Hacker – เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักหรือคุ้นเคยกับคำว่า “แฮกเกอร์” กันเป็นอย่างดีใช่มั้ยครับ หรือบางคนอาจเคยมีประสบการณ์โดนเหล่าแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลหรือแฮกบัญชีโซเชียลมีเดียหรือบัญชีอีเมลต่างๆ กันมาบ้างไม่มากก็น้อย อย่างไรก็ตามวันนี้ Talka จะพาทุกคนมาทำความรู้จักโลกของแฮกเกอร์ พร้อมทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภทของแฮกเกอร์ที่ความจริงแล้วมีอยู่หลายประเภท ตลอดจนวิธีป้องกันและรับมือเหล่าอาชญากรไซเบอร์เพื่อไม่ให้คุณทั้งในฐานะ องค์กร หรือ บุคคล ต้องตกเป็นเหยื่อของผู้ไม่ประสงค์ดีได้ง่ายๆ ครับ
Hacker คืออะไร?

ทำความเข้าใจ Hacker คืออะไร?
ประวัติความเป็นมาของ Hacker และการแฮก
จุดกำเนิดของแฮกเกอร์
ยุคแรกของการแฮกคอมพิวเตอร์
อาชญากรรมไซเบอร์ครั้งสำคัญที่โลกต้องจดจำ
Hacker มีกี่ประเภท

1. แฮกเกอร์หมวกขาว (White Hat Hackers)
2. แฮกเกอร์หมวกดำ (Black Hat Hackers)
3. แฮกเกอร์หมวกเทา (Gray Hat Hackers)
4. แฮกเกอร์หมวกน้ำเงิน (Blue Hat Hackers)
5. แฮกเกอร์หมวกแดง (Red Hat Hackers)
6. แฮกเกอร์หมวกเขียว (Green Hat Hackers)
7. แฮกเกอร์มือสมัครเล่น (Script Kiddies Hackers)
8. แฮกเกอร์นักเคลื่อนไหวทางการเมือง (Hacktivists)
9. แฮกเกอร์ที่รัฐบาลให้การสนับสนุน (State/Nation Sponsored Hackers)
10. บุคคลภายในที่เป็นอันตราย (Malicious Insiders)
รูปแบบการโจมตีของแฮกเกอร์ในปัจจุบัน

รูปแบบของการโจมตีทางไซเบอร์นั้นมีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงหนุนจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นของอาชญากรไซเบอร์ การโจมตีทางไซเบอร์นั้นเน้นให้เห็นถึงแนวโน้มสำคัญหลายประการที่องค์กรต่างๆ ต้องตระหนักแนวโน้มเหล่านี้รวมถึงการใช้การโจมตีที่สร้างโดย AI ที่เพิ่มมากขึ้น การโจมตีในระดับโลกโดยแฮกเกอร์ที่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของรัฐบางประเทศ และการเพิ่มขึ้นของแรนซัมแวร์อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ความถี่ของการละเมิดข้อมูลที่เพิ่มขึ้นได้กลายเป็นสิ่งสำคัญสำหรับองค์กรในการต้องหามาตรการในการปกป้องข้อมูลและระบบของตน ซึ่งในส่วนนี้เราจะพูดถึงรูปแบบการโจมตีของแฮกเกอร์ในปัจจุบันว่ามีรูปแบบใดบ้างครับ ต่อไปนี้เป็นข้อมูลสรุปโดยย่อเกี่ยวกับประเภทการโจมตีของแฮกเกอร์ที่พบเห็นได้ในปัจจุบัน
1. การโจมตีด้วยมัลแวร์ (Malware Attacks)
การโจมตีด้วยมัลแวร์ หมายถึง การใช้ซอฟต์แวร์ที่เป็นอันตราย เช่น ไวรัส เวิร์ม โทรจัน แรนซัมแวร์ สปายแวร์ และแอดแวร์ และอื่นๆ ที่สามารถทำให้ระบบติดไวรัส เป้าหมายคือเพื่อขโมยข้อมูลหรือกักข้อมูลไว้เพื่อเรียกค่าไถกับผู้ที่เป็นเจ้าของระบบ การถูกโจมตีด้วยมัลแวร์อาจส่งผลกระทบร้ายแรง อาทิ การสูญเสียข้อมูล ความเสียหายของระบบ การสูญเสียทางการเงิน และความเสียหายต่อชื่อเสียงขององค์กร
2. การโจมตีแบบฟิชชิ่ง (Phishing Attacks)
เป็นรูปแบบที่ผู้โจมตีจะใช้อีเมล ข้อความ หรือเว็บไซต์หลอกลวง เพื่อหลอกให้ผู้ใช้เปิดเผยข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหรือทำการติดตั้งมัลแวร์ สำหรับองค์กรต่างๆ เราสามารถป้องกันการโจมตีแบบฟิชชิ่งโดยการฝึกอบรมพนักงานให้จดจำข้อความที่น่าสงสัย โดยใช้การตรวจสอบสิทธิ์ หรือ การรับรองความถูกต้องแบบหลายปัจจัย Multi-Factor Authentication (MFA) และตรวจสอบความถูกต้องของคำขอ เป็นต้น
3. การโจมตีแบบแทรกกลางระหว่างบุคคล (Man-in-the-Middle Attacks)
การโจมตีแบบคนกลาง (MITM) เป็นการโจมตีทางไซเบอร์ประเภทหนึ่งที่ผู้โจมตีแทรกตัวเองระหว่างสองฝ่ายที่เชื่อว่าพวกเขากำลังสื่อสารกันโดยตรง ผู้โจมตีสามารถสกัดกั้น ติดตาม และอาจแก้ไขการสื่อสารระหว่างทั้งสองฝ่ายโดยที่พวกเขาไม่รู้ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่คุณจำเป็นต้องใช้ Wi-Fi สาธารณะ ควรระวังเว็บไซต์ปลอมเพื่อป้องกันการโจมตีในลักษณะนี้
4. การโจมตีแบบ Zero-Day Exploits
การใช้ประโยชน์จากช่องโหว่แบบซีโร่เดย์ คือ การโจมตีทางไซเบอร์ประเภทหนึ่งที่ผู้โจมตีใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ที่ไม่รู้จักมาก่อนในซอฟต์แวร์หรือฮาร์ดแวร์ ก่อนที่จะมีการพัฒนาแพตช์เพื่อแก้ไข ซึ่งหมายความว่าผู้จำหน่ายซอฟแวร์แอนตไวรัสต่างๆ ยังไม่ทราบช่องโหว่นี้ ดังนั้นจึงไม่มีโปรแกรมแก้ไขหรือโปรแกรมแก้ไขเพื่อป้องกันการโจมตี อย่างไรก็ตามโซลูชันแอนติไวรัสเจเนอเรชันใหม่ๆ ในปัจจุบัยสามารถให้การป้องกันภัยคุกคามแบบซีโรเดย์ได้บางส่วน
5. การโจมตีแบบปฏิเสธการบริการ (DoS)
การโจมตีแบบปฏิเสธการให้บริการ (DoS) คือ การโจมตีทางไซเบอร์ที่ออกแบบมาเพื่อขัดขวางการทำงานตามปกติและความพร้อมใช้งานของระบบ เครือข่าย หรือเว็บไซต์ โดยการทำให้เกิดการรับส่งข้อมูลจำนวนมหาศาลหรือคำขอที่ใช้ทรัพยากรจำนวนมาก เป้าหมายหลักของการโจมตี DoS คือการทำให้ระบบหรือบริการเป้าหมายไม่พร้อมใช้งานสำหรับผู้ใช้ที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยการใช้ทรัพยากร เช่น แบนด์วิธ พลังการประมวลผล หรือหน่วยความจำจนหมด ซึ่งอาจนำไปสู่การล่มของระบบ การหมดเวลา หรือประสิทธิภาพการทำงานที่ลดลงอย่างมาก ส่งผลให้ไม่สามารถเข้าถึงบริการอย่างมีประสิทธิภาพได้
6. การโจมตีแบบแทรก SQL (SQL Injection)
การแทรก SQL คือ การโจมตีทางไซเบอร์ประเภทหนึ่งที่พุ่งเป้ไปที่เว็บแอปพลิเคชัน หรือระบบที่ใช้ Structured Query Language (SQL) เพื่อโต้ตอบกับฐานข้อมูล เป็นเทคนิคที่ผู้โจมตีใช้เพื่อหาช่องโหว่ในโค้ดของแอปพลิเคชันและเข้าถึงฐานข้อมูลที่ซ่อนอยู่โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยผู้โจมตีจะสร้างคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตรายและแทรกลงในช่องป้อนข้อมูลของแอปพลิเคชัน เช่น แบบฟอร์มเข้าสู่ระบบ ช่องค้นหา หากแอปพลิเคชันล้มเหลวในการจัดการกับไวรัส หรือตรวจสอบอินพุตของผู้ใช้อย่างเหมาะสม แฮกเกอร์จะสามารถดำเนินการสร้างคำสั่ง SQL ที่เป็นอันตรายได้
7. วิศวกรรมสังคม (Social Engineering)
เป็นเทคนิคที่อาชญากรไซเบอร์ และแฮกเกอร์ใช้เพื่อจัดการและใช้ประโยชน์จากพฤติกรรมของมนุษย์เพื่อการเข้าถึงระบบ เครือข่าย หรือข้อมูลที่ละเอียดอ่อนโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยอาศัยการบงการทางจิตวิทยามากกว่าวิธีการ แฮกทางเทคนิค
วิธีป้องกันบัญชีโซเชียลมีเดียและอีเมลจาก Hacker

ปัจจุบันแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ มักตกเป็นเป้าหมายหลักสำหรับแฮกเกอร์ เนื่องจากมีฐานผู้ใช้จำนวนมากและมีข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนมากมาย โดยแฮกเกอร์จะใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเข้าถึงข้อมูลที่ละเอียดอ่อน แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย อาทิ Facebook Twitter Instagram และ YouTube ตลอดจนบัญชีอีเมล อาทิ Gmail กำลังตกเป็นเป้าหมายอย่างหนักในปัจจุบัน โดยมีบัญชีหลายล้านบัญชีที่ถูกบุกรุกทุกวัน โดยแฮกเกอร์มักจะใช้ประโยชน์จากวิศวกรรมสังคม หรือ ศิลปะการหลอกลวงผู้คนเพื่อผลประโยชน์ตามที่แฮกเกอร์ต้องการ ตลอดจนแนวโน้มที่ผู้ใช้จะใช้รหัสผ่านซ้ำข้ามบัญชีต่างๆ อย่างไรก็ตามการใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเชิงรุกจะช่วยลดความเสี่ยงในการตกเป็นเหยื่อการโจมตีด้วยการแฮกโซเชียลมีเดียได้
แนวทางป้องกันการถูกแฮกบัญชีโซเชียลมีเดีย
- เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัย หรือ Multi-Factor Authentication (MFA) ในทุกบัญชี
- หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี เปลี่ยนรหัสผ่านทั้งหมดหลังจากสามเดือน เพื่อลดความเสี่ยงของรหัสผ่านเดียวที่ถูกบุกรุกซึ่งส่งผลกระทบต่อหลายบัญชี[
- อย่าคลิกลิงก์ที่ส่งโดยบุคคลที่ไม่รู้จักหรือแหล่งที่น่าสงสัย ลิงก์เหล่านี้สามารถเปลี่ยนเส้นทางคุณไปยังเพจปลอมที่ขโมยข้อมูลรับรองการเข้าสู่ระบบของคุณ
- จำกัดข้อมูลส่วนบุคคลที่แชร์บนโซเชียลมีเดีย
- ใช้ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส และทำให้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมป้องกันไวรัสของคุณทันสมัยอยู่เสมอ
- สำหรับองค์กร ให้จัดพนักงานออกเป็นกลุ่มตามบทบาทของตน จำกัดการเข้าถึงเฉพาะฟังก์ชันที่จำเป็นต่อการปฏิบัติงานเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงของการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัสบนอุปกรณ์ทั้งหมดที่ใช้จัดการบัญชีโซเชียลมีเดีย ซึ่งช่วยป้องกันไวรัสและมัลแวร์ไม่ให้ทำลายข้อมูลของคุณและเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต
แนวทางป้องกันการถูกแฮกบัญชีอีเมล
- หลีกเลี่ยงการเปิดอีเมลจากคนที่ไม่รู้จักหรือชื่อเรื่องอีเมลที่น่าสงสัย อย่าคลิกลิงก์หรือดาวน์โหลดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่รู้จักเพราะลิงก์เหล่านี้อาจมีมัลแวร์หรือลิงก์ฟิชชิ่งแฝงอยู่
- หลีกเลี่ยงการใช้รหัสผ่านเดียวกันในหลายบัญชี เลือกรหัสผ่านที่ประกอบด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก ตัวเลข และสัญลักษณ์ผสมกัน ควรมีความยาวอย่างน้อย 12 ตัวอักษร
- เปิดใช้งานการตรวจสอบสิทธิ์แบบสองปัจจัย หรือ Multi-Factor Authentication (MFA)
- ตรวจสอบการตั้งค่าการส่งต่ออีเมลของคุณให้แน่ใจว่าไม่มีการเพิ่มที่อยู่อีเมลที่ไม่คาดคิดในการส่งต่ออีเมลของคุณ
- ใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยเพิ่มเติม ลองใช้ตัวจัดการรหัสผ่านเพื่อจัดเก็บและสร้างรหัสผ่านที่คาดเดายากอย่างปลอดภัย
- ติดตั้งซอฟต์แวร์ป้องกันมัลแวร์เพื่อตรวจจับและลบมัลแวร์ที่อาจมีอยู่ในคอมพิวเตอร์ของคุณ
- ใช้การตั้งค่าความปลอดภัยของ Google ปิดใช้งานการเข้าถึง POP3 และ IMAP หากไม่จำเป็น
- ตั้งค่าตัวจัดการบัญชีที่ไม่ใช้งานเพื่อให้แน่ใจว่าบัญชีของคุณถูกลบหรือมอบสิทธิ์การเข้าถึงให้กับบุคคลที่คุณไว้วางใจหากคุณไม่สามารถเข้าถึงได้
- เพิ่มหมายเลขโทรศัพท์และอีเมลสำหรับการกู้คืนเพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะสามารถเข้าถึงบัญชีของคุณได้อีกครั้งหากคุณลืมรหัสผ่าน
- เรียกใช้การตรวจสอบความปลอดภัยเพื่อตรวจสอบกิจกรรมบัญชีของคุณ ประวัติการลงชื่อเข้าใช้ และการเข้าถึงแอปของบุคคลที่สาม