นักการตลาดบน Facebook หรือเจ้าของเพจหลายคนอาจเคยสงสัยว่าทำไมเวลาโพสต์อะไรไปถึงไม่ค่อยมีคนเห็นหรือไม่มีส่วนร่วมกับโพสต์ของเราเลย ดูเหมือนว่าการมองเห็นฟีดข่าวลดลงอย่างเห็นได้ชัด สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปได้ว่าเพจของคุณอาจ โดนเฟสปิดกั้นการมองเห็น เข้าให้แล้ว แต่หลายคนคิดว่านี่คือหนึ่งในวิธีการที่ Facebook กระตุ้นให้ผู้ดูแลเพจจำเป็นต้องจ่ายเงินเพื่อโปรโมตโพสต์ของตัวเองเพื่อให้ได้รับการมองเห็นที่น่าพอใจเหมือนที่เคย อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าสิ่งที่หลายคนคิดจะจริงเท็จประการใด แต่เราต้องยอมรับว่าทุกวันนี้หน้าฟีดของ Facebook เป็นพื้นที่ทางการตลาดที่ดุเดือดมากขึ้นทุกวัน ซึ่งหมายความว่าต้องมีการต่อสู้แข่งขันเพื่อทำให้คนเห็นคอนเทนต์ของคุณ แต่ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องเข้าใจก่อนว่า Facebook เอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินกันล่ะ? ว่าโพสต์แบบไหน? ที่จะได้รับการแสดงให้ผู้คนเห็นได้มากหรือน้อยเพียงใด
ทำความเข้าใจ Facebook Algorithm
ย้อนกลับไปในอดีตที่ สงคราม Content Marketing บน Facebook ยังไม่ดุเดือดเช่นทุกวันนี้ การทำเพจและการโพสต์เนื้อหาต่างๆ ลงบนฟีด ดูเหมือนจะได้รับการมีส่วนร่วม หรือ Engagement ที่น่าพอใจได้ไม่ยากนัก ยกตัวอย่างโพสต์ที่ได้รับการกดไลค์เยอะก็จะได้รับ Engagement ที่ยอดเยี่ยม แต่เมื่อเริ่มเข้าสู่ยุคเฟื่องฟูของการตลาดบนเฟสบุ๊คอย่างทุกวันนี้ เป็นธรรมดาที่เจ้าของพื้นที่ต้องมีการจัดสรรคัดเลือกเนื้อหาต่างๆ ที่จะแสดงบนฟีดมากกว่าที่เคย ซึ่งตัวการของการปิดกั้นการมองเห็นหรือคัดสรรเนื้อหาให้ขึ้นแสดงผลที่หลายคนสงสัยนี้มีชื่อว่า Edgerank ซึ่งเป็น Algorithm ที่เฟสบุ๊คใช้ในการตัดสินใจว่าโพสต์ใดจะได้รับการแสดงบนไทม์ไลน์นั่นเอง ซึ่งต่อไปนี้คือ องค์ประกอบสำคัญที่มีส่วนในการตัดสินใจของเจ้า Edgerank ครับ
- คะแนนความเกี่ยวข้อง (Affinity Score) สิ่งนี้ คือ ตัวชี้วัด ว่าความสัมพันธ์ของคุณกับลูกเพจแน่นแฟ้นเพียงใด โดยพิจารณาจากการโต้ตอบ การแสดงความคิดเห็น ตลอดจนการกดไลค์ กดแชร์โพสต์ของคุณบ่อยๆ ซึ่งพฤติกรรมทั้งหมดจะช่วยยกระดับคะแนนความสัมพันธ์ที่ยอดเยี่ยมมากขึ้น ซึ่งคนเหล่านี้จะเป็นผู้ที่มีแนวโน้มที่จะเห็นโพสต์ของคุณในหน้าฟีดของตัวเองมากขึ้น
- น้ำหนัก (weight) หมายถึง น้ำหนักของการโต้ตอบกับโพสต์ของคุณ เช่น ความคิดเห็น หรือ การแชร์โพสต์ จะมีน้ำหนักมากกว่าการกดไลค์ ดังนั้นหากโพสต์ของคุณได้รับความคิดเห็นและ/หรือแชร์เป็นจำนวนมาก โพสต์นั้น (ในทางทฤษฎี) จะแสดงต่อผู้คนจำนวนมากขึ้นนั่นเอง
- เวลา (Time) เรื่องของเวลาเป็นสิ่งที่อธิบายได้ไม่ยาก เพราะยิ่งโพสต์ของเราเก่ามากเท่าไหร่หรือไม่มีความเคลื่อนไหวบนเพจ เป็นธรรมดาที่จะยิ่งมีความเกี่ยวข้องกับลูกเพจน้อยลงเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าโพสต์จากเพจของคุณจะปรากฏในฟีดข่าวของผู้ที่ติดตามเพจน้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป
Facebook หรือ Meta มีทีมงานทั้งทีมที่ทำงานด้าน AI (ปัญญาประดิษฐ์) และ Machine Learning โดยส่วนหนึ่งในงานของพวกเขา คือ การปรับปรุงอัลกอริทึมที่เชื่อมต่อกับผู้ใช้กับเนื้อหาที่มีคุณค่ามากที่สุด ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีการเพิ่ม ลบ และปรับปรุงรูปแบบการจัดอันดับของอัลกอริทึมมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งทุกอย่างล้วนเน้นหนักไปในสิ่งที่ Facebook คิดว่า “ผู้ใช้ต้องการเห็น” และต่อไปนี้คือ บางส่วนในการเปลี่ยนแปลง และการพัฒนาอัลกอริทึมของ Facebook
- 2009 : เปิดตัวอัลกอริธึมตัวแรกเพื่อดันโพสต์ที่มียอดไลค์มากที่สุดไว้ด้านบนสุดของฟีด
- 2015 : เริ่มมีการลดอันดับเพจที่โพสต์เนื้อหาส่งเสริมการขายมากเกินไป มีการแนะนำฟีเจอร์อย่าง “See First” เพื่อให้ผู้ใช้งานระบุถึงความต้องการเป็นพิเศษในการให้ความสำคัญต่อโพสต์ของเพจในหน้าฟีดของตน
- 2016 : มีการเพิ่มสูตรคำนวณการจัดอันดับ “Time Spent” หรือ เวลาที่ใช้กับโพสต์ เพื่อวัดมูลค่าของโพสต์ตามระยะเวลาที่ผู้ใช้ใช้ไปกับโพสต์ แม้ว่าพวกเขาจะไม่ชอบ หรือ ไม่แชร์ก็ตาม
- 2017 : ปฏิกิริยาต่างๆ เช่น กดหัวใจ หรือ กดโกรธ จะมีน้ำหนักมากกว่าการกดถูกใจแบบเดิม นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มวิธีการจัดอันดับอื่นสำหรับวิดีโอ ได้แก่ “Completion Rate” หรืออัตราความสำเร็จของวีดีโอ กล่าวคือ วิดีโอที่สามารถทำให้ผู้คนดูจนจบได้ จะได้รับการแสดงให้ผู้คนจำนวนมากมองเห็น
- 2018 : อัลกอริธึมใหม่ของ Facebook จัดลำดับความสำคัญของโพสต์ ได้แก่ “โพสต์ที่จุดประกายการสนทนา และการโต้ตอบที่มีความหมาย” เช่น โพสต์จากเพื่อน ครอบครัว และกลุ่มจะมีความสำคัญมากกว่าเนื้อหาออร์แกนิกจากเพจ
- 2019 : มีการจัดลำดับความสำคัญของ “วิดีโอต้นฉบับคุณภาพสูง” ที่ทำให้ผู้คนรับชมได้นานกว่า 1 นาที โดยเฉพาะวิดีโอที่ดึงดูดความสนใจได้นานกว่า 3 นาที นอกจากนี้ Facebook ยังเริ่มเพิ่มเนื้อหาจาก “เพื่อนสนิท” ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ผู้คนมีส่วนร่วมมากที่สุด และมีการแนะนำเครื่องมือ “Why am I seeing this post?” หรือ “ทำไมฉันจึงเห็นโพสต์นี้?” เข้ามาใช้กับทุกเนื้อหาไม่เฉพาะเนื้อหาที่เป็นโฆษณาเท่านั้น
- 2020 : มีการเปิดเผยรายละเอียดบางส่วนของอัลกอริทึมที่ช่วยให้ผู้ใช้ควบคุมข้อมูลของตนเพื่อให้ตอบรับกับอัลกอริธึมได้ดียิ่งขึ้น เริ่มนำเอาวิธีประเมินความน่าเชื่อถือและคุณภาพของบทความข่าวเพื่อส่งเสริมเนื้อหาข่าวที่น่าเชื่อถือมากกว่าข้อมูลที่ผิดๆ เช่น Clickbait หรือ Fake News นั่นเอง
- 2021 : มีการเปิดเผยรายละเอียดใหม่เกี่ยวกับอัลกอริธึม โดยมีการปรับอัลกอลิธึมตามผลสำรวจจากผู้ใช้งานในหลากหลาย Topic ของคอนเทนต์ จุดมุ่งหมาย คือเพื่อ “ลดประสบการณ์เชิงลบ” ของผู้ใช้งาน
- 2022 : เน้นที่การมีส่วนร่วมของผู้ใช้และเนื้อหาที่มีคุณภาพ รวมถึงอัลกอริธึมจะเรียนรู้และปรับการแสดงเนื้อหาให้เข้ากับพฤติกรรมของผู้ใช้ และมีความเชี่ยวชาญมากขึ้นในการนำเสนอเนื้อหาที่ต้องการ โดยรวมแล้ว อัลกอริทึมของ Facebook ปี 2022 มีเป้าหมายเพื่อจัดลำดับความสำคัญของเนื้อหาที่ให้ข้อมูลและมีส่วนร่วมซึ่งทำให้ผู้ใช้สนใจแพลตฟอร์ม
- 2023 : Facebook ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่จุดประกายการสนทนาที่มีความหมายและการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้ เนื้อหาคุณภาพสูง โดยให้ความสำคัญกับการจัดการข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและข่าวปลอมมากขึ้น นอกจากนี้ AI เข้ามามีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นในการปรับแต่งเนื้อหาสำหรับผู้ใช้ มาตรฐานชุมชนของ Facebook ได้รับการบังคับใช้อย่างเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้มีการนำเนื้อหาออกหากละเมิดหลักเกณฑ์
- 2024 : อัลกอริธึมยังคงปรับปรุงการมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ผู้ใช้และการมีส่วนร่วม โดยเน้นไปที่การโต้ตอบที่มีความหมายมากกว่าการบริโภคแบบพาสซีฟ ซึ่งการกดไลค์โพสต์นั้นไม่เพียงพออีกต่อไป เพราะอัลกอริทึมจะจัดลำดับความสำคัญของโพสต์ที่จุดประกายการสนทนามากกว่า นอกจากนี้ อัลกอริทึมสำหรับ Reels จะแยกจากอัลกอริธึมฟีดหลัก โดยจัดลำดับความสำคัญของเวลาในการดู อัตราการเล่นจนจบ และเมตริกการมีส่วนร่วม เช่น การแชร์และความคิดเห็นสำหรับเนื้อหาวิดีโอโดยเฉพาะ
วิธีหลีกเลี่ยง เฟสบุ๊คปิดกั้นการมองเห็น
ในเมื่อเฟซบุ๊กใช้ระบบในการตัดสินในการคัดเลือกคอนเทนต์ที่จะได้คัดเลือกให้ปรากฎบนฟีดข่าวมาแบบนี้ ต่อไปนี้คือ เคล็ดลับบางประการที่จะช่วยให้คุณเอาชนะกฎเกณฑ์ต่างๆ นี้ ได้ไม่มากก็น้อยครับ
1. หลีกเลี่ยง เฟสบุ๊คปิดกั้นการมองเห็น อย่าโพสต์ถี่เกินไป
ข้อนี้เป็นสิ่งที่หลายคนอาจติดกับได้ไม่ยาก เมื่อเราทำเพจ และเริ่มมีแฟนเพจเข้ามา ความเข้าใจที่อาจผิดพลาดได้ตั้งแต่แรก คือ เมื่อมีช่องทางและชุมชนที่เราเป็นเจ้าของแล้วเราต้องโพสต์เนื้อหาให้ถี่เข้าไว้สิดี! แต่เดี๋ยวก่อน! สิ่งนี้อาจไม่ใช่วิธีที่ดีนัก แม้จะไม่มีกฎตายตัวที่กะเกณฑ์ว่าเราควรโพสต์กี่ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ แต่ทางที่ดีคุณไม่ควรโพสต์เกินวันละหนึ่งครั้ง เว้นแต่ว่าคุณมีเนื้อหาที่ต้องโพสต์ให้ตรงเวลา และเป็นเรื่องที่น่าสนใจของชุมชนส่วนใหญ่ของคุณ เพราะความจริงแล้วคุณแทบจะไม่เสี่ยงต่อการเสียผู้ติดตามเพราะไม่ได้โพสต์เนื้อหา แต่ในทางกลับกัน คุณอาจสูญเสียแฟน หรือแฟนเพจอาจทำการซ่อนโพสต์ของคุณหากคุณโพสต์บ่อยมากเกินไป นอกจากนี้ ยิ่งคุณโพสต์ออกไปมากเท่าใดคะแนนการมีส่วนร่วมจากการคำนวณของ Algorithm โดยภาพรวมที่คุณได้รับก็จะน้อยลงเท่านั้น ซึ่งย่อมส่งผลเสียต่อ Edge Rank ของคุณนั่นเอง
2. โพสต์เนื้อหาที่กระตุ้นให้ผู้คนอยากมีส่วนร่วม
ข้อนี้อาจดูท้าทายและเป็นโจทย์ยากสำหรับการทำคอนเทนต์อยู่ไม่น้อยว่าเราจะโพสต์อะไรดีล่ะ? ที่จะสามารถดึงดูดหรือกระตุ้นให้คนอยากเข้ามามีส่วนร่วมกับโพสต์ของเรา ซึ่งสิ่งที่ Facebook ชอบคือ ยิ่งเนื้อหาของคุณดีขึ้นและมีส่วนร่วมกับผู้ใช้มากขึ้นเท่าใดคุณก็จะมีปฏิสัมพันธ์มากขึ้น และอันดับ Edge rank ของคุณก็จะดีขึ้นตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่าผู้คนจะเห็นโพสต์มากขึ้น ดังนั้นควรหมั่นติดตามคุณภาพของโพสต์ และคุณภาพการมีส่วนร่วมกับโพสต์ของลูเพจคุณ ในที่สุดคุณจะรู้ว่าเนื้อหาใดที่ชุมชนของคุณมักเข้ามามีส่วนร่วมอยู่เป็นประจำ
3. เฟสบุ๊คปิดกั้นการมองเห็น โพสต์ที่ไม่มีภาพหรือวีดีโอประกอบ
การอัปเดตข้อความที่น่าเบื่อ (ในบางครั้ง) อาจดูไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับคอนเทนต์บนฟีดอื่นๆ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดบอดที่ Edge rank นำมาคำนวณ ซึ่งจากสถิติแสดงให้เห็นว่าโพสต์แบบหลายภาพ หรือ Photo Album ได้รับการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น 180% ภาพเดี่ยว หรือ Single Image ได้รับการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น 120% และสุดท้ายวิดีโอ ได้รับการมีส่วนร่วมเพิ่มขึ้น 100% จากตัวเลขเหล่านี้ คือ เหตุผลง่ายๆ ว่าทำไมคุณควรโพสต์รูปภาพและวิดีโอทุกครั้งที่สามารถทำได้ และควรหลีกเลี่ยงโพสต์ที่มีแต่ข้อความเปล่าๆ
4. กำหนดวันและเวลาที่ดีที่สุดที่จะโพสต์
มักมีข้อมูลที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับเวลาที่ดีที่สุดในการโพสต์ แต่ความจริงแล้วมันขึ้นอยู่กับว่ากลุ่มผู้ชมหลักของเพจคุณเป็นใคร ทางที่ดีควรทำการทดสอบด้วยตัวเอง โดยการโพสต์ในช่วงเวลาที่ต่างกันอย่างน้อยประมาณหนึ่งเดือน จากนั้นตรวจสอบ performance ในระบบหลังบ้านของเพจ เพื่อดูว่าวันและเวลาใดที่โพสต์ของคุณทำงานได้ดีที่สุด จากนั้นให้เริ่มโพสต์เนื้อหาที่น่าตื่นเต้นและน่าสนใจที่สุดของคุณในช่วงเวลานั้นเป็นประจำไปเลย
5. หมั่นเตือนลูกเพจให้เปลี่ยนการตั้งค่าการแจ้งเตือนเกี่ยวกับฟีดข่าว
หมั่นแจ้งให้ลูกเพจของคุณเปลี่ยนการตั้งค่าเพื่อรับการแจ้งเตือน หากคุณวางเมาส์เหนือปุ่ม “ถูกใจ” บนเพจใดๆ ที่คุณเป็นแฟน คุณจะเห็นว่ามีตัวเลือกในการรับการแจ้งเตือนจากเพจนั้น (ติดดาวให้เพจ) ซึ่งหากคุณโพสต์การอัปเดตที่คอยกระตุ้นเตือนให้บรรดาลูกเพจของคุณทำเช่นนี้ การมองเห็นโพสต์ของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ถึงแม้บางครั้งอาจเป็นเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อย แต่ดีกว่าที่เราไม่ทำอะไรเลย
6. ใช้วิธีโปรโมตโพสต์บ้าง เพื่อผลลัพธ์ที่ดี
ถ้าคุณไม่ลำบากเกินไปที่จะใช้จ่ายเงิน วิธีที่สามารถเพิ่มการมองเห็นโพสต์ของคุณได้ คือ การโปรโมตโพสต์ผ่านฟีดข่าว เพื่อเพิ่มการมองเห็นโพสต์ของคุณ เพราะการโปรโมตโพสต์จะทำให้โพสต์ของคุณสามารถเข้าถึงลูกเพจและผู้คนได้มากขึ้น (รวมทั้งแฟน และเพื่อนของแฟนๆ) นั่นคือสิ่งที่ Facebook ต้องการให้คุณใช้จ่ายเงินเพื่อให้โพสต์ของคุณได้รับการมองเห็น ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามันเป็นวิธีที่จะช่วยให้ประสิทธิภาพโพสต์ของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามอาจเลือกโปรโมตโพสต์ที่คุณคิดว่าเหมาะสมที่สุดในเพจของคุณที่ต้องการให้ผู้คนได้เห็นในวงกว้าง
7. ใช้ Facebook Stories เพื่อโอกาสเข้าถึงผู้คนมากขึ้น
หนึ่งในเทรนด์ที่ได้รับความนิยมขณะนี้ ผู้คนกำลังใช้ Facebook Stories ในการแบ่งปันเนื้อหาต่างๆ วิธีนี้เป็นวิธีที่เร็วและง่ายกว่าในการเลื่อนดูฟีดข่าวแบบปกติ ทั้งนี้เป็นเพราะเรื่องราวที่อยู่ด้านบนสุดของฟีดข่าวจะมองเห็นได้ง่ายกว่า อีกทั้งผู้ใช้ Facebook ไม่จำเป็นต้องเลื่อนดูให้เมื่อยนิ้วอีกด้วย
8. พยายามมีส่วนร่วมกับผู้ติดตามของเรา
เมื่อพูดถึงการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม การค้นหาหรือสร้างเนื้อหาที่อนุญาตให้คุณเชื่อมต่อกับผู้ชมอาจเป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นลองแยกการโพสต์ที่เป็นกิจวัตร เช่น การโพสต์ในวันและเวลาเดิมที่คนจดจำได้ และสอบถามลูกเพจของคุณเกี่ยวกับหัวข้อหรือประเด็นที่พวกเขาสนใจ นอกจากนี้การถ่ายทอดสด หรือ Live Stream ยังเป็นอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมที่ช่วยกระตุ้นการมีส่วนร่วมกับผู้ติดตาม ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงชุมชนที่ดึงดูดและรักษาความสนใจไว้ได้ สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมบนเพจของคุณ เพื่อให้คุณสามารถเข้าถึงผู้ติดตามของคุณได้มากขึ้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ ผู้คนต้องการเชื่อมต่อกับผู้คนมากกว่าธุรกิจหรือองค์กร ดังนั้นยิ่งเนื้อหาของคุณเข้าถึงได้และเป็นของแท้มากเท่าไร ก็จะทำให้ผู้ติดตามเพจเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น การใช้เคล็ดลับเหล่านี้จะทำให้การมีส่วนร่วมกับลูกเพจ หรือผู้ติดตามของคุณเป็นเรื่องง่ายมากขึ้น
9. เฟสบุ๊คปิดกั้นการมองเห็น โพสต์ที่ไม่น่าเชื่อถือ
Facebook กล่าวว่า “ผู้คนบน Facebook ให้ความสำคัญกับเนื้อหาที่ถูกต้องและเป็นของแท้” เฟซบุ๊กยืนยันชัดเจนว่าประเภทของโพสต์ที่ผู้คน “พิจารณาว่าเป็นของแท้” จะมีอันดับที่ดีกว่าในฟีด และในขณะเดียวกัน Facebook พยายามลดอันดับสำหรับโพสต์ที่ผู้คนพบว่า ทำให้เข้าใจผิด สะเทือนอารมณ์ และเป็นสแปม เคล็ดลับสองสามข้อในการส่งสัญญาณบอกอัลกอริทึมว่าเนื้อหาของคุณถูกต้องและเป็นของแท้ คือ “การเขียนหัวข้อที่ชัดเจน” โดยตรวจสอบให้แน่ใจว่าหัวข้อของคุณอธิบายอย่างชัดเจนว่าผู้ใช้จะพบอะไรในโพสต์ของเรา ซึ่งวิธีที่ไม่แนะนำอย่างยิ่ง คือ การใช้คลิกเบต (Clickbait) ที่เหมือนหลอกล่อให้คนคลิกด้วยพาดหัวที่เกินจริง หรือใช้ภาพที่ทำให้คนเข้าใจผิด ที่เมื่อคลิกเข้าไปแล้วเนื้อหาไม่ได้สอดคล้องกับโพสต์ ดังนั้นโพสต์ของคุณควรสื่อสารในประเด็นที่ตรงไปตรงมาไม่พูดเกินจริงหรือโกหก
แหล่งที่มา :