MBTI คืออะไร? สำคัญอย่างไร ต่อธุรกิจ และการตลาดสมัยใหม่

MBTI

MBTI – เชื่อว่าหลายคนอาจเคยทำแบบทดสอบทางจิตวิทยาที่เกี่ยวกับการค้นหาคำตอบว่าบุคลิกภาพ และลักษณะนิสัยของตัวคุณเองเป็นอย่างไรกันมาบ้างใช่มั้ยครับ? เมื่อหลายคนต้องการที่จะทราบถึงบุคลิกภาพของตัวเองจึงได้มีการต่อยอดในการใช้แบบทดสอบนี้มาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางกลยุทธ์ขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการสร้างคอนเทนต์ที่จูงใจให้คนได้มาทำการทดสอบเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดีย หรือ เว็บไซต์ ตลอดจนการนำไปปรับใช้กับการสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ ว่าแต่ Myers–Briggs Type Indicator คืออะไร? และมีความสำคัญอย่างไรต่อโลกของธุรกิจและการตลาด วันนี้ Talka จะพาทุกคนมาหาคำตอบไปพร้อมๆ กันครับ

MBTI คืออะไร?

MBTI คืออะไร?

ทำความเข้าใจ MBTI คืออะไร?

การทำความเข้าใจแง่มุมที่ซับซ้อนเกี่ยวกับบุคลิกภาพของมนุษย์ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการบรรลุความสำเร็จของแบรนด์และธุรกิจต่างๆ มีเครื่องมือหนึ่งที่ได้รับความนิยมในการค้นหาสิ่งที่ซ่อนอยู่ภายใต้บุคลิกภาพของมนุษย์ คือ Myers-Briggs Type Indicator หรือ ชุดทดสอบบุคลิกภาพของมนุษย์ 16 แบบ ที่ถูกพัฒนาโดย Katharine Cook Briggs และลูกสาวของเธอ Isabel Briggs Myers  แบบทดสอบนี้นำเสนอมุมมองเกี่ยวกับประเภทของบุคลิกภาพที่ช่วยไขความกระจ่างเกี่ยวกับความชอบส่วนบุคคล ซึ่งในปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ
 
ยกตัวอย่างในประเทศเกาหลี ช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาแบบทดสอบบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยนี้ถือได้ว่าเป็นหัวข้อหลักในวงสนทนาของคนเกาหลี โดยเฉพาะรุ่น Millenial และ Gen Z ซึ่งหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้มันฟีเวอร์อย่างถล่มทลายเป็นเพราะผู้คนในเกาหลีสามารทำการทดสอบบุคลิกภาพผ่านเว็บไซต์ออนไลน์ได้ง่ายมากๆ นั่นเอง  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อกระแสมาแรง บางบริษัทในเกาหลีถึงกับนำแบบทดสอบ Myers-Briggs มาใช้เป็นเครื่องมือในการกำหนดคุณสมบัติพนักงาน บางที่ถึงขึ้นกําหนดให้ผู้สมัครต้องเคยทำหรือทำแบบทดสอบนี้ เพื่อประเมินบุคลิกภาพของผู้สมัครงานระหว่างการสัมภาษณ์ ว่าจะสามารถเข้ากันได้กับบริษัทหรือไม่เลยทีเดียว
 
การใช้ตัวบ่งชี้ประเภทของบุคลิกภาพ Myers-Briggs นั้นสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับบุคลิกภาพของบุคคลได้ในระดับหนึ่ง ทำให้สามารถรับรู้ถึงแนวโน้มบางอย่างในตัวของผู้ทำแบบทดสอบได้ทันที เป้าหมายคือ เพื่อให้ผู้ตอบแบบสอบถามได้สำรวจและทำความเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองที่อาจยังไม่เคยรู้มาก่อน รวมถึงสิ่งที่พวกเขาชอบ ไม่ชอบ จุดแข็ง จุดอ่อน ความชอบในอาชีพที่เป็นไปได้ และความเข้ากันได้กับผู้อื่น 
 
ซึ่งจากผลการทดสอบที่ได้ ผู้คนจะถูกระบุว่ามีบุคลิกภาพประเภทใดประเภทหนึ่งจาก 16 ประเภท ซึ่งบุคลิกแต่ละประเภทจะแสดงตามรหัส สี่ ตัวอักษร ได้แก่
 
ISTJ – The Inspector : เป็นคนตรงไปตรงมา ใส่ใจทุกรายละเอียด มีแนวโน้มที่จะมีระเบียบวินัยและมีความรับผิดชอบสูง มักปฏิบัติตัวอยู่ในกรอบ
ISTP – The Crafter : มีความเป็นอิสระสูง เพลิดเพลินกับประสบการณ์ใหม่ ๆ ชื่นชอบการสำรวจโลกรอบตัวเพื่อค้นหาความสัมพันธ์ของสิ่งต่างๆ
ISFJ –  The Protector : มีความอบอุ่นและทุ่มเท พร้อมเสมอที่จะปกป้องผู้คนรอบตัวที่พวกเขาห่วงใย
ISFP – The Artist : มีความสุภาพ เรียบง่าย เข้ากับผู้อื่นง่าย อ่อนไหวง่าย ไม่ชอบเป็นจุดสนใจ และชอบใช้เวลาอยู่กับตัวเอง
INFJ – The Advocate : ความคิดสร้างสรรค์และการวิเคราะห์ ถือเป็นประเภทหนึ่งของ Myers-Briggs ที่หายากที่สุด
INFP – The Mediator : มีอุดมการณ์ มุ่งมั่นที่จะทำให้โลกเป็นสถานที่ที่ดีขึ้น เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่นเป็นอย่างดี
INTJ – The Architect : มีตรรกะสูง มีทั้งความคิดสร้างสรรค์และมีการคิดวิเคราะห์ที่สูงส่ง
INTP – The Thinker : เป็นคนเงียบๆ และค่อนข้างเก็บตัว ไม่เคยหยุดคิด สมองพรั่งพรูไปด้วยความคิด และขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ที่มีโลกส่วนตัวสูงมาก
ESTP – The Persuader : เป็นคนที่มีพลังงานสูง แก้ปัญหาเก่ง แต่เบื่อง่าย มีความสุขกับการใช้เวลาร่วมกับผู้อื่นและมักจะโฟกัสอยู่กับปัจจุบัน
ESTJ – The Director : กล้าแสดงออกและยึดมั่นในกฎเกณฑ์ พวกเขาเป็นคนที่มีหลักการสูงและมีแนวโน้มที่จะมีความรับผิดชอบสูง
ESFP – The Performer : พวกเขาชอบแสดงออกและเป็นธรรมชาติ พวกเขาสนุกกับการได้เป็นจุดสนใจจากผู้คน
ESFJ – The Caregiver : จิตใจอ่อนโยนและเป็นคนเปิดเผย แต่อ่อนไหวกับคำวิจารณ์ ชอบช่วยเหลือผู้อื่นและอยู่กับความเป็นจริงในปัจจุบัน
ENFP – The Champion : ชอบสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เป็นตัวของตัวเอง มนุษย์สัมพันธ์ดี เข้ากับคนง่าย เก่งเรื่องการเข้าใจผู้อื่น
ENFJ – The Giver : เป็นคนรอบคอบ ยึดมั่นในอุดมการณ์ ขึ้นชื่อเรื่องความเข้าใจโลก ใจดี มีน้ำใจให้ผู้อื่น
ENTP – The Debater : มีความคิดสร้างสรรค์สูง ปรับตัวเก่ง ชอบริเริ่มโครงการใหม่ๆ อาจไม่ค่อยเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น
ENTJ – The Commander : มีทักษะของความเป็นผู้นำ พูดตรงไปตรงมา มีความมั่นใจในตัวเองสูง ความอดทนต่ำ เก่งในการวางแผนและจัดโครงการต่างๆ
 
อย่างไรก็ตาม ไม่มีบุคลิกภาพแบบใดที่ “ดีที่สุด” หรือ “ดีกว่า” อีกประเภทหนึ่ง ที่สำคัญแบบทดสอบนี้ไม่ใช่เครื่องมือที่ออกแบบมาเพื่อค้นหาความผิดปกติของมนุษย์แต่อย่างใด แต่เป้าหมายหลัก คือช่วยให้ผู้ทำแบบทดสอบได้เรียนรู้ และรู้จักตัวเองมากขึ้น อย่างที่เราได้กล่าวไปแล้วว่าแบบสอบถามจะประกอบด้วย สี่ระดับหรือสี่ขั้ว ของบุคลิกภาพที่แตกต่างกัน โดยวัตถุประสงค์ของการประเมินนี้ คือ เพื่อแบ่งแต่ละบุคคลออกเป็น 4 ประเภท ตามวิธีที่พวกเขารับรู้โลกและตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้ผู้ตอบสำรวจและเข้าใจบุคลิกภาพของตนเองเพิ่มเติมได้ โดยขั้วทั้ง 4 ของบุคลิกภาพ ได้แก่ ความถนัดด้านการได้รับพลังงาน  ความถนัดด้านการรับรู้สิ่งต่างๆ ความถนัดด้านการตัดสินใจ ความถนัดด้านไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต ซึ่งประเภทของบุคลิกภาพที่สามารถวัดได้ คือ
 

1. เปิดเผยตัวตน เทียบกับ เก็บตัว (Extraversion Vs. Introversion)

  • Extraversion (เปิดเผยตัวตน) หมายถึง การได้รับพลังงานจากผู้อื่น คนที่ชอบเปิดเผยอาจมุ่งความสนใจไปที่การรวมกลุ่มทางสังคม โครงการกลุ่ม และการเป็นศูนย์กลางของความสนใจ
  • Introversion  (เก็บตัว) หมายถึง การได้รับพลังงานจากโลกภายในของตน คนที่เก็บตัวมักชอบใช้เวลาอยู่คนเดียว และอาจจะสนใจงานอดิเรกส่วนบุคคลและ/หรือการมีปฏิสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวกับผู้อื่นมากกว่า

2. ใช้ประสาทสัมผัส เทียบกับ ใช้สัญชาติญาณ (Sensing Vs. Intuition)

  • Sensing (ประสาทสัมผัส)  หมายถึง วิธีที่บุคคลผสานรวมข้อมูล คนที่ใช้ประสาทสัมผัส หรือ Sensing มักจะชอบข้อมูลที่เป็นรูปธรรมและคิดได้จริงและเป็นเส้นตรงมากกว่า พวกเขาชอบคำสั่งที่เฉพาะเจาะจงเมื่อต้องทำงานต่างๆ ให้เสร็จสิ้น
  • Intuition (สัญชาติญาณ) คนที่ใช้ สัญชาตญาณมากกว่าจะให้ความสำคัญกับประสบการณ์ทางอารมณ์ส่วนตัวมากกว่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีความเป็นปรัชญาและมีจินตนาการมากกว่า

3. ใช้ตรรกะ เทียบกับ ใช้ความรู้สึก (Thinking Vs. Feeling)

  • Thinking (ตรรกะ) ผู้ที่ใช้ตรรกะหรือความคิด มีแนวโน้มที่จมีเป้าหมายและปฏิบัติได้จริงในการตัดสินใจ พวกเขายังสนใจที่จะค้นคว้าหรือใช้ประสบการณ์ของผู้อื่นเพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิง
  • Feeling (ความรู้สึก) ในทางกลับกัน ผู้ที่ใช้ความรู้สึกส่วนตัวนั้นมีแนวโน้มที่จะมีพื้นฐานทางอารมณ์มากกว่า พวกเขาพึ่งพาความต้องการหรือความปรารถนาภายในของตน และมักจะคำนึงถึงผลกระทบทางอารมณ์เมื่อตัดสินใจเลือกในบางสิ่งบางอย่าง

4. มีแบบแผน เทียบกับ ไม่ยึดติดแบบแผน (Judging Vs. Perceiving)

  • Judging (มีแบบแผน) ผู้ที่มีแบบแผนจะรับมือกับโลกภายนอกด้วยการประเมินซึ่งมีโครงสร้างที่ชัดเจน พวกเขาชอบที่จะรู้ว่าจะคาดหวังอะไร และมีความสัมพันธ์กับความสม่ำเสมอและความคุ้นเคย
  • Perceiving (ไม่ยึดติดแบบแผน) ผู้ที่ไม่ยึดติดกับแบบแผนมีแนวโน้มที่จะมีความเป็นธรรมชาติและมีความยืดหยุ่นได้มากกว่าเมื่อต้องรับมือกับโลกภายนอก มีความประนีประนอมหรือสามารถปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงได้มากกว่า

MBTI สำคัญอย่างไรต่อองค์กร

MBTI สำคัญต่อองค์กรอย่างไร?

แบบทดสอบ Myers-Briggs สำคัญอย่างไร? ต่อองค์กร

ในปัจจุบันมีองค์กรธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ให้ความสำคัญกับการให้พนักงานได้ทดลองทำแบบทดสอบประเภทของบุคลิกภาพ ซึ่งข้อมูลจากการทดสอบบุคลิกภาพ (ของพนักงาน) จะช่วยให้บริษัทต่างๆ เข้าใจใน จุดแข็ง และจุดอ่อนของพนักงาน ตลอดจนเข้าใจในวิธีสร้างการรับรู้ และการประมวลผลข้อมูลของพนักงานได้ดียิ่งขึ้น พนักงานจะมีความเข้าใจที่ดีขึ้นถึงวิธีที่ดีที่สุดในการเข้าหางาน จัดการเวลา แก้ปัญหา ตัดสินใจ และจัดการกับความเครียดของพนักงาน ต่อไปนี้คือวิธีที่องค์กรต่างๆ สามารถใช้ข้อมูลจากแบบทดสอบเพื่อนำมาสร้างองค์กรที่เข้มแข็งและประสบความสำเร็จได้มากขึ้นครับ

 

1. สร้างความเข้าใจในทีมงาน

ในโลกที่การทำงานร่วมกันเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง การทำความเข้าใจพลวัตของทีมเป็นสิ่งสำคัญ ช่วยในการสร้างทีมที่รอบรู้โดยการรวบรวมบุคคลที่มีบุคลิกที่หลากหลาย การรับรู้และเห็นคุณค่าความแตกต่างในรูปแบบการสื่อสาร แนวทางการตัดสินใจ และวิธีการแก้ไขปัญหาสามารถนำไปสู่การทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพและกลมกลืนกันมากขึ้น
 
ผลลัพธ์ของแบบทดสอบ Myers-Briggs จะบอกคุณได้มากมายว่าสมาชิกแต่ละคนในทีมของคุณชอบทำงานอย่างไร และพวกเขาชอบที่จะร่วมงานกับใครที่นำไปสู่ประสิทธิภาพ และประสิทธิผลสูงสุด ผู้จัดการที่รวบรวมทีมสามารถใช้ข้อมูลเพื่อให้แน่ใจว่าประเภทบุคลิกภาพจะไม่ขัดแย้งกัน และจุดแข็งและจุดอ่อนเสริมซึ่งกันและกัน
 

2. สร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ

ความสามารถในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จในทุกธุรกิจ แบบทดสอบ Myers-Briggs ให้ข้อมูลเชิงลึกว่าบุคคลต้องการสื่อสารอย่างไร ไม่ว่าจะผ่านภาษาที่ตรงไปตรงมาและกระชับ หรือแนวทางที่เอาใจใส่และร่วมมือกันมากขึ้น ด้วยการปรับรูปแบบการสื่อสาร องค์กรสามารถส่งเสริมวัฒนธรรมของการสนทนาที่เปิดกว้างและความเข้าใจร่วมกัน
 
ใครก็ตามที่เคยเป็นผู้จัดการโครงการจะรู้ดีว่าความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องทางเทคนิคหรืองบประมาณ แต่เป็นบุคลิกภาพของทีม หากสมาชิกในทีมของคุณรู้จักประเภทบุคลิกภาพของตนเอง และของสมาชิกในทีมคนอื่นๆ พวกเขาจะเข้าใจวิธีที่ดีที่สุดในการสื่อสารระหว่างกัน และในฐานะผู้จัดการ คุณจะมีเวลาสื่อสารกับสมาชิกในทีมได้ง่ายขึ้น เพราะคุณจะเข้าใจว่าแต่ละคนทำงานได้ดีที่สุดและสิ่งที่พวกเขาต้องการเพื่อให้ทำงานได้ดีที่สุด
 

3. ช่วยพัฒนาความเป็นผู้นำ

แบบทดสอบ Myers-Briggs เป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการพัฒนาความเป็นผู้นำ ซึ่งการระบุและบ่มเพาะคุณสมบัติความเป็นผู้นำในแต่ละบุคคลตามประเภทบุคลิกภาพสามารถนำไปสู่ผู้นำที่มีประสิทธิภาพและปรับตัวได้มากขึ้น ไม่ว่าองค์กรต้องการนักยุทธศาสตร์ที่มีวิสัยทัศน์หรือผู้ปฏิบัติงานที่ลงมือปฏิบัติจริง แบบทดสอบ Myers-Briggs ก็สามารถเป็นแนวทางในการริเริ่มการพัฒนาความเป็นผู้นำได้ ช่วยให้พนักงานมีความเข้าใจในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่พวกเขามุ่งความสนใจ วิธีที่พวกเขาประมวลผลข้อมูล ตลอดจนวิธีที่พวกเขาตัดสินใจ และจัดการกับความเครียด
 

4. ช่วยแก้ไขข้อขัดแย้ง

ความขัดแย้งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในสถานที่ทำงานใดๆ แต่การทำความเข้าใจสาเหตุที่แท้จริงและรูปแบบการแก้ไขข้อขัดแย้งที่ต้องการสามารถลดการหยุดชะงักได้ แบบทดสอบ Myers-Briggs ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถจัดการกับต้นตอของความขัดแย้งที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้าโดยการรับรู้และชื่นชมมุมมองที่หลากหลาย ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะส่งเสริมสภาพแวดล้อมการทำงานที่กลมกลืนกันมากขึ้น
 
เราแต่ละคนรับรู้และประมวลผลข้อมูลต่างกัน และความแตกต่างเหล่านั้นก็ปรากฏอยู่ในนิสัยการทำงานของเรา ในฐานะเจ้าของธุรกิจหรือผู้นำทีม คุณจำเป็ยต้องวางตำแหน่งพนักงานของคุณในบทบาทที่คำนึงถึงความแตกต่างเหล่านั้น โดยให้ความสำคัญกับจุดแข็งของแต่ละคน และลดผลกระทบจากจุดอ่อนให้เหลือน้อยที่สุด ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับพนักงานของคุณจะช่วยให้คุณบูรณาการสมาชิกในทีมได้อย่างรวดเร็ว และช่วยให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น ตลอดจนนิสัยการสื่อสารที่ดีกับสมาชิกในทีมคนอื่นๆ
 

5. เพิ่มความพึงพอใจของพนักงาน

แบบทดสอบ Myers-Briggs สามารถเป็นเครื่องมือในการเสริมสร้างความพึงพอใจของพนักงานได้ เมื่อบุคคลรู้สึกว่าจุดแข็งและความชอบเฉพาะตัวของตนได้รับการยอมรับและมีคุณค่า พวกเขามีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในงานของตนมากขึ้น สิ่งนี้สามารถสร้างขวัญกำลังใจของพนักงานให้สูงขึ้น ผู้จัดการที่มีประสบการณ์ย่อมรู้ว่าพวกเขาไม่สามารถจูงใจพนักงานทุกคนด้วยวิธีเดียวกันได้ แนวทางที่ทำงานร่วมกับคนๆ เดียวสามารถส่งผลย้อนกลับกับคนอื่นได้อย่างง่ายดายพอๆ กัน แต่การรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับประเภทบุคลิกภาพของพนักงานสามารถให้วิธีการจัดการ และจูงใจพวกเขาได้ ตัวอย่างเช่น สมาชิกในทีมคนหนึ่งอาจเป็นบุคคลที่ต้องการเหตุผลที่ตรงไปตรงมาและสมเหตุสมผลสำหรับสิ่งที่คุณขอให้พวกเขาทำ พวกเขาอาจทำงานได้ดีที่สุดด้วยตัวเองโดยได้รับคำติชมน้อยที่สุด พนักงานที่มีบุคลิกภาพแตกต่างกันอาจต้องได้รับฟังความคิดเห็นเชิงบวกและความชื่นชมบ่อยครั้ง และมีปฏิสัมพันธ์กับสมาชิกในทีมคนอื่นๆ มากมาย เป็นต้น

ประโยชน์ของ MBTI ในการวางกลยุทธ์การตลาด

ประโยชน์ของ MBTI ในการวางกลยุทธ์
อย่างที่เราทราบกันไปแล้วว่า แบบทดสอบบุคลิกภาพ ไมเยอร์ส-บริกส์ นั้นเป็นเครื่องมือทางจิตวิทยาที่ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมาก รวมถึงนักการตลาด ได้ค้นพบคุณค่าในการใช้สิ่งนี้เป็นกรอบในการทำความเข้าใจ และการสื่อสารกับผู้ชมที่หลากหลาย ในภูมิทัศน์ที่มีพลวัตและการแข่งขันของโลกธุรกิจปัจจุบัน ความเข้าใจ และการเชื่อมโยงกับผู้บริโภคในระดับบุคคลเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตลาดที่ประสบความสำเร็จ
 
หากแบรนด์ทราบว่ากลุ่มเป้าหมายมีลักษณะนิสัยประเภทใดตาม แบบทดสอบ Myers-Briggs ก็จะสามารถสร้างข้อได้เปรียบในการทําความเข้าใจเกี่ยวกับ แรงจูงใจ รูปแบบพฤติกรรม และเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการตัดสินใจของผู้ซื้อตามประเภทของบุคลิกภาพและลักษณะนิสัยต่าง ๆ ได้อย่างถ่องแท้ยิ่งขึ้น  ซึ่งในส่วนนี้ เราจะมาสำรวจว่าธุรกิจต่างๆ จะสามารถนำแบบทดสอบ Myers-Briggs เพื่อปรับปรุงกลยุทธ์ทางการตลาดของตัวเองได้อย่างไรบ้างครับ
 

1. การปรับแต่งเนื้อหาและการส่งข้อความ 

การทำความเข้าใจประเภทบุคลิกภาพของกลุ่มเป้าหมายจะช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับแต่งเนื้อหาและข้อความของตนให้ตรงใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น คนที่ชอบเข้าสังคม อาจตอบสนองได้ดีต่อแคมเปญที่มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้น ในขณะที่คนที่ชอบเก็บตัว อาจชอบข้อความที่รอบคอบและเหมาะสมมากกว่า ด้วยการสร้างสรรค์เนื้อหาที่สอดคล้องกับความชอบของบุคลิกภาพแต่ละประเภท นักการตลาดจะสามารถสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัวและน่าดึงดูดสำหรับผู้ชมของตนได้มากยิ่งขึ้น
 

2. การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย

แบบทดสอบ Myers-Briggs สามารถทำหน้าที่เป็นเครื่องมืออันทรงคุณค่าอย่างมากในการปรับปรุงความพยายามในการโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย ด้วยการระบุลักษณะบุคลิกภาพที่โดดเด่นภายในกลุ่มตลาดที่เฉพาะเจาะจง นักการตลาดสามารถปรับแต่งโฆษณาของตนให้ดึงดูดลักษณะเหล่านั้นได้โดยตรง ตัวอย่างเช่น โฆษณาที่มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่ต้องการสัญชาตญาณอาจมุ่งเน้นไปที่ความเป็นไปได้ในอนาคตและโซลูชันที่เป็นนวัตกรรม ในขณะที่ประเภทการตรวจจับการกำหนดเป้าหมายโฆษณาอาจเน้นคุณลักษณะที่ใช้งานได้จริงและประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม
 

3. การวางตำแหน่งและการพัฒนาผลิตภัณฑ์

แบบทดสอบ Myers-Briggs สามารถชี้แนะธุรกิจต่างๆ ในการปรับปรุงการวางตำแหน่งผลิตภัณฑ์และกลยุทธ์การพัฒนา ด้วยการตระหนักถึงความชอบและแนวโน้มของบุคลิกภาพประเภทต่างๆ บริษัทจึงสามารถจัดผลิตภัณฑ์ของตนให้ตรงกับความต้องการและความปรารถนาเฉพาะของกลุ่มเป้าหมายได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทที่กำหนดเป้าหมายประเภทการคิดอาจเน้นคุณลักษณะเชิงตรรกะและฟังก์ชันการทำงานของผลิตภัณฑ์ ในขณะที่แบรนด์ที่ดึงดูดใจประเภทความรู้สึกอาจเน้นถึงประโยชน์และประสบการณ์ทางอารมณ์
 

4. การมีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดีย

แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับผู้ชมที่หลากหลาย การทำความเข้าใจ ประเภทของบุคลิกภาพของผู้ติดตามของคุณช่วยให้กลยุทธ์การมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น คนสนใจสิ่งภายนอกอาจชอบเนื้อหาที่มีการโต้ตอบและมีชีวิตชีวา ในขณะที่คนเก็บตัวอาจชอบการพูดคุยอย่างไตร่ตรองและเจาะลึกมากกว่า ด้วยการปรับแต่งเนื้อหาโซเชียลมีเดียให้เข้ากับบุคลิกภาพประเภทต่างๆ ธุรกิจสามารถส่งเสริมการเชื่อมต่อที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น และสร้างชุมชนออนไลน์ที่ภักดีมากขึ้น
 

5. การบริหารลูกค้าสัมพันธ์

ประเภทของบุคลิกภาพยังสามารถมีบทบาทสำคัญในการจัดการลูกค้าสัมพันธ์อีกด้วย ด้วยการจัดหมวดหมู่ลูกค้าตามประเภทบุคลิกภาพ ธุรกิจต่างๆ จึงสามารถพัฒนากลยุทธ์การสื่อสารที่ตรงเป้าหมายและการโต้ตอบกับลูกค้าแบบเฉพาะตัวได้ แนวทางนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์
 
การรวมตัวบ่งชี้ประเภทของ Myers-Briggs เข้ากับกลยุทธ์การตลาด ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ มีมุมมองที่มีเอกลักษณ์และลึกซึ้งในการทำความเข้าใจและเชื่อมโยงกับผู้ชม ด้วยการปรับแต่งเนื้อหา ปรับปรุงความพยายามในการโฆษณา ชี้แนะการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพิ่มประสิทธิภาพการมีส่วนร่วมของโซเชียลมีเดีย และปรับปรุงความสัมพันธ์กับลูกค้า บริษัทต่างๆ สามารถสร้างแคมเปญการตลาดที่เป็นส่วนตัวและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในยุคที่การปรับเปลี่ยนเฉพาะบุคคลเป็นสิ่งสำคัญ แบบทดสอบประเภทของบุคลิกภาพ นำเสนอเครื่องมืออันทรงคุณค่าสำหรับธุรกิจที่ต้องการทำความเข้าใจผู้บริโภคให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และส่งเสริมความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน

ข้อควรพิจารณา การใช้ MBTI

ข้อควรพิจารณาในการใช้ MBTI

ในปัจจุบันเราอาจเห็นได้ว่าแบรนด์ต่างๆ นิยมทำคอนเทนต์ที่มีการนำแบบทดสอบ Myers-Briggsมาเป็นส่วนหนึ่งในการสร้าง Engagement หรือ ทำให้คนเข้ามาในเว็บไซต์ หรือ Landing Page มากขึ้น ซึ่งแต่ละแบรนด์ก็ได้ข้อมูลที่เป็นอินไซต์ที่มีค่าต่อการนำมาปรับใช้ แต่แม้ว่าการรวมข้อมูลเชิงลึกจากแบบทดสอบบุคลิกภาพที่ธุรกิจของคุณได้จากกลุ่มเป้าหมายมาใช้ในกลยุทธ์การตลาดจะสามารถให้กรอบการทำงานที่มีคุณค่าสำหรับการทำความเข้าใจ และเชื่อมโยงกับผู้ชมที่หลากหลาย

อย่างไรก็ตาม นักการตลาดควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล และหลีกเลี่ยงการมองภาพกว้างหรือเหมารวมเกินไปโดยพิจารณาจากประเภทบุคลิกภาพเพียงอย่างเดียว แม้ว่า แบบทดสอบ Myers-Briggs จะถูกนำไปใช้อย่างกว้างขวางในสาขาต่าง ๆ แต่ความเกี่ยวข้องและความสำคัญของแบบทดสอบ Myers-Briggs ในกลยุทธ์ทางการตลาดยังเป็นประเด็นที่ยังมีการถกเถียงกันอยู่แม้อาจมีข้อโต้แย้งว่าการทำความเข้าใจประเภทบุคลิกภาพของผู้บริโภคอาจเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย ตัวอย่างเช่น การปรับแต่งโฆษณา และข้อความให้เข้ากับลักษณะบุคลิกภาพที่เฉพาะเจาะจงอาจโดนใจกลุ่มประชากรบางกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นักการตลาดอาจใช้ข้อมูลเชิงลึกจากแบบทดสอบ Myers-Briggs เพื่อสร้างเนื้อหาที่ดึงดูดความสนใจของบุคคล รูปแบบการสื่อสาร และกระบวนการตัดสินใจ

นอกจากนี้ การใช้ แบบทดสอบ Myers-Briggs ในด้านการตลาดด้วยความระมัดระวังเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากนักวิจารณ์โต้แย้งว่าแบบทดสอบนี้อาจขาดความถูกต้องและความน่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ และการจัดหมวดหมู่บุคลิกภาพของมนุษย์ที่ซับซ้อนอย่างง่าย ๆ อาจบิดเบือนความจริงของแต่ละบุคคล
 
นอกจากนี้ บุคลิกภาพเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมผู้บริโภค และการพึ่งพาผลทดสอบเพียงอย่างเดียวอาจนำไปสู่การมองข้ามประเด็นสำคัญอื่นๆ เช่น ข้อมูลประชากร ค่านิยม และความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีการเน้นไปที่โมเดลทางจิตวิทยาและพฤติกรรมที่แข็งแกร่งมากขึ้นในการตลาด เช่น ลักษณะบุคลิกภาพ Big Five หรือการแบ่งส่วนทางจิตวิทยา แบบจำลองเหล่านี้มักถือว่าเชื่อถือได้มากกว่าและมีพื้นฐานในการวิจัยเชิงประจักษ์  โดยสรุปแล้ว แม้ว่านักการตลาดบางรายจะพบคุณค่าในการใช้แบบทดสอบ Myers-Briggsเป็นเครื่องมือในการทำความเข้าใจผู้บริโภค แต่การใช้ก็ควรได้รับการเสริมด้วยวิธีและรูปแบบการวิจัยอื่นๆ สิ่งสำคัญคือต้องตระหนักถึงข้อจำกัดและการวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวข้องกับแบบทดสอบ Myers-Briggs และพิจารณาปัจจัยต่างๆ ในวงกว้างเมื่อพัฒนากลยุทธ์การตลาด
 
 
 
แหล่งที่มา :
 
 
 
 
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *