เข้าใจ Brand Purpose กุญแจสำคัญในการเข้าถึงใจลูกค้า

Brand Purpose

ในยุคที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมาย แบรนด์ที่สามารถเข้าไปอยู่ในใจลูกค้าได้มักไม่ใช่แค่แบรนด์ที่มีสินค้าดีหรือราคาถูกที่สุดเท่านั้น แต่คือแบรนด์ที่ “มีจุดยืนชัดเจน” หรือที่เราเรียกกันว่า Brand Purpose บทความนี้ Talka จะพาคุณไปรู้จัก Purpose ของแบรนด์อย่างลึกซึ้ง พร้อมแนวทางการนำไปใช้จริง เพื่อสร้างแบรนด์ที่ลูกค้ารักและจดจำครับ

Brand Purpose คืออะไร?

Brand Purpose คืออะไร?

Brand Purpose คือ จุดมุ่งหมายทางสังคมหรือคุณค่าทางจิตวิญญาณ ที่แบรนด์ต้องการส่งต่อหรือสร้างให้เกิดขึ้นในโลก ไม่ใช่แค่เพื่อกำไร แต่เพื่อทำให้ชีวิตของผู้คนดีขึ้น หรือทำให้โลกใบนี้น่าอยู่ยิ่งกว่าเดิม เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่า “การเลือกแบรนด์นี้มีความหมาย และสะท้อนคุณค่าของตัวเอง”

เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ไม่ใช่แค่เรื่อง “ภาพลักษณ์” แต่เป็น “จิตวิญญาณ” ของแบรนด์ แบรนด์ที่มี Purpose ที่ชัดเจนจะมีพลังมากกว่าการตลาดทั่วไป เพราะสามารถสร้าง “ความสัมพันธ์” กับผู้บริโภคได้ในระดับที่ลึกกว่า ลูกค้าไม่ได้แค่รู้สึกว่าแบรนด์นี้มีของดี แต่รู้สึกว่าแบรนด์นี้ “เข้าใจเขา” และ “อยู่ข้างเขา” ในเรื่องสำคัญ ๆยกตัวอย่างเช่น:

  • หากแบรนด์มีเป้าหมายเพื่อเสริมพลังให้กับผู้หญิง
  • หรือส่งเสริมความหลากหลายและการอยู่ร่วมกันอย่างเท่าเทียม
  • หรือมุ่งมั่นในการสร้างผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

เหล่านี้ล้วนเป็น เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางสังคมที่แบรนด์ยึดถือ และเมื่อผู้บริโภคมีค่านิยมเดียวกัน เขาจะรู้สึก “อิน” และพร้อมสนับสนุนแบรนด์อย่างภักดี Brand Purpose ต่างจาก Brand Vision และ Brand Mission อย่างไร? แม้ว่า Purpose ของแบรนด์ จะถูกพูดถึงเชื่อมโยงกับ Vision และ Mission อยู่บ่อยครั้ง แต่ทั้ง 3 คำนี้ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนทั้งในเชิงความหมายและบทบาทที่มีต่อการกำหนดทิศทางของแบรนด์

องค์ประกอบ ความหมาย คำถามที่ตอบ ตัวอย่าง
Vision ภาพอนาคตที่แบรนด์อยากไปให้ถึง “เราจะไปที่ไหน?” “เราต้องการเป็นผู้นำในนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อโลกที่ยั่งยืน”
Mission ภารกิจ หรือสิ่งที่แบรนด์กำลังทำในปัจจุบันเพื่อไปสู่ Vision “เรากำลังทำอะไร?” “เราผลิตอุปกรณ์พลังงานสะอาดที่เข้าถึงง่ายและปลอดภัย”
Brand Purpose เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ จุดยืนที่ผลักดันทุกการกระทำ “เรามีอยู่เพื่ออะไร?” “เรามุ่งมั่นสร้างโลกที่สะอาดและยุติธรรมสำหรับทุกคน”

พูดง่าย ๆ ก็คือ…

  • Vision = เราฝันอะไร?
  • Mission = เราทำอะไรอยู่?
  • Purpose = เราทำไปเพื่ออะไร?

เปรียบเทียบแบบง่ายๆ ลองจินตนาการว่าคุณคือแบรนด์หนึ่งที่ผลิตเสื้อผ้า

  • Vision ของคุณอาจคือ “เป็นแบรนด์แฟชั่นอันดับ 1 ในเอเชีย”
  • Mission คือ “ออกแบบเสื้อผ้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง”
  • แต่ Purpose ของแบรนด์ อาจลึกกว่านั้น เช่น “ทำให้ผู้คนรู้สึกมั่นใจและเป็นตัวของตัวเองผ่านแฟชั่น”

ยกตัวอย่าง: Dove คือ หนึ่งในแบรนด์ที่มี เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ชัดเจน และถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง

  • Vision ของ Dove อาจคือ “เป็นแบรนด์ความงามระดับโลก”
  • Mission คือ “ผลิตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่อ่อนโยนและปลอดภัย”
  • แต่ Purpose ของ Dove คือ

“ยกระดับความมั่นใจในตัวเองให้กับผู้หญิงทั่วโลก”

Dove สื่อสาร Purpose นี้มาอย่างต่อเนื่อง ผ่านแคมเปญ “Real Beauty” ที่กล้าฉีกกฎวงการโฆษณาแบบเดิม ๆ โดยใช้ผู้หญิงจริง ๆ ที่มีรูปร่าง สีผิว และอายุที่หลากหลาย มาเป็นนางแบบในแคมเปญ เพื่อแสดงว่า “ความงามมีหลากหลายแบบ และคุณไม่จำเป็นต้องสวยตามค่านิยมที่สังคมกำหนดเท่านั้น”ผลลัพธ์คือ Dove กลายเป็นแบรนด์ที่ผู้หญิงรู้สึกผูกพัน และเชื่อมั่นในคุณค่าที่แบรนด์ยืนหยัด และรู้สึกว่าการเลือกใช้ Dove เป็นมากกว่าแค่การซื้อสบู่ แต่คือการแสดงออกถึง “ความรักในตัวเอง”มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นได้ว่า เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ คือรากฐานที่แข็งแกร่งของแบรนด์

เป็นเหตุผลเชิงอารมณ์ที่ทำให้แบรนด์มีความหมายในสายตาผู้บริโภค ไม่ใช่แค่การขายของเพื่อทำกำไร แต่คือการ “มีอยู่” เพื่อขับเคลื่อนโลกให้ดีขึ้นในแบบที่แบรนด์เชื่อหากแบรนด์ของคุณยังไม่เคยนิยาม Purpose อย่างชัดเจน นี่คือเวลาสำคัญที่จะเริ่มต้น เพราะในยุคที่ลูกค้าซื้อสินค้าด้วย “หัวใจ” มากกว่าราคา การมีจุดยืนที่จริงใจและสอดคล้องกับคุณค่าของลูกค้า คือกุญแจสู่ความสำเร็จในระยะยาว

ทำไม Brand Purpose ถึงสำคัญในยุคนี้?

Brand Purpose ทำไมถึงสำคัญในยุคนี้?

ยุคนี้แบรนด์จะชนะใจลูกค้าได้ ไม่ใช่แค่ด้วยโปรโมชั่น หรือฟีเจอร์ที่ล้ำสมัยอีกต่อไป แต่ต้องชนะด้วย “คุณค่า” ที่สะท้อนถึงตัวตนและความเชื่อของผู้คน เพราะวันนี้ ลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials เลือกแบรนด์ด้วย หัวใจ มากพอ ๆ กับ เหตุผล เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของแบรนด์ยุคใหม่ ไม่ใช่แค่การสื่อสารเพื่อภาพลักษณ์ แต่เป็นจุดยืนที่แสดงว่าแบรนด์ยืนอยู่ข้างอะไร เชื่อในอะไร และพร้อมจะเปลี่ยนแปลงโลกในด้านใด

ในส่วนนี้นี้ Talka จะพาคุณไปเข้าใจว่าเหตุใด เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ จึงกลายเป็นพลังสำคัญที่สร้างความผูกพันในระดับลึกกับลูกค้า ช่วยสร้างความภักดีที่ยั่งยืน สร้างจุดต่างในตลาดที่มีคู่แข่งมากมาย และทำไมแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน จึงสามารถเติบโตอย่างมั่นคงแม้ในยุคที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วที่สุด

