ลิขสิทธิ์ บนโลกออนไลน์ ทำอย่างไรไม่เสี่ยงละเมิด?

ลิขสิทธิ์
พูดได้อย่างเต็มปากว่าอินเทอร์เน็ตมีบทบาทต่อวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันค่อนข้างมาก มันได้เปลี่ยนแปลงวิธีที่เราแบ่งปัน สร้าง และบริโภคเนื้อหา ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่ครั้งทุกคนก็สามารถเข้าถึงข้อมูลและความบันเทิงมากมายเพียงปลายนิ้วสัมผัส โดยเฉพาะการเสพข้อมูลข่าวสารที่สามารถทำได้อย่างรวดเร็วกว่าสื่อสมัยเก่าอย่างหนังสือพิมพ์ วิทยุ หรือ แม้แต่โทรทัศน์ สื่ออินเทอร์เน็ตช่วยให้ผู้คนไม่ตกเทรนด์ และใช้ชีวิตประจำวันได้สะดวกสบายกว่าอดีตในหลายๆ ด้าน
 
อย่างไรก็ตาม ด้วยโลกของอินเทอร์เน็ตนั้นกว้างใหญ่ไพศาลจึงมีช่องโหว่ที่เปิดโอกาสให้ผู้ไม่ประสงค์ดีใช้เป็นช่องทางในการกระทำผิดหลากหลายรูปแบบได้อย่างสะดวกรวดเร็ว นอกจากนี้ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบางคนอาจยังไม่เข้าใจว่าโลกออนไลน์ก็เหมือนกับโลกความจริง ที่มีคำว่า “ลิขสิทธิ์” คอยคุ้มครองสิ่งที่เรียกว่า “ทรัพย์สินทางปัญญา” เช่นเดียวกัน และหากมีการละเมิดลิขสิทธิ์ขึ้นมาโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามแต่เราก็อาจตกเป็นผู้กระทำผิดได้อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ดังนั้นวันนี้เราจะมาเจาะลึกในเรื่องของลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ ความสำคัญ และประเด็นต่างๆ ที่ทุกคนควรรับรู้เกี่ยวกับการกระทำที่เข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ครับ
 

ลิขสิทธิ์ บนโลกออนไลน์ คืออะไร?

ลิขสิทธิ์ บนโลกออนไลน์คืออะไร

ลิขสิทธิ์ บนโลกออนไลน์ คืออะไร?

ในยุคของอินเทอร์เน็ตที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างอิสระ ตลอดจนการใช้ความคิดสร้างสรรค์นั้นไร้ขอบเขต “ลิขสิทธิ์” หรือ “Copyright” จึงจำเป็นต้องเข้ามามีบทบาทในการปกป้องสิทธิ์ของผู้สร้างและเจ้าของเนื้อหา ลิขสิทธิ์ในโลกออนไลน์เป็นประเด็นที่ซับซ้อนและยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอยู่มาก แต่ใครก็ตามที่สร้างหรือใช้เนื้อหาดิจิทัลจำเป็นต้องมีความเข้าใจพื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งวันนี้เราจะมาสำรวจว่าลิขสิทธิ์ในโลกออนไลน์คืออะไร เหตุใดจึงมีความสำคัญ และมีผลกระทบต่อทั้งผู้สร้างและผู้บริโภคอย่างไรครับซึ่งการคุ้มครองลิขสิทธิ์บนอินเทอร์เน็ต คือ การให้สิทธิ์แก่ผู้แต่งหรือเจ้าของผลงานต้นฉบับในการป้องกันไม่ให้ผู้อื่นผู้ใดคัดลอกหรือนำผลงานต้นฉบับและอ้างสิทธิ์เป็นของตนเองซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งที่อยู่ในหมวดหมู่ต่างๆ อาทิ วรรณกรรม ละคร ดนตรี ศิลปะ สถาปัตยกรรม และผลงานทางปัญญาอื่นๆ ในปัจจุบันยิ่งมีการใช้โซเชียลมีเดียแพร่หลายขึ้นเท่าใด การละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาก็ดูเหมือนจะพบได้มากขึ้นเรื่อยๆ และสำหรับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในประเทศไทยได้มีการปรับแก้ไข พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ (ปี 2558 ฉบับที่ 2) เพื่อขยายงานคุ้มครองลิขสิทธิ์ต่างๆ โดยขยายขอบเขตไปยังลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ด้วยซึ่งขอบเขตในความคุ้มครองนั้นขยายไปถึงโซเชียลมีเดียเกือบจะทุกแพลตฟอร์ม อาทิ Twitter(X) , Facebook , Line , Youtube หรือ Instagram นอกจากนี้ยังมีการครอบคลุมไปถึง ลิขสิทธิ์ด้านเนื้อหา ทั้ง บทความ หนังสือออนไลน์ ซอฟต์แวร์ เพลง รูปภาพ ภาพวาด ภาพถ่าย ภาพข่าว ทั้งบนเว็บไซต์และแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และ ล่าสุดได้มีการปรับแก้ พ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2565 ที่มีการครอบคลุมถึงลิขสิทธิ์ อื่นๆ เช่น ภาพยนตร์ เพลง ซีรีส์ทีวี เกม การ์ตูน วรรณกรรม ที่อยู่บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ตทั้งหมด

กฎหมายลิขสิทธิ์ฉบับใหม่ได้ปรับรูปแบบที่มุ่งอาศัยความร่วมมือระหว่างเจ้าของลิขสิทธิ์กับผู้ให้บริการสื่อสั้งคมออนไลน์ต่างๆ เมื่อมีการกระทำที่เข่าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์เกิดขึ้นผู้ให้บริการ เช่น Facebook หรือ YouTube ต้องรีบนำงานละเมิดลิขสิทธิ์ออกจากระบบเมื่อได้รับการแจ้งจากเจ้าของลิขสิทธิ์โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการทางศาล ซึ่งผู้ให้บริการที่ให้ความร่วมมือจะได้รับการยกเว้นความรับผิด แต่ถ้าเป็นเว็บไซต์เถื่อนที่ละเมิดงานลิขสิทธิ์ จะใช้วิธีปิดเว็บไซต์ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (DSI) โดยเจ้าของสิทธิ์สามารถแจ้งเรื่องไปที่กรมทรัพย์สินทางปัญญา จากนั้นทางกรมฯ จะยื่นคำร้องไปยัง DSI เพื่อให้ศาลมีคำสั่งปิดกั้นเว็บไซต์หรือ URL

 
ซึ่งหากมีการนำองค์ประกอบใดๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาพรวมของการออกแบบ ข้อความต้นฉบับ กราฟิก เสียง วีดีโอ ไปใช้บนเว็บไซต์อื่นหรือโพสต์โซเชียลมีเดียอื่นที่ไม่ใช่ต้นฉบับโดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของก่อน นั่นถือเป็นการ “ละเมิดลิขสิทธิ์”  นอกจากนี้ การสแกนเนื้อหาจากวารสารและหนังสือที่ตีพิมพ์เพื่อโพสต์บนอินเทอร์เน็ตโดยไม่ได้รับอนุญาตก็ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์เช่นเดียวกัน ดังนั้นหากคุณวางแผนที่จะใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์วิธีที่ดีที่สุดที่ควรทำเพื่อไม่ใหเกิดปัญหาตามมาในภายหลัง คือการขออนุญาตให้ถูกต้องซึ่งเป็นกระบวนการที่ไม่ซับซ้อนเพียงแค่ทำการติดต่อกับเจ้าของต้นฉบับเท่านั้นซึ่งการอีเมลติดต่อกับเจ้าของต้นฉบับถือเป็นแนวทางปฏิบัติที่ง่ายที่สุด
 

องค์ประกอบที่สำคัญของลิขสิทธิ์

เพื่อให้เข้าใจลิขสิทธิ์ในโลกออนไลน์ให้ดียิ่งขึ้น เราจำเป็นต้องเข้าใจ “องค์ประกอบที่สำคัญของลิขสิทธิ์” ดังต่อไปนี้ครับ

 

1. สิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในผลงาน (Exclusive Rights)

คือ ลิขสิทธิ์ที่ให้สิทธิ์แก่ผู้สร้างและเจ้าของเนื้อหาแต่เพียงผู้เดียวในงานของตน หมายถึงชุดสิทธิ์ที่มอบให้แก่ผู้สร้างหรือเจ้าของผลงานสร้างสรรค์ต้นฉบับ สิทธิ์เหล่านี้ให้สิทธิ์แก่ผู้ถือลิขสิทธิ์ในการควบคุมการใช้และเผยแพร่ผลงานแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งโดยทั่วไปสิทธิพิเศษจะรวมถึงสิทธิ์ในการกระทำต่างๆ ต่อไปนี้
 
  • สิทธิ์ในการทำซ้ำ ผู้ถือลิขสิทธิ์ย่อมมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการทำสำเนาของงานในรูปแบบใด ๆ ไม่ว่าจะเป็น สิ่งพิมพ์ ดิจิทัล หรือสื่ออื่น ๆ
  • สิทธิ์ในการเผยแพร่ ผู้ถือลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการเผยแพร่สำเนาของงานสู่สาธารณะ ซึ่งรวมถึงการขาย การเช่า หรือการให้ยืมสำเนาของงาน
  • สิทธิ์ในการสร้างผลงานลอกเลียนแบบ ผู้ถือลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวในการสร้างการดัดแปลง การแปล หรือผลงานลอกเลียนแบบอื่น ๆ จากผลงานต้นฉบับ
  • สิทธิ์ในการเปิดเผยต่อสาธารณะ สำหรับงานบางประเภท เช่น เพลงหรือละคร ผู้ถือลิขสิทธิ์มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการเปิดเผยผลงานต่อสาธารณะ ซึ่งอาจรวมถึงการแสดงสด การออกอากาศ หรือการสตรีม
  • สิทธิ์ในการแสดงผลงานต่อสาธารณะ ผู้ถือลิขสิทธิ์มีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการแสดงผลงานต่อสาธารณะ สิ่งนี้มีความเกี่ยวข้องโดยเฉพาะกับงานทัศนศิลป์ เช่น ภาพวาดและประติมากรรม แต่ก็สามารถนำไปใช้กับงานประเภทอื่นๆ ได้เช่นกัน
  • สิทธิ์ในการถ่ายทอดทางดิจิทัล ในยุคดิจิทัล ผู้ถือลิขสิทธิ์ยังมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมการส่งผลงานของตนผ่านทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งรวมถึงการสตรีม การดาวน์โหลด และการเผยแพร่ทางออนไลน์
  • สิทธิ์ในการควบคุมการผลิตซ้ำของการบันทึกเสียง สิทธิ์นี้ใช้บังคับกับการบันทึกเสียงโดยเฉพาะ โดยให้ผู้ถือลิขสิทธิ์สามารถควบคุมการผลิตซ้ำเพลงที่บันทึกไว้ได้
สิทธิ์พิเศษเหล่านี้จะมอบให้กับผู้สร้างโดยอัตโนมัติเมื่อมีการสร้างผลงานที่มีคุณสมบัติตามที่กำหนด และโดยปกติแล้วจะคงอยู่ตามระยะเวลาของลิขสิทธิ์ ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่มักจะเป็นช่วงอายุของผู้สร้างบวกด้วย 50 ถึง 70 ปี ในช่วงเวลานี้ เฉพาะผู้ถือลิขสิทธิ์ (หรือผู้ที่ได้รับอนุญาตจากผู้ถือลิขสิทธิ์) เท่านั้นที่สามารถใช้สิทธิ์เหล่านี้ได้ สิทธิ์เหล่านี้ได้รับการออกแบบมาเพื่อจูงใจผู้สร้างโดยอนุญาตให้พวกเขาทำกำไรจากงานของตนและควบคุมวิธีใช้งาน ขณะเดียวกันก็ให้การผูกขาดที่จำกัดในการส่งเสริมการสร้างและการเผยแพร่ผลงานใหม่
 

2. ระยะเวลาในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ (Duration)

ส่วนใหญ่ลิขสิทธิ์จะมีอายุการใช้งานตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์บวกเพิ่มอีก 50 ถึง 70 ปี จากนั้นจะกลายเป็นสาธารณสมบัติที่ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ ซึ่งระยะเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์จะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ รวมถึงประเภทของงานและเวลาที่สร้างสรรค์ผลงาน อย่างไรก็ตาม มีหลักการทั่วไปบางประการที่สามารถสรุปได้ดังนี้ครับ
 
  • อายุของผู้แต่ง + 50/70 ปี ในหลายประเทศ การคุ้มครองลิขสิทธิ์จะคงอยู่ตลอดอายุของผู้เขียนบวกด้วย 50 ถึง 70 ปีภายหลังการเสียชีวิต ซึ่งหมายความว่าในช่วงชีวิตของผู้เขียนและจำนวนปีภายหลังการเสียชีวิต ผลงานของพวกเขาได้รับการคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ ระยะเวลาที่แน่นอนจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ดังนั้นจึงจำเป็นต้องตรวจสอบกฎหมายลิขสิทธิ์ของแต่ละประเทศ
  • ผลงานที่ไม่ระบุชื่อและนามแฝง สำหรับงานที่สร้างโดยผู้เขียนที่ไม่ระบุชื่อหรือนามแฝง หรือผลงานที่สร้างโดยองค์กร ระยะเวลาในการคุ้มครองลิขสิทธิ์มักจะแตกต่างกัน อาจเป็นจำนวนปีที่เฉพาะเจาะจงนับจากการสร้างหรือการตีพิมพ์ แทนที่จะขึ้นอยู่กับชีวิตของผู้เขียน
  • งานให้เช่า ในบางกรณี งานที่สร้างขึ้นโดยเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจ้างงานหรือเป็น “งานให้เช่า” อาจมีระยะเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์ที่แตกต่างกันออกไป ในกรณีเช่นนี้ ระยะเวลาลิขสิทธิ์อาจมีการกำหนดจำนวนปีที่แน่นอนนับจากวันที่สร้างหรือตีพิมพ์ แทนที่จะผูกติดกับชีวิตของผู้เขียน
  • ผลงานเก่า สำหรับงานเก่า กฎเกณฑ์อาจซับซ้อนกว่า ซึ่งกฎหมายลิขสิทธิ์มีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้นระยะเวลาในการคุ้มครองผลงานที่สร้างขึ้นก่อนกฎหมายลิขสิทธิ์สมัยใหม่จึงอาจแตกต่างกันอย่างมาก ผลงานเก่าบางชิ้นอาจตกเป็นสาธารณสมบัติและไม่อยู่ภายใต้การคุ้มครองลิขสิทธิ์อีกต่อไป
  • สาธารณสมบัติ เมื่อหมดระยะเวลาลิขสิทธิ์ ผลงานจะเข้าตกสู่การเป็นสาธารณสมบัติ และใครๆ ก็สามารถใช้ ทำซ้ำ และแจกจ่ายผลงานได้โดยไม่ต้องขออนุญาตหรือจ่ายค่าลิขสิทธิ์

อย่างไรก็ตาม จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบถึงกฎหมายลิขสิทธิ์เฉพาะสำหรับประเทศของคุณหรือประเทศที่คุณวางแผนจะใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์เพื่อทำความเข้าใจระยะเวลาของการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับงานชิ้นใดชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้ กฎหมายลิขสิทธิ์สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องติดตามการแก้ไขหรือแก้ไขกฎหมายเหล่านี้ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระยะเวลาการคุ้มครองลิขสิทธิ์สำหรับงานต่างๆ

 

3. การใช้งานลิขสิทธิ์โดยชอบธรรม (Fair Use) 

แน่นอนว่ากฎหมายลิขสิทธิ์นั้นทำหน้าที่เป็นกรอบการทำงานที่สำคัญในการปกป้องสิทธิ์ของผู้สร้างและสร้างแรงจูงใจในการสร้างสรรค์นวัตกรรม โดยให้สิทธิ์แก่ผู้แต่ง ศิลปิน และผู้สร้างเนื้อหาแต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมการใช้และการเผยแพร่ผลงานต้นฉบับของตน อย่างไรก็ตาม กฎหมายยังตระหนักด้วยว่ามีบางกรณีที่ควรใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่จำเป็นต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ซึ่งข้อยกเว้นที่สำคัญนี้เรียกว่า “การใช้งานโดยชอบ” (Fair Use) กล่าวคือการอนุญาตให้มีการใช้งานเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ได้อย่างจำกัด โดยไม่ต้องขอความยินยอมจากผู้ถือลิขสิทธิ์ ซึ่งเป็นการตระหนักถึงผลประโยชน์ของสังคมในการเข้าถึงและใช้งานที่มีลิขสิทธิ์เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆ เช่น การติชม การวิจารณ์ การศึกษา การรายงานข่าว การวิจัย และการสร้างสรรค์เชิงเปลี่ยนแปลงนั้นจะต้องสมดุลกับสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวของผู้ถือลิขสิทธิ์ การพิจารณาว่าการใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์เฉพาะเจาะจงเข้าข่ายเป็นการใช้งานโดยชอบธรรมหรือไม่นั้น เป็นกระบวนการที่ละเอียดอ่อน ที่ตามบทบัญญัติของกฎหมายนั้นต้องคำนึงถึงปัจจัยต่อไปนี้

 
  • วัตถุประสงค์และลักษณะของการใช้งาน ศาลจะพิจารณาว่าการใช้เนื้อหาดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ซึ่งหมายความว่าเป็นการเพิ่มความหมายหรือคุณค่าใหม่ให้กับงานต้นฉบับ การใช้งานเชิงเปลี่ยนแปลง เช่น การล้อเลียน การวิพากษ์วิจารณ์ หรือการใช้งานด้านการศึกษา มักจะมีแนวโน้มที่จะถือเป็นการใช้งานโดยชอบธรรมมากกว่า
  • ลักษณะของงานที่มีลิขสิทธิ์ งานบางชิ้นมีแนวโน้มที่จะได้รับการคุ้มครองการใช้งานโดยชอบมากกว่างานอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น เนื้อหาที่เป็นข้อเท็จจริงหรือให้ข้อมูลโดยทั่วไปเหมาะกับการใช้งานโดยชอบธรรมมากกว่างานสร้างสรรค์หรืองานสมมติ
  • จำนวนและสาระสำคัญของการใช้งาน ศาลจะประเมินทั้งปริมาณและคุณภาพจากการนำงานลิขสิทธิ์ของผู้อื่นมาใช้ หากนำงานลิขสิทธิ์ของคนอื่นมาใช้ในปริมาณมากก็ถือว่าเป็นการใช้ที่ไม่เป็นธรรม แต่การใช้เพียงส่วนเล็กๆ ที่ไม่จำเป็นของงานก็อาจมีแนวโน้มที่จะเข้าข่ายที่เป็นการใช้งานโดยชอบ
  • ผลกระทบต่อตลาด หรือมูลค่าของงานลิขสิทธิ์ หมายถึง ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้มูลค่าตลาดหรือศักยภาพทางการตลาดของงานที่มีลิขสิทธิ์ถือเป็นสิ่งสำคัญ หากการใช้งานทำให้มูลค่าทางการค้าของงานต้นฉบับลดลง อาจมีผลกระทบต่อการใช้งานโดยชอบธรรม

4. การจัดการสิทธิ์ดิจิทัล (DRM)

ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลและงานสร้างสรรค์สามารถแบ่งปันและเผยแพร่ผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างง่ายดาย การรักษาการควบคุมทรัพย์สินทางปัญญากลายเป็นข้อกังวลสูงสุดสำหรับผู้สร้างเนื้อหาและผู้ถือลิขสิทธิ์ การจัดการสิทธิ์ดิจิทัล หรือ Digital Rights Management เป็นเทคโนโลยีและกรอบกฎหมายที่หลากหลายซึ่งออกแบบมาเพื่อแก้ไขข้อกังวลเหล่านี้ โดยการปกป้องเนื้อหาดิจิทัล จัดการการเข้าถึง และปกป้องสิทธิ์ของเจ้าของเนื้อหา โดยเจ้าของเนื้อหามักจะใช้เทคโนโลยีหรือกรรมวิธีต่างๆ เพื่อปกป้องเนื้อหาดิจิทัลของตนจากการคัดลอกหรือการเผยแพร่โดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของ DRM คือเพื่อป้องกันการคัดลอก แบ่งปัน และละเมิดลิขสิทธิ์สื่อดิจิทัลโดยไม่ได้รับอนุญาต ในขณะเดียวกันก็รักษาสิทธิ์ของผู้สร้างเนื้อหาและผู้จัดจำหน่าย ซึ่งส่วนประกอบสำคัญของ DRM นั้นครอบคลุมองค์ประกอบและฟังก์ชันหลักหลายประการ ได้แก่

 
  • การควบคุมการเข้าถึง หมายถึง การจำกัดการเข้าถึงเนื้อหาดิจิทัลสำหรับผู้ใช้ที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น โดยทั่วไปจะทำได้ผ่านการเข้ารหัส การรับรองความถูกต้องของผู้ใช้ และการออกคีย์การเข้าถึงหรือใบอนุญาต
  • การป้องกันการคัดลอก เทคโนโลยี DRM ที่จำกัดหรือห้ามการคัดลอกหรือการจำลองไฟล์ดิจิทัล วิธีนี้จะป้องกันไม่ให้ผู้ใช้ทำสำเนาเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์โดยไม่ได้รับอนุญาต
  • ข้อจำกัดการใช้งาน DRM สามารถบังคับใช้ข้อจำกัดเกี่ยวกับวิธีการใช้เนื้อหาดิจิทัลได้ ตัวอย่างเช่น สามารถควบคุมจำนวนอุปกรณ์ที่สามารถอ่าน eBook โดยเฉพาะหรือจำนวนครั้งที่สามารถเล่นเพลงได้
  • วันหมดอายุ ระบบ DRM บางระบบรวมวันหมดอายุไว้ในใบอนุญาตเนื้อหา ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงเนื้อหาได้หลังจากช่วงระยะเวลาหนึ่งหรือเมื่อมีการยกเลิกการสมัครสมาชิก
  • ลายน้ำและการติดตาม DRM อาจรวมถึงเทคนิคต่างๆ เช่น ลายน้ำดิจิทัล หรือการติดตามแหล่งที่มาของสำเนาที่ไม่ได้รับอนุญาต

แล้วการคุ้มครอง ลิขสิทธิ์ ไม่ครอบคลุมถึงอะไร?

เช่นเดียวกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ในบริบทอื่นๆ การคุ้มครองลิขสิทธิ์ออนไลน์มีข้อจำกัดและข้อยกเว้นบางประการ แม้ว่ากฎหมายลิขสิทธิ์มีเป้าหมายเพื่อปกป้องสิทธิ์ของผู้สร้างและเจ้าของเนื้อหา แต่ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกสถานการณ์หรือประเภทของเนื้อหา ซึ่งต่อไปนี้คือบางประเด็นที่โดยทั่วไปไม่ครอบคลุมอยู่ในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ครับ

1. ไอเดียและคอนเซปต์

กฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองการแสดงออกของแนวคิด แต่ไม่ใช่ตัวแนวคิดเอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ วิธีการนำเสนอแนวคิดที่เฉพาะเจาะจง เช่น ในหนังสือ บทความ หรืองานศิลปะ ได้รับการคุ้มครอง แต่แนวคิดที่ซ่อนอยู่ไม่ได้รับการคุ้มครอง เช่น คุณไม่สามารถจดลิขสิทธิ์แนวคิดของเรื่องราวความรักได้ แต่คุณสามารถลิขสิทธิ์ข้อความของเรื่องราวความรักที่คุณเขียนได้ เป็นต้น

2. ข้อเท็จจริงและข้อมูล

ลิขสิทธิ์ไม่ได้คุ้มครองข้อเท็จจริง ข้อมูล หรือข่าวสาร ทุกคนสามารถใช้และแบ่งปันข้อมูลข้อเท็จจริงได้อย่างอิสระ อย่างไรก็ตาม การนำเสนอและการจัดระเบียบข้อเท็จจริงหรือข้อมูลอาจได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ตัวอย่างเช่น รายการหมายเลขโทรศัพท์ในสมุดโทรศัพท์ไม่ได้รับการปกป้อง แต่วิธีการจัดระเบียบและนำเสนอข้อมูลอาจมีลิขสิทธิ์

3. ชื่อและวลีสั้นๆ

โดยทั่วไปชื่อหนังสือ ภาพยนตร์ เพลง และวลีสั้นๆ จะไม่มีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ชื่อและวลีสั้นๆ อาจยังคงได้รับการคุ้มครองโดยทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบอื่น เช่น กฎหมายเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายการค้าใช้เพื่อปกป้องชื่อแบรนด์ สโลแกน และอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการ และมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างจากลิขสิทธิ์ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปกป้องงานสร้างสรรค์เป็นหลัก อย่างไรก็ตาม การคุ้มครองเครื่องหมายการค้าจำเป็นต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่แตกต่างกันและเกี่ยวข้องกับกรอบกฎหมายที่แตกต่างกัน ต่อไปนี้คือเหตุผลที่ในบางกรณี ชื่อและวลีสั้นๆ อาจไม่ได้รับการคุ้มครองในเรื่องลิขสิทธิ์

  • ขาดความคิดริเริ่ม การคุ้มครองลิขสิทธิ์จำเป็นต้องมีผลงานที่ตรงตามเกณฑ์ของความคิดริเริ่ม ซึ่งหมายความว่าจะต้องเป็นผลมาจากการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ ซึ่งชื่อและวลีสั้นๆ ส่วนใหญ่มักประกอบด้วยคำไม่กี่คำหรือคำผสมกันง่ายๆ ที่มักไม่เป็นไปตามข้อกำหนดนี้ เนื่องจากขาดความคิดสร้างสรรค์ที่จำเป็น
  • ความยาวที่จำกัด กฎหมายลิขสิทธิ์มีแนวโน้มที่จะปกป้องผลงานที่ยาวและมีความสำคัญมากกว่า เช่น นวนิยาย เพลง หรืองานศิลปะ ชื่อและวลีสั้นๆ มักสั้นเกินไปที่จะมีสิทธิ์ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ เนื่องจากไม่มีการแสดงออกและความคิดสร้างสรรค์ที่ลึกซึ้งพอตามที่กฎหมายลิขสิทธิ์พยายามปกป้อง
  • ความเป็นสาธารณะ ชื่อและวลีสั้น ๆ จำนวนมากเป็นสำนวนทั่วไปหรือใช้คำที่รู้จักกันทั่วไป ทำให้เป็นส่วนหนึ่งของสาธารณสมบัติ กฎหมายลิขสิทธิ์ไม่ได้คุ้มครองผลงานที่เป็นสาธารณสมบัติ ซึ่งหมายความว่าทุกคนสามารถนำไปใช้ได้ฟรีโดยไม่มีข้อจำกัด
  • แนวคิดและการแสดงออกของแนวคิด กฎหมายลิขสิทธิ์แยกความแตกต่างระหว่างแนวคิดและการแสดงออกของแนวคิดเหล่านั้น ชื่อและวลีสั้นๆ มักถูกพิจารณาว่าเป็นแนวคิดหรือองค์ประกอบเชิงฟังก์ชันมากกว่าการแสดงออกทางความคิดสร้างสรรค์ และลิขสิทธิ์ก็ปกป้องการแสดงออกของแนวคิดมากกว่าตัวแนวคิดเอง
  • การส่งเสริมการสื่อสาร  การอนุญาตให้ผู้อื่นใช้ชื่อและวลีสั้นๆ อย่างเสรีจะส่งเสริมการสื่อสารและการแลกเปลี่ยนข้อมูล ลองนึกภาพว่าหากวลีในชีวิตประจำวันหรือชื่อทั่วไปมีลิขสิทธิ์ มันจะสร้างข้อจำกัดที่สำคัญในด้านภาษาและการสื่อสาร

4. ผลงานที่เป็นสาธารณสมบัติ

งานที่เป็นสาธารณสมบัติจะไม่ได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์และใครก็ตามสามารถนำไปใช้ได้โดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งเหตุที่ผลงานสามารถตกเป็นสาธารณสมบัติได้เนื่องจากการหมดอายุของลิขสิทธิ์ การอุทิศโดยผู้สร้าง หรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านลิขสิทธิ์ เป็นต้น

5. ลิขสิทธิ์ที่หมดอายุ

การคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นมีระยะเวลาที่จำกัด ซึ่งอาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่โดยทั่วไป คือ ช่วงอายุของผู้สร้างสรรค์บวกด้วยอีก 50 ถึง 70 ปี เมื่อลิขสิทธิ์หมดอายุ งานดังกล่าวจะกลายเป็นสาธารณสมบัติทันที

6. การใช้งานโดยชอบธรรมและข้อยกเว้นอื่นๆ

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ากฎหมายลิขสิทธิ์มักจะมีข้อยกเว้น เช่น การใช้งานโดยชอบธรรม (Fair Use)  ซึ่งอนุญาตให้ใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์อย่างจำกัดโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อวัตถุประสงค์ เช่น การติชม การวิจารณ์ การรายงานข่าว หรือ การศึกษา ซึ่งข้อยกเว้นเหล่านี้อยู่ภายใต้เกณฑ์เฉพาะและอาจไม่ครอบคลุมการใช้งานทั้งหมด

7. วิธีการใช้งานหรือการดำเนินงาน

ลิขสิทธิ์ไม่ได้ปกป้องการทำงานหรือประโยชน์ใช้สอยของวัตถุ ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบเก้าอี้หรือกลไกของเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม วิธีการใช้งานหรือการดำเนินงานอาจได้รับการคุ้มครองโดยทรัพย์สินทางปัญญารูปแบบอื่น ได้แก่ สิทธิบัตรหรือสิทธิ์ในการออกแบบทางอุตสาหกรรม (Industrial Property) 

8. การสร้างสรรค์โดยอิสระ

หากบุคคลสองคนขึ้นไปสร้างผลงานที่คล้ายกันโดยแยกจากกัน ผลงานแต่ละชิ้นจะถือว่ามีลิขสิทธิ์แยกกัน แม้ว่าจะมีความคล้ายกันมากก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบคือกฎหมายลิขสิทธิ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ และบางประเทศอาจมีกฎที่แตกต่างกันในประเด็นการได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ นอกจากนี้ การตีความและการบังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อาจมีความซับซ้อนและอาจเกี่ยวข้องกับความแตกต่างทางกฎหมาย ดังนั้น ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายหรือผู้เชี่ยวชาญด้านทรัพย์สินทางปัญญาสำหรับคำถามหรือข้อกังวลเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองลิขสิทธิ์

9. แนวคิดเชิงนามธรรม 

เนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์คุ้มครองเฉพาะการแสดงออกของแนวคิดเท่านั้นไม่ใช่ตัวแนวคิดเอง ซึ่งรวมไปถึง หลักการ การค้นพบ ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ เนื่องจากกฎหมายลิขสิทธิ์ได้รับการออกแบบมาเพื่อส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์และแบ่งปันความรู้โดยให้สิทธิ์แก่ผู้สร้างแต่เพียงผู้เดียวในผลงานต้นฉบับที่ตนเป็นผู้แต่งในระยะเวลาที่จำกัด การคุ้มครองนี้ใช้กับรูปแบบการแสดงออกที่เฉพาะเจาะจง เช่น หนังสือ ดนตรี ศิลปะ และซอฟต์แวร์ แต่ไม่ขยายไปถึงแนวคิดหรือข้อเท็จจริงที่เป็นพื้นฐาน
 
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ลิขสิทธิ์นั้นคุ้มครองวิธีการแสดงไอเดีย แต่ไม่ได้ให้สิทธิ์การเป็นเจ้าของไอเดียนั้นเอง หลักการนี้อยู่ระหว่างการแสดงออกและความคิด ซึ่งเป็นแนวคิดพื้นฐานในกฎหมายลิขสิทธิ์ โดยตระหนักว่าแนวคิด ข้อเท็จจริง และหลักการพื้นฐานควรมีให้ทุกคนนำไปใช้และต่อยอดเพื่อแสวงหาความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม และความรู้เพิ่มเติม
 
ตัวอย่างเช่น หากมีคนเขียนหนังสือที่อธิบายทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใหม่ ข้อความและภาพประกอบเฉพาะในหนังสือเล่มนี้อาจได้รับการคุ้มครองทางลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่ซ่อนอยู่นั้นอาจไม่ได้รับการคุ้มครอง และทฤษฎีอื่นๆ ย่อมมีอิสระในการใช้ อภิปราย และสร้างต่อยอดทฤษฎีนั้นโดยไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ซึ่งความแตกต่างนี้มีความสำคัญต่อการส่งเสริมความก้าวหน้าของวิทยาศาสตร์ ศิลปะ และนวัตกรรมโดยสนับสนุนให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดและข้อมูลอย่างเสรี ในขณะเดียวกันก็สร้างแรงจูงใจให้ผู้สร้างสร้างผลงานต้นฉบับ และถ้าหากแนวคิดและหลักการเชิงนามธรรมต่างๆ ได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ย่อมมีโอกาสที่จะไปขัดขวางความคิดสร้างสรรค์ การวิจัย และความก้าวหน้าของความรู้ได้นั่นเอง
 

ลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ สำคัญอย่างไร?

ในขณะที่ผู้สร้างทุ่มเททั้งหัวใจ และจิตวิญญาณในการผลิตผลงานศิลปะ วรรณกรรม ดนตรี และอื่นๆ อีกมากมายที่เป็นต้นฉบับ พวกเขากำลังเผชิญกับความท้าทายที่น่ากังวลในการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาของตนในสภาพแวดล้อมที่การคัดลอกและแบ่งปันเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากในปัจจุบัน ซึ่งการที่ผลงานมีเรื่องของลิขสิทธิ์คุ้มครองจึงมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ผู้สร้างสรรค์เป็นเจ้าของในผลงานโดยชอบธรรมและช่วยป้องกันการนำผลงานที่สร้างขึ้นไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์ทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งต่อไปนี้คือประเด็นสำคัญที่อธิบายถึงความสำคัญของลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ได้เป็นอย่างดีครับ

 

1. คุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

กฎหมายลิขสิทธิ์นั้นช่วยรับรองว่าผู้สร้างหรือศิลปินจะสามารถปกป้องผลงานต้นฉบับของตนได้ รวมถึงเนื้อหาที่เป็นลายลักษณ์อักษร อาทิ เพลง วิดีโอ ซอฟต์แวร์ และอื่นๆ ซึ่งหากไม่มีการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ผู้สร้างและศิลปินอาจไม่ทำการผลิตเนื้อหาใหม่ๆ ออกมา เนื่องจากพวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยเหลือทางกฎหมายหากผู้อื่นคัดลอกหรือใช้ผลงานของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต 

 

2. เป็นสิ่งจูงใจสำหรับความคิดสร้างสรรค์

ลิขสิทธิ์ทำให้ผู้สร้างมีแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาใหม่และนวัตกรรมต่างๆ ทำให้พวกเขามั่นใจว่าจะสามารถสร้างผลกำไรจากผลงานของพวกเขา กล่าวคือ การคุ้มครองลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์นั้นช่วยส่งเสริมระบบนิเวศออนไลน์ที่มีชีวิตชีวาของผลงานต่างๆ อาทิ ดนตรี วรรณกรรม ศิลปะ และอื่นๆ อีกมากมาย
 

3. การอนุรักษ์วัฒนธรรม

ลิขสิทธิ์สามารถช่วยรักษามรดกทางวัฒนธรรมและความหลากหลายได้ ช่วยให้มั่นใจได้ว่าเรื่องราวดั้งเดิม ศิลปะ และการแสดงออกทางวัฒนธรรมอื่นๆ ได้รับการคุ้มครอง ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ที่ความหลากหลายทางวัฒนธรรมมีความเสี่ยงที่จะถูกบดบังด้วยพลังทางวัฒนธรรมที่ครอบงำ
 

4. ป้องกันการลอกเลียนแบบ

ลิขสิทธิ์คุ้มครองผู้สร้างจากการคัดลอกหรือใช้ผลงานโดยไม่ได้รับอนุญาต นี่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้แต่ง ศิลปิน และ ผู้สร้างเนื้อหาที่ต้องพึ่งพางานของตนเพื่อหาเลี้ยงชีพ
 

5. ควบคุมการเผยแพร่ทางดิจิทัล

ในโลกออนไลน์ ลิขสิทธิ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการจัดการการเผยแพร่และการเผยแพร่เนื้อหาดิจิทัล ช่วยให้ผู้สร้างและผู้จัดจำหน่ายสามารถควบคุมวิธีการใช้เนื้อหาของตนและป้องกันการคัดลอกและแบ่งปันโดยไม่ได้รับอนุญาต
 

6. มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ

อุตสาหกรรมเนื้อหามีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจโลก ลิขสิทธิ์ช่วยให้แน่ใจว่าผู้สร้างและเจ้าของเนื้อหาได้รับการชดเชยสำหรับการมีส่วนร่วมในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจนี้
 

7. การรักษาสมดุลของผลประโยชน์

กฎหมายลิขสิทธิ์มีเป้าหมายเพื่อสร้างสมดุลระหว่างสิทธิของผู้สร้างและผลประโยชน์ของสาธารณะ ตระหนักถึงความสำคัญของทั้งการปกป้องทรัพย์สินทางปัญญาและการอนุญาตให้มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอย่างเสรี

เว็บไซต์ มีลิขสิทธิ์ คุ้มครองหรือไม่

เว็บไซต์มี ลิขสิทธิ์ คุ้มครองหรือไม่

เว็บไซต์มี ลิขสิทธิ์ คุ้มครองหรือไม่?

เว็บไซต์ก็เหมือนกับงานสร้างสรรค์อื่นๆ ที่สามารถมีลิขสิทธิ์ได้เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่ควรทราบ คือ การคุ้มครองลิขสิทธิ์นั้นสามารถใช้ได้กับองค์ประกอบสร้างสรรค์เฉพาะของเว็บไซต์ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ กราฟิก ตลอดจนโค้ดที่ประกอบขึ้นเป็นเนื้อหาและการออกแบบ เว็บไซต์โดยรวมอาจได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์  ซึ่งต่อไปนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเกี่ยวกับลิขสิทธิ์เว็บไซต์ครับ

1. เนื้อหา

ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ หรือเนื้อหาสร้างสรรค์อื่นๆ ต้นฉบับที่เผยแพร่บนเว็บไซต์จะได้รับการคุ้มครองลิขสิทธิ์โดยอัตโนมัติทันทีที่มีการสร้างและแก้ไขในรูปแบบที่จับต้องได้ ซึ่งหมายความว่าผู้สร้างหรือเจ้าของเนื้อหาของเว็บไซต์ย่อมมีสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในการควบคุมวิธีการใช้และเผยแพร่เนื้อหาดังกล่าวบนเว็บไซต์

2. การออกแบบเว็บไซต์

องค์ประกอบการออกแบบของเว็บไซต์ เช่น เค้าโครง กราฟิก และอินเทอร์เฟซผู้ใช้ ยังสามารถได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์หากเป็นต้นฉบับและสร้างสรรค์ การป้องกันนี้ใช้กับด้านภาพและศิลปะของการออกแบบ

3. องค์ประกอบด้านการทำงาน

ลิขสิทธิ์ไม่ได้ปกป้องการทำงานหรือประโยชน์ใช้สอยของเว็บไซต์ เช่น โค้ดพื้นฐานของเว็บไซต์ หรือการจัดระเบียบเมนูการนำทาง ลักษณะเหล่านี้อาจอยู่ภายใต้การคุ้มครองทางกฎหมายในรูปแบบอื่น เช่น สิทธิบัตรหรือความลับทางการค้า หากมี

4. สาธารณสมบัติและการใช้งานโดยชอบธรรม

เช่นเดียวกับงานสร้างสรรค์รูปแบบอื่นๆ การใช้เนื้อหาเว็บไซต์บางอย่างอาจอยู่ภายใต้หลักคำสอนของ “การใช้งานโดยชอบธรรม” โดยอนุญาตให้มีการใช้งานอย่างจำกัดโดยไม่ได้รับอนุญาตสำหรับวัตถุประสงค์ เช่น การวิจารณ์ การแสดงความคิดเห็น การรายงานข่าวหรือการศึกษา นอกจากนี้ เนื้อหาเว็บไซต์บางส่วนอาจเป็นสาธารณสมบัติ ซึ่งหมายความว่าไม่ได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์และทุกคนสามารถนำไปใช้ได้อย่างอิสระ

5. ข้อกำหนดการใช้งาน

เว็บไซต์หลายแห่งมีข้อกำหนดการใช้งานหรือข้อตกลงการให้บริการที่ระบุรายละเอียดว่าผู้ใช้สามารถและไม่สามารถใช้เนื้อหาและบริการที่มีให้บนเว็บไซต์ได้อย่างไร ข้อกำหนดเหล่านี้สามารถระบุขอบเขตที่ผู้ใช้สามารถใช้ซ้ำหรือทำซ้ำเนื้อหาเว็บไซต์ได้

6. ครีเอทีฟคอมมอนส์

เจ้าของเว็บไซต์บางรายเลือกที่จะอนุญาตให้ผู้อื่นใช้เนื้อหาของตนภายใต้ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ ซึ่งอนุญาตให้มีการแบ่งปันและนำมาใช้ซ้ำในระดับต่างๆ โดยที่ยังคงรักษาสิทธิ์บางประการ ผู้ใช้ควรปฏิบัติตามข้อกำหนดเฉพาะของใบอนุญาต Creative Commons
เมื่อใช้เนื้อหาดังกล่าว สิ่งสำคัญคือต้องจำไว้ว่ากฎหมายลิขสิทธิ์อาจแตกต่างกันไปตามเขตอำนาจศาล และความเฉพาะเจาะจงของวิธีการปกป้องเนื้อหาของเว็บไซต์นั้นขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศที่โฮสต์เว็บไซต์นั้นหรือถิ่นที่เจ้าของลิขสิทธิ์นั้นๆ อาศัยอยู่ นอกจากนี้ เว็บไซต์สามารถมีผู้ถือลิขสิทธิ์ได้หลายราย รวมถึงผู้สร้างเนื้อหา ผู้ออกแบบ และนักพัฒนา ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเคารพสิทธิ์ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเมื่อมีการนำเนื้อหาของเว็บไซต์ไปใช้ต่อ

ระวัง! ละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว

ระวังละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่รู้ตัว
การหลีกเลี่ยงการละเมิดลิขสิทธิ์เป็นสิ่งสำคัญโดยเฉพาะในโลกของอินเทอร์เน็ตที่เนื้อหาต่างๆ ถูกสร้างและแบ่งปันได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย เพื่อให้การปฏิบัติต่างๆ อยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายและเคารพสิทธิ์ของผู้สร้างและเจ้าของเนื้อหา ต่อไปนี้เป็นขั้นตอนสำคัญที่ต้องดำเนินการและสิ่งที่ต้องระมัดระวังเพื่อลดความเสี่ยงของการละเมิดลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างเนื้อหาต่างๆ ทางดิจิทัล และการใช้โซเชียลมีเดียในแพลตฟอร์มต่างๆ ตลอดจนการกระทำอื่นๆ อีกมากมายบนโลกที่อาจจะเข้าข่ายการละเมิดลิขสิทธิ์ได้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ครับ
 

1. ทำความเข้าใจกฎหมายลิขสิทธิ์

ทำความคุ้นเคยกับพื้นฐานของกฎหมายลิขสิทธิ์ รวมถึงประเภทของเนื้อหาที่ได้รับการคุ้มครอง สิทธิ์ของผู้ถือลิขสิทธิ์ และแนวคิดของการใช้งานโดยชอบธรรม ความรู้เหล่านี้จะช่วยให้คุณมีข้อมูลในการตัดสินใจทางออนไลน์ก่อนที่จะดำเนินการใดๆ ที่อาจเสี่ยงต่อการละเมิดลิขสิทธิ์
 

2. สร้างเนื้อหาต้นฉบับ

หากเป็นไปได้ คุณควรสร้างและใช้เนื้อหาต้นฉบับของคุณเอง ซึ่งรวมถึงข้อความ รูปภาพ วิดีโอ และสื่อรูปแบบอื่นๆ เมื่อคุณสร้างบางสิ่งขึ้นมาเอง คุณจะเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ของสิ่งนั้นโดยอัตโนมัติ
 

3. ขออนุญาตก่อนการนำไปใช้ซ้ำ

อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการใช้งานที่มีลิขสิทธิ์ของผู้อื่น โปรดขออนุญาตจากผู้ถือลิขสิทธิ์ โดยติดต่อกับผู้สร้างเพื่อขอความยินยอมเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อใช้เนื้อหาของพวกเขาในลักษณะเฉพาะตามความคุ้มครองทางลิขสิทธิ์
 

4. ตรวจสอบใบอนุญาต

ผู้สร้างและองค์กรบางรายใช้กรอบงานใบอนุญาต (License Framework)  เช่น ใบอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ เพื่อให้สิทธิ์ในการใช้งานเฉพาะของตน ตรวจสอบเงื่อนไขการอนุญาตที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาเสมอเพื่อให้แน่ใจว่าคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดเหล่านั้น
 

5. ทำความเข้าใจเรื่อง Fair Use 

ทำความเข้าใจในผลงานต่างๆ ที่ตกเป็นสาธารณสมบัติ (เนื้อหาที่ไม่ได้รับการคุ้มครองโดยลิขสิทธิ์) และแนวคิดของ Fair Use หรือการใช้งานโดยชอบธรรม เช่น การศึกษาหรือ การวิพากษ์วิจารณ์ อย่างไรก็ตาม โปรดทราบว่าแนวคิดเหล่านี้อาจเป็นเรื่องส่วนตัวและอาจแตกต่างกันไปตามเขตรับผิดชอบของอำนาจศาลในแต่ละประเทศ
 

6. อ้างอิงแหล่งที่มาอย่างถูกต้อง

หากคุณใช้เนื้อหาภายใต้ใบอนุญาตที่ต้องมีการระบุแหล่งที่มา ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ระบุแหล่งที่มาที่ถูกต้องตามที่ระบุไว้ในข้อกำหนดใบอนุญาต ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับการให้เครดิตผู้สร้างและระบุลิงก์ไปยังแหล่งที่มา
 

7. การเชื่อมโยงกับการผลิตซ้ำ

โดยทั่วไปแล้วการเชื่อมโยงไปยังเนื้อหาบนอินเทอร์เน็ต เช่น การแชร์ URL ไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตาม การทำซ้ำหรือคัดลอกเนื้อหาโดยตรงโดยไม่ได้รับอนุญาตอาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ได้
 

8. การใช้งานเพื่อการปรับเปลี่ยน

บางครั้งการเปลี่ยนแปลงหรือการเพิ่มความแปลกใหม่ให้กับเนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์อาจถือได้ว่าเป็นการใช้งานโดยชอบธรรม ตัวอย่างเช่น การสร้างงานล้อเลียน การวิจารณ์ หรือการรีมิกซ์ที่เปลี่ยนแปลงงานต้นฉบับอย่างมีนัยสำคัญซึ่งอาจได้รับการคุ้มครองภายใต้การใช้งานโดยชอบ
 

9. การใช้งานด้านการศึกษาและไม่แสวงหาผลกำไร

ในบางกรณี สถาบันการศึกษาและองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรอาจมีข้อยกเว้นหรือแนวทางปฏิบัติเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการใช้เนื้อหาที่มีลิขสิทธิ์ อย่างไรก็ตามคุณจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับกฎเกณฑ์ที่ใช้กับบริบทของคุณ
 

10. ระมัดระวังเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น

เมื่อแชร์หรือโพสต์เนื้อหาที่สร้างโดยผู้อื่นบนโซเชียลมีเดีย หรือแพลตฟอร์ม ต่างๆ ที่มีเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นใหม่ แน่นอนว่าผู้สร้างดั้งเดิมยังคงเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์เนื้อหาเหล่านั้นอยู่ ดังนั้นคุณควรเคารพข้อกำหนดในการใช้งานและระดับของการอนุญาตที่เกี่ยวข้องก่อนการแชร์หรือโพสต์ในโซเชียลมีเดียเสมอ
 

11. ใช้แหล่งที่มาที่เชื่อถือได้

เมื่อคุณค้นหาเนื้อหาที่ต้องการจะนำไปใช้ในการอ้างอิง ให้จัดลำดับความสำคัญของแหล่งที่มาที่เชื่อถือได้ เช่น เว็บไซต์ภาพสต็อก หรือที่เก็บเนื้อหาที่ระบุสิทธิ์การใช้งานและเงื่อนไขการอนุญาตอย่างชัดเจน เป็นต้น
 

12. อัปเดตข้อมูลด้านลิขสิทธิ์อยู่เสมอ 

กฎหมายลิขสิทธิ์สามารถเปลี่ยนแปลงและพัฒนาได้ตลอด โดยเฉพาะในยุคดิจิทัล คุณควรติดตามข่าวสารเกี่ยวกับการอัปเดตหรือการเปลี่ยนแปลงกฎหมายลิขสิทธิ์อยู่เสมอ จำไว้ว่าการละเมิดลิขสิทธิ์โดยไม่ได้ตั้งใจสามารถส่งผลทางกฎหมายได้ หากคุณไม่แน่ใจเกี่ยวกับความถูกต้องตามกฎหมายของการใช้เนื้อหาบางอย่าง วิธีที่ดีที่สุดคือขอคำแนะนำทางกฎหมายหรือเลือกทางเลือกอื่นๆ ที่ไม่ทำให้เกิดข้อกังวลเรื่องลิขสิทธิ์ เพราะการเคารพลิขสิทธิ์ไม่เพียงแต่ช่วยให้คุณถูกกฎหมายเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมสภาพแวดล้อมออนไลน์ที่ยุติธรรมและสร้างสรรค์อีกด้วยครับ
 
 
 
แหล่งที่มา :
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *