ที่น่าสงสัย หรือมากเกินไประหว่างไซต์ บทวิจารณ์ที่ต้องเสียเงิน เป็นต้น ซึ่งทางที่ดีเราควรอยู่ให้ห่างจากกลวิธี SEO ที่หลอกลวงเช่นนี้ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียตามมาภายหลังอย่างที่เราคาดไม่ถึง
7. Negative SEO
ในบรรดาประเภทต่าง ๆ ของ SEO วิธีนี้ค่อนข้างไม่ได้รับการยอมรับและผิดจรรยาบรรณมากที่สุด การทำ SEO วิธีนี้นั้นทำขึ้นโดยมีจุดประสงค์เพื่อทำให้อันดับการค้นหาของคู่แข่งของคุณประสบปัญหา เพื่อให้คุณได้เข้ามาแทนที่ หรือได้รับประโยชน์ รวมถึงการแฮ็กเข้าไปในไซต์ของคู่แข่งเพื่อสร้างลิงค์คุณภาพต่ำจำนวนมากที่น่าสงสัย โพสต์ความคิดเห็นเชิงลบ หรือบทวิจารณ์เกี่ยวกับพวกเขาในฟอรัมออนไลน์ต่างๆ เป็นต้น ซึ่งการทำ SEO ลักษณะนี้ อาจนำไปสู่การโดนแจ้งความเอาผิดทางกฎหมายได้ ซึ่งไม่เป็นผลดีกับทุกฝ่าย
8. การทำ SEO แบบโฟกัสเฉพาะพื้นที่ (Local SEO)
ซึ่งเป็นการเลือกทำ SEO ด้วย Keyword+ ชื่อพื้นที่นั้นๆ เป็นรูปแบบการทำ SEO ที่สำคัญสำหรับธุรกิจในท้องถิ่น ธุรกิจหลายพันแห่งต้องการให้ลูกค้าเยี่ยมชมสถานที่ตั้งจริง แม้ว่าธุรกิจจำนวนมากจะดำเนินการทางออนไลน์ทั้งหมด ซึ่งเราไม่อาจทำเงินได้หากลูกค้าไม่เดินเข้ามาที่ประตู ยิ่งคุณนำเสนอเนื้อหาแก่เสิร์ชเอนจิ้นได้มากเท่าไร ก็ยิ่งมีโอกาสแสดงเนื้อหาต่อผู้มีโอกาสเป็นลูกค้ามากขึ้นเท่านั้น การรวมภูมิภาคหรือเมืองในเนื้อหาของคุณ เช่น ชื่อหน้า คำอธิบาย และคำหลัก และการแสดงรางวัลและสัญลักษณ์ความน่าเชื่อถือสำหรับผู้เยี่ยมชมสามารถช่วยให้คุณเปลี่ยนโอกาสในการขายในพื้นที่เป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ หากลูกค้าของคุณมีประสบการณ์เชิงบวกกับแบรนด์ของคุณ พวกเขามักจะแนะนำให้ผู้อื่นได้รู้จักแบบปากต่อปาก
9. การทำ SEO ที่คำนึงถึงการแสดงผลบนสมาร์ทโฟน (Mobile SEO)
Mobile SEO คือ กระบวนการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์สำหรับเสิร์ชเอนจิ้นในขณะเดียวกัน คือการสร้างความมั่นใจว่าผู้ใช้งานจะสามารถดูเนื้อหาต่างๆ ได้บนอุปกรณ์มือถืออย่างสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ตอย่างไม่มีที่ติ ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้งานเว็บไซต์บนสมาร์ทโฟนอาจทำให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเปลี่ยนไปในทางที่ดีได้ การทำ Mobile SEO จะช่วยให้คุณสามารถถึงลูกค้าได้ในเวลาที่ถูกต้องและเหมาะสมด้วยการทำให้พวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุด ช่วยให้คุณวิเคราะห์การออกแบบ โครงสร้าง ความเร็วหน้าเว็บ และปัจจัยสำคัญอื่นๆ ของไซต์เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เข้าชมบนอุปกรณ์เคลื่อนที่จะไม่ถูกมองข้ามโดยจุดข้อมูลใดๆ
10. E-commerce SEO
สำหรับธุรกิจ E-commerce การทำ SEO ถือว่าเป็น เป็นวิธีที่ช่วยสร้างมูลค่าให้กับธุรกิจได้สูง แต่ร้านค้าออนไลน์ส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการทำ E-Commerce SEO สักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่การพึ่งพาช่องทางโซเชียลมีเดีย และการซื้อโฆษณาแบบชำระเงินมากกว่า ซึ่งหากจะว่าไปแล้วเป็นวิธีการที่เหมือนจะเห็นผลสำเร็จ แต่อาจต้องใช้ทรัพยากรทั้งเงินเวลาและคนค่อนข้างมาก แต่หากธุรกิจหันมาให้ความสำคัญกับการทำ E-Commerce SEO จะพบว่าเป็นวิธีที่ใช้ความพยายามเพียงช่วงแรกเท่านั้น แต่เมื่อเว็บไซต์ติดอันดับแล้ว แบรนด์ก็สามารถขายของไปได้เรื่อยๆ โดยไม่มีค่าใช้จ่ายตายตัวรายเดือนในทุกๆ เดือน ที่สำคัญไม่จำเป็นต้องสูญเสียทรัพยากรของธุรกิจไปกับการดูแลมากมายนัก
11. International SEO
วิธีนี้คือการเพิ่มประสิทธิภาพเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเพิ่มการเข้าชมแบบออร์แกนิกจากภูมิภาคและภาษาอื่นๆ ซึ่งเป็นเป้าหมายของ SEO ระดับสากล ด้วยวิธีนี้คุณต้องอนุญาตให้ผู้ชมเป้าหมายของคุณซื้อสินค้าในสกุลเงินและภาษาของพวกเขา และคุณต้องจัดการกับพวกเขาอย่างเหมาะสมในบริบททางวัฒนธรรมของพวกเขาเพื่อทำ SEO ให้ตอบโจทย์และได้ผลดีมากที่สุด หากคุณระบุวันที่และเวลา ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณใช้รูปแบบที่ถูกต้องสำหรับตำแหน่งที่อยู่ของพวกเขา สื่อสารกับพวกเขาด้วยภาษาหลักของพวกเขา หากพวกเขามีข้อกังวลใดๆ เป้าหมายของ SEO ระดับสากลคือการมอบประสบการณ์เชิงบวกแก่กลุ่มเป้าหมายบนเว็บไซต์ของคุณ
12. Content SEO
หากคุณเคยผลิตเนื้อหาบนเว็บไซต์ เช่น บทความ หรือ บล็อกต่างๆ โดยไม่ได้คำนึงถึงหลักการ SEO สักเท่าไหร แต่กลับหวังให้เนื้อหาของคุณติดอันดับดีๆ ใน Google Search มาถึงตอนนี้ อาจถึงเวลาแล้วครับ ที่คุณต้องใช้กลยุทธ์การทำ Content SEO ให้มากขึ้น โดยทั่วไป คอนเทนต์ต่างๆ จะทำงานได้ดีที่สุด เมื่อเนื้อหามีคุณภาพสูงและได้รับการปรับแต่งด้วยกลยุทธ์ SEO ให้เหมาะเจาะกับความต้องการของเครื่องมือค้นหา พูดง่ายๆ ว่า คุณต้อง “เขียนให้ Google ชอบ” เมื่อ Google ชอบคอนเทนต์ของคุณ แน่นอนว่าจะช่วยดึงดูดปริมาณการใช้เครื่องมือค้นหา และช่วยให้คุณบรรลุเป้าหมายในกลยุทธ์ SEO ได้แน่นอน จำไว้ว่าเป้าหมายโดยภาพรวมของ Content SEO ที่ดี คือ การสร้างเนื้อหาที่เป็นมิตรกับเครื่องมือสืบค้นคำ ในขณะเดียวกันก็สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้มีความสุขหรือรู้สึกว่าได้รับประโยชน์จากคอนเทนต์ของคุณ
ประโยชน์ของ การทำ SEO (พร้อมเคล็ด (ไม่) ลับ ในการเพิ่มพลังให้แก่กลยุทธ์ SEO)
SEO เป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่ทรงพลังที่สุดที่แบรนด์และธุรกิจใช้เพื่อสร้างผลกำไร ซึ่งหากทำได้อย่างถูกต้อง SEO จะสามารถโปรโมตธุรกิจของคุณได้แบบฟรีๆ ทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งประโยชน์จากการทำ SEO มีดังต่อไปนี้ครับ
-
เพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่ธุรกิจ
ไซต์ที่มีอันดับสูงในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหานั้นมักจะถือว่ามีคุณภาพสูงและน่าเชื่อถือโดยเครื่องมือค้นหา และในทางกลับกัน จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของธุรกิจของคุณ ดังนั้น” ให้หมั่นใช้เวลาในการปรับปรุงและเพิ่มเนื้อหาในไซต์ของคุณ ตลอดเพิ่มความเร็วของไซต์และค้นคว้าคำหลักอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับสูงขึ้น”
-
ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
หากคุณจัดการด้วยตัวเองการทำ SEO จะไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นเดียวกับกลยุทธ์ทางการตลาดอื่นๆ เช่น วิธี Pay Per Click ซึ่งเสิร์ชเอนจิ้นนั้นรวบรวมข้อมูลไซต์ของคุณทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง ในการโปรโมตเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ และช่วยให้คุณพบลูกค้าใหม่ๆ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากความพยายามในการสร้างกลยุทธ์ SEO ของคุณ ดังนั้น“ควรจัดสรรเวลาบางส่วนของคุณเพื่อตรวจสอบเนื้อหาบนเว็บไซต์ที่มีอันดับสูงกว่าภายในกลุ่มของคุณ และตั้งเป้าที่จะเขียนเนื้อหาที่ดีกว่าจากนั้นแชร์เนื้อหาของคุณบนแพลตฟอร์มโซเชียลของคุณ”
-
ช่วยพลักดันกลยุทธ์ในการทำ Content Marketing
เนื้อหาที่เป็นต้นฉบับ และ SEO ทำงานร่วมกัน ด้วยการสร้างเนื้อหาที่เป็นประโยชน์สำหรับผู้เยี่ยมชม รวมทั้งข้อความ รูปภาพ และวิดีโอ เว็บไซต์ของคุณจะมีอันดับที่ดีขึ้นในผลการค้นหา แต่ SEO สามารถสนับสนุนการทำการตลาดเนื้อหาของคุณได้เช่นกัน ดังนั้น
” ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาของคุณมีคุณภาพสูง และมีการปรับให้เหมาะสมสำหรับคำหลักที่คุณต้องการจัดอันดับ ”
-
เพิ่มพลังให้แก่แคมเปญ PPC (Pay Per Click) ให้สูงสุด
กลยุทธ์ PPC หรือ การลงโฆษณาบน Search Result Page หรือที่เรียกว่า Paid Search คือ การเสียค่าใช้จ่ายที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏที่ด้านบนของผลการค้นหา ในขณะที่ SEO ทำในสิ่งเดียวกันแต่อยู่ในลักษณะ Organic หรือไม่เสียเงิน การมีผลลัพธ์ทั้งสองรายการปรากฏที่ด้านบนสุดของหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหาจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ของคุณ ทั้งยังแสดงให้เห็นว่าคุณไม่ได้มุ่งมั่นเพียงแค่การลงทุนไปกับการโฆษณาเพื่อให้อยู่ตำแหน่งบนสุดเท่านั้น
โดยคุณสามารถใช้พลังของการทำ SEO ของคุณ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ PPC ของคุณได้ เช่น
” การใช้หน้าเว็บไซต์ที่อันดับดีด้วยวิธี Organic มาเป็นส่วนหนึ่งของการทำโฆษณาแบบ PPC โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคำหลักมีราคาต่อหนึ่งคลิกต่ำ เป็นต้น “
-
ช่วยให้คุณได้เปรียบในการแข่งขัน
คู่แข่งของคุณมักจะลงทุนใน SEO ซึ่งหมายความว่าคุณก็ควรทำด้วยเช่นกัน ผู้ที่ลงทุนอย่างหนักใน SEO มักจะเหนือกว่าในการแข่งขันเชิงผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา และได้รับส่วนแบ่งการตลาด หากคุณพิจารณาว่าผลลัพธ์บนหน้าแรกของการค้นหาของ Google ได้รับการเข้าชมมากกว่า 90% คุณจะไม่สามารถอยู่ตรงนั้นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคู่แข่งของคุณอยู่ในจุดนั้น ดังนั้น” เริ่มต้นด้วยการระบุคู่แข่งของคุณ วิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของพวกเขา และสร้างและจัดการชื่อเสียงออนไลน์ของคุณ จากนั้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าไซต์ของคุณโหลดได้เร็วและเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ สร้างเนื้อหาที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และมุ่งเน้นที่การมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดแก่ผู้ใช้ “
-
ช่วยให้คุณเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น
แม้ว่าแคมเปญการตลาดจำนวนมากมักจะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่ SEO สามารถช่วยให้คุณดึงดูดใครก็ได้ด้วยความตั้งใจ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในกระบวนการซื้อในขั้นใดก็ตาม หากคุณกำหนดเป้าหมายคำหลักมากกว่าข้อมูลประชากรเท่าที่คุณอาจทำได้ ด้วย PPC หรือโฆษณาบนโซเชียล คุณสามารถดึงดูดผู้มีแนวโน้มว่าจะสนใจทำธุรกิจกับคุณมากขึ้น ดังนั้น” ควรสร้างรายการคำหลักที่คุณต้องการจัดอันดับ จากนั้นใช้เครื่องมือวิจัยคำหลัก ใช้การวิจัยเชิงแข่งขันเพื่อปรับแต่งรายการของคุณโดยระบุว่าใครเป็นคู่แข่งของคุณ คำหลักใดที่พวกเขาจัดอันดับ และมี Backlink และใช้ข้อมูลนี้เพื่อสร้างกลยุทธ์ SEO ที่ดีขึ้น ”
-
ช่วยให้คุณมีอันดับที่ดีขึ้นในการค้นหาในท้องถิ่น
การค้นหาในท้องถิ่น เช่น เมื่อผู้คนค้นหา คำว่า “ร้านข้าวมันไก่ใกล้ฉัน” กำลังกลายเป็นเรื่องธรรมดามากขึ้น ซึ่งเกือบ 80% ของการค้นหาในท้องถิ่นบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ทำให้เกิด Conversion (การกระทำบางอย่างที่เราต้องการจากผู้ที่เข้าเว็บไซต์ของเรา) ซึ่งกลยุทธ์ SEO ในพื้นที่ (Local SEO) สามารถช่วยคุณดึงดูดผู้ค้นหาเหล่านี้ซึ่งมักเป็นกลุ่มที่พร้อมจะซื้อ ขั้นตอนแรกในการเริ่มต้นใช้งานกลยุทธ์ Local SEO คือ การสร้างบัญชี Google My Business จากนั้นเริ่มขอคำวิจารณ์จากลูกค้าของคุณ เพิ่มประสิทธิภาพรายชื่อของคุณโดยตรวจสอบว่าคุณมีชื่อ ที่อยู่ และหมายเลขโทรศัพท์ที่ถูกต้อง นอกจากนี้ สิ่งที่ต้องทำ คือ
” ตรวจสอบให้แน่ใจว่าได้เพิ่มประสิทธิภาพรายชื่อของคุณสำหรับการค้นหาด้วยเสียง ซึ่งหมายถึง การเขียนเนื้อหาที่น่าสนใจในโทนการสนทนา ที่ตอบคำถามที่พบบ่อยที่สุด และให้แนวทางแก้ไขปัญหาของผู้ค้นหา รวมถึงการพิจารณาคำหลักในท้องถิ่นของคุณอย่างรอบคอบและการสร้างรายชื่อในไดเรกทอรีธุรกิจท้องถิ่น”
-
ปรับปรุงการใช้งานเว็บไซต์
SEO นั้นเกี่ยวกับการทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นมิตรกับเครื่องมือค้นหา นอกจากนี้ยังสามารถปรับปรุงประสบการณ์ที่ลูกค้ามีเมื่อเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณได้เช่นกัน หากคุณทุ่มเทเพื่อสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์และมีคุณภาพสูง ทำให้เว็บไซต์ของคุณเร็วขึ้นและตอบสนองมากขึ้น เพิ่มลิงค์ย้อนกลับ (Backlink) และปรับปรุงทุกหน้า คุณจะมีเว็บไซต์ที่ยอดเยี่ยมนอกเหนือจากเว็บไซต์ที่เหมาะสำหรับเครื่องมือค้นหา ” ปัจจัยที่ปรับปรุงความสามารถในการใช้งาน ได้แก่ โครงสร้างไซต์และการนำทางที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งทั้งสองอย่างนี้เป็นปัจจัยที่เครื่องมือค้นหาใช้เป็นส่วนสำคัญในการจัดอันดับเว็บไซต์ “
-
ได้ผลลัพธ์เชิงปริมาณ
ด้วย SEO คุณสามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงในการจัดอันดับ ตลอดจน Conversion และการเข้าชมเว็บไซต์ได้ และด้วยแพลตฟอร์มที่ใช้ในการ วิเคาระห์ประสิทธิภาพในงานของคุณ อย่าง Google Analytics ที่มีชุดข้อมูลที่ครอบคลุม จะช่วยให้คุณเจาะลึกถึงระดับที่ละเอียด ตัวอย่างเช่น
” คุณสามารถดูเส้นทางการซื้อของผู้ใช้เว็บไซต์ทุกแห่ง รวมถึงหน้าที่พวกเขามีส่วนร่วม คำหลักที่พวกเขาใช้ในการค้นหา และดูว่าพวกเขาได้ดำเนินการตามที่ระบุหรือไม่ คุณสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้เพื่อปรับและปรับปรุงกลยุทธ์ SEO ของคุณได้ ”
-
ช่วยเพิ่มอัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
เว็บไซต์ที่ปรับให้เหมาะสมจะนำมาซึ่งการรับส่งข้อมูลที่มีคุณภาพ หากคุณมีไซต์ที่มีเนื้อหาที่เป็นประโยชน์และตรงกับเจตนาของผู้ค้นหา ผู้คนมักจะใช้เวลาในการท่องเว็บมากขึ้น ซึ่งในที่สุดจะนำไปสู่ ผลตอบแทนจากการลงทุน ( ROI ) ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งลูกค้าที่มีส่วนร่วมกับเว็บไซต์นานขึ้น มักจะเชื่อมต่อกับแบรนด์มากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่การสนับสนุนที่ดีของลูกค้าและนำมาซึ่งรายได้ระยะยาวในที่สุด” ในการปรับปรุงอัตราการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ให้ใช้เครื่องมือออนไลน์จำนวนมากเพื่อตรวจสอบไซต์ของคุณ จากนั้นจึงเพิ่มประสิทธิภาพสิ่งต่างๆ เช่น ชื่อ(Title) และ เมตาแท็ก (MetaTag) ของคุณ นอกจากนี้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้จัดทำเว็บไซต์ที่ปลอดภัยและเหมาะกับอุปกรณ์เคลื่อนที่ด้วย “
Google ประกาศ ปรับอัลกอลิทึม (Core Update)
ล่าสุด Google ได้มีการ ประกาศอัปเดตอัลกอลิทึม หรือ Core Update ในเดือนมีนาคม ปี 2024 โดย Google ได้อธิบายบางสิ่ง ที่บางเว็บไซต์อาจพบเจอได้ ดังนี้ครับ
1. การจัดอันดับคุณภาพที่ได้รับการปรับปรุง
2. นโยบายสแปมใหม่ ที่ได้รับการปรับปรุง
3. ป้องกันสแปมออกจากผลลัพธ์มากขึ้น
4. การละเมิดเนื้อหาที่มีการปรับขนาด
5. การละเมิดชื่อเสียงของไซต์
6. การละเมิดโดเมนหมดอายุ
แหล่งที่มา :