1.  เพราะผู้บริโภคเลือกด้วยหัวใจ ไม่ใช่แค่เหตุผล

ในอดีต การตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าอาจมาจากเหตุผลที่จับต้องได้ เช่น คุณภาพ ราคา หรือความคุ้มค่า แต่ในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะในกลุ่มผู้บริโภคยุคใหม่อย่าง Gen Z และ Millennials พฤติกรรมการซื้อกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ — พวกเขาเลือกด้วย “หัวใจ” มากพอ ๆ กับ “เหตุผล”งานวิจัยจาก Deloitte ระบุว่า

มากกว่า 80% ของผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และ Millennials เลือกสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน และมีคุณค่าทางสังคม

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการตลาด แต่เป็นเรื่องของ อัตลักษณ์ส่วนบุคคล ลูกค้ายุคใหม่มองว่า “แบรนด์ที่พวกเขาเลือกใช้ สะท้อนตัวตนของพวกเขา” การสนับสนุนแบรนด์ที่มีจุดยืนชัดเจน จึงเป็นเหมือนการแสดงออกทางอุดมการณ์ เช่น:

  • สนับสนุนสิ่งแวดล้อม
  • ส่งเสริมความเท่าเทียมทางเพศ
  • ยืนหยัดเพื่อสิทธิมนุษยชน
  • หรือแม้แต่ยอมรับความหลากหลายของรสนิยมและวัฒนธรรม

จุดมุ่งหมายของแบรนด์ กลายเป็นเสมือน “สะพาน” ที่เชื่อมโยงแบรนด์กับผู้บริโภค ผ่านคุณค่าทางสังคมที่ทั้งสองฝ่ายมีร่วมกัน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าการขายของธรรมดา

2. Brand Purpose สร้าง Brand Loyalty แบบลึกซึ้ง

ในยุคที่ลูกค้าสามารถเปลี่ยนใจได้เพียงแค่คลิกเดียว การสร้าง Brand Loyalty หรือ ความภักดีต่อแบรนด์ กลายเป็นเรื่องที่ท้าทายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่แบรนด์ที่มี Purpose ชัดเจน กลับพบว่า พวกเขาสามารถสร้างความภักดีได้อย่างยั่งยืนเมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์ยืนอยู่ข้างสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น

พวกเขาจะไม่ใช่แค่ “ลูกค้า” แต่จะกลายเป็น “ผู้สนับสนุน” และ “แฟนตัวยง” ของแบรนด์

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือแบรนด์ Patagonia

  • แบรนด์นี้ไม่ได้ขายเสื้อผ้าแค่อย่างเดียว แต่มี เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่ทรงพลัง คือ “การช่วยกอบกู้โลกและปกป้องธรรมชาติ”
  • Patagonia ไม่เพียงแค่พูด แต่ลงมือทำ เช่น การบริจาค 1% ของยอดขายให้กับโครงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และสนับสนุนองค์กรที่คัดค้านการทำลายธรรมชาติ
  • ผลลัพธ์คือ ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายรู้สึกว่า การซื้อ Patagonia ไม่ใช่แค่การซื้อเสื้อ แต่คือ “การมีส่วนร่วมในภารกิจเพื่อโลก”

นอกจากนี้ Patagonia ยังได้รับ ความภักดีในระดับสูง ถึงขั้นที่ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อสนับสนุนแบรนด์ แม้จะมีแบรนด์อื่นเสนอราคาถูกกว่านี่คือพลังของ เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่แท้จริง:

ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าพวกเขากำลังทำสิ่งดี ๆ อยู่ทุกครั้งที่เลือกแบรนด์ของคุณ

3. สร้างจุดต่างในตลาดที่เต็มไปด้วยคู่แข่ง

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ คู่แข่งสามารถลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์ได้เกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ ฟีเจอร์ บรรจุภัณฑ์ หรือแม้แต่ราคา แต่สิ่งหนึ่งที่ ลอกไม่ได้ คือ “จิตวิญญาณของแบรนด์” หรือ เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ อย่างชัดเจนจึงสามารถสร้าง “ความต่าง” ที่ลึกและถาวร เพราะมันไม่ใช่ความแตกต่างเชิงเทคนิค แต่เป็นความแตกต่างเชิงความหมาย เช่น:

  • แบรนด์เครื่องดื่มหนึ่งอาจขายน้ำผลไม้เพื่อดับกระหาย
  • แต่แบรนด์ที่มี Purpose เช่น “สนับสนุนเกษตรอินทรีย์เพื่อชีวิตที่ดีกว่า” จะกลายเป็นแบรนด์ที่มีเรื่องเล่า มีจุดยืน และมีพลังในการเชื่อมโยงกับกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะทางที่มีอุดมการณ์เดียวกัน

ตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพได้ชัดคือ Apple

  • Apple ไม่ได้ขายแค่เทคโนโลยีหรือโทรศัพท์มือถือ แต่ขาย “ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นตัวของตัวเอง”
  • Purpose ของแบรนด์ Apple มุ่งเน้นที่การ “ท้าทายสถานะเดิม” และ “ให้อำนาจแก่คนที่คิดต่าง” (Think Different)
  • และแม้ผลิตภัณฑ์ของ Apple จะมีคู่แข่งในทุกมุมโลก แต่ลูกค้าก็ยังเลือก Apple เพราะรู้สึกว่าแบรนด์นี้เข้าใจตัวตนของพวกเขา

การมี เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่แข็งแรงจึงเป็น “เกราะป้องกัน” ทางอารมณ์ ที่ช่วยให้แบรนด์ไม่ถูกกลืนหายไปในตลาดที่แข่งขันรุนแรง และยังสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ ได้อย่างต่อเนื่อง เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ไม่ได้ส่งผลแค่ต่อลูกค้าเท่านั้น แต่ยังช่วยดึงดูดนักลงทุนและพนักงานที่มีคุณภาพอีกด้วย

  • นักลงทุนยุคใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มที่ให้ความสำคัญกับ ESG (Environmental, Social, Governance) มักเลือกลงทุนในบริษัทที่มีจุดยืนด้านสังคมที่ชัดเจน
  • ส่วนพนักงานรุ่นใหม่จำนวนมาก โดยเฉพาะ Gen Z และ Millennials ต้องการทำงานในองค์กรที่ “มีความหมาย” มากกว่าแค่ “ให้เงินเดือน”

องค์กรที่มีเหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่เข้มแข็งจึงมีโอกาสได้ คนเก่ง เข้ามาร่วมทีมมากขึ้น และ รักษาคนดีไว้ได้นานขึ้น Purpose ของแบรนด์ไม่ใช่เรื่องของ “แฟชั่นทางการตลาด” แต่เป็น “เครื่องมือสำคัญ” ที่ช่วยแบรนด์เข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคยุคใหม่ได้อย่างลึกซึ้งในโลกที่แบรนด์เกิดใหม่ทุกวัน และลูกค้ามีทางเลือกมากมาย

แบรนด์ที่มีจุดยืน มีเรื่องเล่า และมีคุณค่าที่แท้จริง จะกลายเป็นแบรนด์ที่ยั่งยืน ไม่ว่าจะเจอกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเปลี่ยนแปลงของตลาด

ถ้าแบรนด์ของคุณยังไม่เคยตั้งคำถามว่า “เรามีอยู่เพื่ออะไร?” ตอนนี้คือเวลาที่ดีที่สุดในการเริ่มต้น

องค์ประกอบสำคัญของ Brand Purpose ที่มีพลัง

องค์ประกอบของ Brand Purpose ที่มีพลัง

เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่มีพลัง ไม่ใช่แค่คำสวยหรูบนเว็บไซต์หรือสโลแกนในแคมเปญโฆษณา แต่ต้องเป็นสิ่งที่ “ขับเคลื่อน” แบรนด์จากภายใน สะท้อนออกมาผ่านการกระทำจริง และสามารถเชื่อมโยงกับความรู้สึกของผู้บริโภคในระดับที่ลึกซึ้งกว่าเดิม เพื่อให้ เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ของคุณมีความน่าเชื่อถือและสร้างอิมแพกต์ได้อย่างแท้จริง นี่คือ 3 องค์ประกอบหลัก ที่ขาดไม่ได้

1. จริงใจ ไม่จอมปลอม

เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่แท้จริงต้องเกิดจาก ความตั้งใจและค่านิยมภายในขององค์กร ไม่ใช่แค่การเกาะกระแส หรือการพยายามสร้างภาพให้ดูดีในสายตาสาธารณชน

หากแบรนด์พูดถึงสิ่งแวดล้อม แต่กลับใช้บรรจุภัณฑ์ที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้ หรือผลิตสินค้าโดยปล่อยคาร์บอนในระดับสูง นั่นย่อมทำให้ผู้บริโภคตั้งคำถาม และเชื่อใจได้น้อยลง

ในยุคที่ผู้บริโภคสามารถ ตรวจสอบข้อมูลได้ง่าย ผ่านอินเทอร์เน็ต การแสดงจุดยืนที่ไม่สอดคล้องกับการกระทำจริงจะถูกตีแผ่ได้อย่างรวดเร็ว และอาจทำให้แบรนด์สูญเสียความเชื่อมั่นในวงกว้าง ตัวอย่างที่ดี คือแบรนด์ Ben & Jerry’s

  • พวกเขาไม่ได้แค่ขายไอศกรีม แต่สื่อสารจุดยืนเพื่อสนับสนุนความเท่าเทียมทางเชื้อชาติ สิทธิเสรีภาพ และความยุติธรรมในสังคม
  • ที่สำคัญคือ พวกเขา ลงมือทำจริง เช่น รณรงค์ในประเด็น Black Lives Matter, สนับสนุนการออกกฎหมายเพื่อสิ่งแวดล้อม และใช้ส่วนผสมที่ผ่านการคัดสรรอย่างมีจริยธรรม

นี่คือตัวอย่าง Purpose ของแบรนด์ ที่ “จริงใจ” และ “ต่อเนื่อง” จนสร้างแบรนด์ให้มีความน่าเชื่อถือในระดับสากล

2. เชื่อมโยงกับสินค้าหรือบริการ

เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่ทรงพลังควร ฝังอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์หรือบริการ ของแบรนด์อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ควรแยกขาดจากสิ่งที่แบรนด์ “ทำ” ในชีวิตจริงของลูกค้าพูดง่าย ๆ คือ แบรนด์ไม่ควรพูดว่า “เราใส่ใจผู้สูงอายุ” แล้วขายสินค้าที่ใช้งานยาก หรือไม่มีบริการหลังการขายที่เป็นมิตรกับผู้สูงวัย เพราะจุดยืนจะดูขัดแย้งกับความจริง ตัวอย่างที่น่าสนใจ คือแบรนด์ IKEA

  • Purpose ของ IKEA คือ “ทำให้การใช้ชีวิตในบ้านดีขึ้นสำหรับทุกคน”
  • จุดยืนนี้สะท้อนออกมาในทุกมิติของธุรกิจ ตั้งแต่:
    • การออกแบบเฟอร์นิเจอร์ที่ใช้งานง่าย ราคาจับต้องได้
    • คู่มือประกอบที่เข้าใจง่าย แม้ไม่มีทักษะช่าง
    • การใช้วัสดุจากแหล่งที่ยั่งยืน
    • และแคมเปญโฆษณาที่เน้นเรื่องครอบครัว การอยู่ร่วมกัน และการจัดบ้านอย่างมีความสุข

ผลลัพธ์คือ ผู้บริโภครู้สึกว่า IKEA ไม่ได้แค่ “ขายเฟอร์นิเจอร์” แต่ “ขายชีวิตที่ดีขึ้นในบ้าน” ซึ่งเชื่อมโยงโดยตรงกับ Purpose ของแบรนด์อย่างสมบูรณ์แบบแบรนด์ที่เชื่อมโยง Purpose กับสินค้าได้ดี จะมีความได้เปรียบมหาศาล เพราะลูกค้าจะสัมผัสได้ถึงความจริงใจผ่านประสบการณ์ใช้งาน ไม่ใช่แค่จากข้อความโฆษณา

3. เข้าใจบริบทของผู้บริโภค

Purpose ของแบรนด์ ที่ประสบความสำเร็จจะต้อง สะท้อนความเชื่อ ค่านิยม และความกังวลของผู้บริโภคในปัจจุบัน ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยในยุคนี้ ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับประเด็นอย่างเช่น:

  • ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม
  • ความเท่าเทียมทางเพศ
  • ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและเชื้อชาติ
  • สุขภาพจิต ความเป็นอยู่ที่ดี
  • และสิทธิมนุษยชน

แบรนด์จึงต้อง เข้าใจบริบทสังคมและความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่หยิบประเด็นมาใช้ชั่วคราวเพื่อ “ขายของ” แต่ควรใช้เป็นแนวทางในการกำหนดทิศทางองค์กร ตัวอย่างที่ดีมาก คือแบรนด์เครื่องแต่งกาย Nike

  • Nike ใช้ Brand Purpose เพื่อ “สร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนมีพลังในการขับเคลื่อนตัวเอง”
  • พวกเขาเข้าใจว่า กลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับความหลากหลายและการต่อต้านการเลือกปฏิบัติ
  • Nike จึงกล้าทำแคมเปญที่พูดถึงนักกีฬาผิวดำ LGBTQ+ และสนับสนุนความเท่าเทียมอย่างชัดเจน

แม้ในช่วงหนึ่ง Nike จะถูกบางกลุ่มคว่ำบาตรจากจุดยืนทางสังคม แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นในระยะยาวคือ ความจงรักภักดีของลูกค้ากลุ่มหลักที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หากแบรนด์เข้าใจว่าผู้บริโภคในยุคนี้ “อิน” กับประเด็นอะไร และมีจุดยืนที่จริงใจในประเด็นเหล่านั้น แบรนด์จะไม่ใช่แค่แบรนด์ แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของ “ชีวิตและตัวตน” ของลูกค้า

สรุปแล้ว Brand Purpose ที่มีพลังต้องประกอบด้วย:

  1. ความจริงใจ — ไม่หวังแค่เกาะกระแส แต่ต้องมาจากความเชื่อของแบรนด์อย่างแท้จริง
  2. การเชื่อมโยงกับสิ่งที่แบรนด์ทำจริง — สินค้า บริการ และประสบการณ์ลูกค้าต้องสอดคล้องกับ Purpose
  3. ความเข้าใจผู้บริโภคและบริบทสังคม — ต้องรู้ว่าลูกค้าใส่ใจเรื่องอะไร และสื่อสารอย่างตรงจุด

หากทั้ง 3 องค์ประกอบนี้เชื่อมต่อกันได้อย่างลงตัว Brand Purpose ของคุณจะไม่ใช่แค่แนวคิด แต่กลายเป็นพลังที่เปลี่ยนแบรนด์ให้ยิ่งใหญ่ทั้งในแง่ของธุรกิจและจิตใจผู้บริโภค

วิธีสร้าง Brand Purpose ให้เข้าถึงใจลูกค้า

วิธีสร้าง Brand Purpose ให้เข้าถึงใจลูกค้า

ในยุคที่ผู้บริโภคไม่ได้เลือกซื้อสินค้าเพียงเพราะคุณภาพหรือราคาถูกเท่านั้น แต่ยังมองลึกไปถึง “เจตจำนง” ของแบรนด์ที่อยู่เบื้องหลัง เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ หรือ “เป้าหมายของแบรนด์” จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยสร้างความแตกต่าง และทำให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงกับแบรนด์ในระดับที่ลึกกว่าการซื้อขาย

แบรนด์ที่มี เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่ชัดเจนและจริงใจ มักจะได้รับความไว้วางใจ ความภักดี และแรงสนับสนุนจากลูกค้าอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน แบรนด์ที่แค่ “พูด” แต่ไม่ “ทำ” ก็เสี่ยงจะถูกมองว่าโลกสวยจอมปลอม และสูญเสียความเชื่อมั่นได้ง่าย

คำถามคือ… จะสร้าง เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่ เข้าถึงใจลูกค้า ได้อย่างไร?
ไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่ต้องเป็นจุดยืนที่แบรนด์ยึดถือจริง และลูกค้ารู้สึกได้จริง ในส่วนนี้ Talka จะพาคุณทำความเข้าใจไปทีละขั้น ตั้งแต่การค้นหาตัวตนแบรนด์ ไปจนถึงการสื่อสาร และวัดผลอย่างมีประสิทธิภาพครับ

1. สำรวจจุดเริ่มต้นของแบรนด์ให้ลึกกว่าที่เคย

ก่อนจะเริ่มสื่อสารว่าแบรนด์ของคุณ “เกิดมาเพื่ออะไร” คุณต้องย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นที่แท้จริงของแบรนด์ ถามคำถามสำคัญว่า…

 
  • แบรนด์ของเราถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์อะไร?
  • อะไรคือปัญหาหรือแรงบันดาลใจที่เป็นจุดเริ่มต้น?
  • ผู้ก่อตั้งมีคุณค่าอะไรที่ยึดถือ?

การสำรวจรากเหง้าเหล่านี้ ไม่ใช่แค่การเล่าย้อนประวัติแบรนด์แบบผิวเผิน แต่ต้องลงลึกไปถึง “ความเชื่อที่ผลักดัน” ให้แบรนด์เดินทางมาถึงวันนี้ เช่น

 
  • แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ อาจมีจุดเริ่มต้นจากครอบครัวที่มีสมาชิกเป็นโรคแพ้อาหาร และต้องการสร้างอาหารที่ปลอดภัยสำหรับทุกคน
  • แบรนด์แฟชั่นอาจเริ่มจากกลุ่มคนที่ตั้งคำถามกับ fast fashion และต้องการเปลี่ยนระบบแฟชั่นให้ยั่งยืน

เมื่อคุณค้นพบรากของแบรนด์อย่างแท้จริง คุณจะได้ เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ที่มีพลัง เพราะมัน “จริง” และ “เชื่อมโยง” กับจิตวิญญาณของแบรนด์มาตั้งแต่ต้น

 

2. ฟังเสียงผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง ไม่ใช่แค่สำรวจผิวเผิน

Brand Purpose ที่จะเข้าถึงใจลูกค้า ต้องสะท้อน “สิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญ” ด้วย ไม่ใช่สิ่งที่แบรนด์คิดเอาเอง คุณจึงต้องฟังเสียงของลูกค้าอย่างตั้งใจ ผ่านหลากหลายช่องทาง เช่น:

 
  • Social Listening: วิเคราะห์ว่าลูกค้าพูดถึงแบรนด์ หรือตลาดของคุณอย่างไร มีความคาดหวังเรื่องคุณค่าทางสังคมหรือสิ่งแวดล้อมไหม
  • แบบสอบถามออนไลน์: ออกแบบคำถามเพื่อค้นหาค่านิยม ความเชื่อ และความกังวลของลูกค้าในยุคปัจจุบัน
  • พูดคุยกับลูกค้าตัวจริง: การสร้าง community หรือ focus group ทำให้แบรนด์เข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก และแรงขับเคลื่อนของลูกค้าได้ชัดเจนกว่าตัวเลข

เสียงของลูกค้าในยุคนี้เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และสะท้อนภาพสังคมในปัจจุบัน ถ้าแบรนด์คุณไม่ฟังอย่างต่อเนื่อง Brand Purpose ที่คุณสร้างอาจล้าสมัยหรือไม่ตรงใจคนรุ่นใหม่ก็ได้

 

3. หา “จุดตัด” ระหว่างสิ่งที่แบรนด์เชื่อ กับสิ่งที่ลูกค้าสนใจ

Brand Purpose ที่ทรงพลังที่สุดคือจุดที่ “คุณค่าแบรนด์” และ “ความสนใจของลูกค้า” มาเจอกันพอดี เรียกว่า Purpose Intersection เพราะแบรนด์จะไม่มีวันสำเร็จ หากยืนอยู่แค่เพียงฝั่งของตัวเอง โดยไม่สนใจว่าผู้บริโภครู้สึกอย่างไรตัวอย่าง:

 
  • ถ้าแบรนด์ของคุณเชื่อใน “การเรียนรู้ตลอดชีวิต” และลูกค้าให้ความสำคัญกับ “การเข้าถึงโอกาสทางการศึกษา” นั่นคือจุดตัดที่ควรนำเสนออย่างจริงจัง เช่น การสร้างแคมเปญเพื่อส่งเสริมความรู้ฟรีผ่านออนไลน์
  • ถ้าแบรนด์ของคุณเชื่อใน “การดูแลโลก” และลูกค้าห่วงใย ปัญหาสิ่งแวดล้อม นั่นคือพื้นที่ที่คุณจะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมทางอารมณ์กับลูกค้าได้ลึกซึ้ง

การหา “Intersection” นี้ควรเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างทีมการตลาด ทีมผลิตภัณฑ์ และทีมวิจัยลูกค้า เพื่อสร้างจุดยืนที่ จริงใจ ชัดเจน และตรงใจทั้งสองฝ่าย

 

4. สื่อสาร Brand Purpose อย่างสม่ำเสมอในทุก Touchpoint

Brand Purpose จะไม่มีผลอะไรเลยถ้ามันถูกซ่อนอยู่ในหน้า “เกี่ยวกับเรา” ที่ไม่มีใครอ่าน!แบรนด์ต้อง “ทำให้คุณค่ากลายเป็นจริง” ผ่านประสบการณ์ทุกจุดที่ลูกค้าเจอ

 
  • สื่อโฆษณา: ไม่ใช่แค่ขายของ แต่ต้องเล่าคุณค่าที่แบรนด์ยึดถือ เช่น โฆษณาของแบรนด์ Patagonia ที่พูดเรื่องสิ่งแวดล้อมมากกว่าผลิตภัณฑ์
  • แพ็กเกจจิ้ง: ถ้าแบรนด์เชื่อในความยั่งยืน ต้องเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเห็นได้ชัด
  • การบริการลูกค้า: พนักงาน frontline ต้องเข้าใจ Brand Purpose เพื่อถ่ายทอดด้วยพฤติกรรมจริง ไม่ใช่แค่พูดตามสคริปต์
  • โซเชียลมีเดีย: คอนเทนต์ต้องบอกเล่าเรื่องราวและจุดยืนของแบรนด์ซ้ำ ๆ อย่างสร้างสรรค์

การสื่อสาร Brand Purpose ต้องไม่ใช่เรื่อง “ครั้งเดียวจบ” แต่ต้องเป็น สิ่งที่แบรนด์ “เป็น” และ “ทำ” อย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็น DNA ที่คนจดจำ

 

5. วัดผลและปรับกลยุทธ์อย่างยืดหยุ่น

แม้ว่า Brand Purpose จะเป็นสิ่งที่ดูเหมือนนามธรรม แต่สามารถวัดผลได้ในแง่ของ ผลลัพธ์ที่จับต้องได้ทางอารมณ์และพฤติกรรมของลูกค้า เช่น:

 
  • ความจงรักภักดี (Brand Loyalty): ลูกค้าซื้อซ้ำ หรือปกป้องแบรนด์ในยามมีวิกฤติ
  • ความผูกพัน (Brand Engagement): ลูกค้าแสดงออกผ่านการแชร์คอนเทนต์ หรือร่วมกิจกรรมของแบรนด์
  • การแนะนำต่อ (Net Promoter Score): ลูกค้ากล้าบอกต่อให้เพื่อนหรือครอบครัว

คุณควรตั้ง KPI ที่ชัดเจน เช่น อัตราการพูดถึงแบรนด์ในเชิงบวก, จำนวนผู้ติดตามที่มาจากคอนเทนต์เกี่ยวกับ purpose, หรือผลตอบรับจากแคมเปญที่เน้นคุณค่าของแบรนด์และที่สำคัญ Brand Purpose ไม่ใช่สิ่งตายตัวตลอดกาล ต้องกล้าปรับให้เข้ากับบริบทสังคม เช่น

 
  • ช่วงวิกฤตสิ่งแวดล้อม แบรนด์ต้องเน้นเรื่องการลดคาร์บอน
  • ในยุคความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา แบรนด์ควรขยับเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือสังคม

การปรับเปลี่ยนอย่างมีสติ จะทำให้แบรนด์ดูมีชีวิต มีความเข้าอกเข้าใจ และยังคงความจริงใจไว้ได้ในทุกยุค

 

สรุป

Brand Purpose ที่เข้าถึงใจลูกค้าไม่ใช่แค่ “การตลาดเชิงอุดมคติ” แต่คือ รากฐานของแบรนด์ที่สร้างความผูกพันระยะยาว ให้กับผู้บริโภค ต้องเริ่มจากความเข้าใจตนเอง ฟังเสียงลูกค้า หาจุดร่วมระหว่างทั้งสอง และถ่ายทอดออกมาอย่างจริงใจต่อเนื่อง พร้อมวัดผลและปรับตัวอยู่เสมอ แบรนด์ที่ทำได้แบบนี้ จะไม่ใช่แค่แบรนด์ที่ขายของได้ แต่จะเป็นแบรนด์ที่ “ผู้คนอยากอยู่ด้วยไปนานๆ”

 
เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่เป็น “หัวใจ” ของแบรนด์ยุคใหม่ เพราะในโลกที่ผู้บริโภคตัดสินใจด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล การมี เหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ชัดเจน ไม่เพียงช่วยให้แบรนด์แตกต่างจากคู่แข่ง แต่ยังสร้างความผูกพันระยะยาว สร้างกลุ่มลูกค้าที่ “รัก” และพร้อมสนับสนุนแบรนด์ในทุกสถานการณ์
 
 
 
 
แหล่งที่มา : 
 
 
 
 
 
 

 

 

 

บทความแนะนำ

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *