เข้าใจ Newsjacking พร้อมเทคนิคโหนกระแสดราม่า อย่างสร้างสรรค์

Newsjacking

Newsjacking“ในยุคที่ทุกอย่างไวระดับวินาที แบรนด์ที่ไวกว่าชนะเสมอ” นาทีนี้ คำกล่าวนี้คงไม่เกินจริงแต่อย่างใด เพราะบนโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างหมุนเร็วราวกับพายุ ข้อมูล ข่าวสาร และดราม่าทางสังคมผุดขึ้นทุกชั่วโมง การตลาดแบบดั้งเดิมที่รอวางแผนนานหลายเดือนอาจไม่ตอบโจทย์อีกต่อไป มีเพียง “ความเร็ว” เท่านั้นที่จะกลายเป็นกุญแจสำคัญ และนี่คือที่มาของกลยุทธ์ที่นักการตลาดระดับโลกเรียกว่า Newsjacking ที่เราจะมาเจาะลึกกันในวันนี้ครับ

Newsjacking คืออะไร?

Newsjacking คืออะไร?

Newsjacking คือ กลยุทธ์การตลาดที่ใช้หลักการ “โหนกระแส” แต่ไม่ใช่ในแบบไร้ทิศทาง หากแต่เป็นการวางแผนอย่างชาญฉลาด เพื่อให้แบรนด์สามารถเข้าไป “มีส่วนร่วมในบทสนทนา” ที่สังคมกำลังให้ความสนใจในช่วงเวลานั้น โดยไม่จำเป็นต้องรอสร้างกระแสของตัวเอง หรือเรียกว่าเป็น ศาสตร์แห่งการ “แทรกตัวอย่างแนบเนียน” ในข่าว เพื่อขโมยซีนแบบมืออาชีพก็ได้

แนวคิดหลักของการโหนกระแสดราม่า คือ การที่แบรนด์หรือธุรกิจเลือก “หยิบ” ข่าวสาร ดราม่า หรือกระแสที่กำลังเป็นที่พูดถึง มาใช้เป็นตัวตั้งต้น แล้วแทรกความเห็น มุกตลก มุมมอง หรือ แม้แต่สินค้า/บริการของตัวเองเข้าไปในบทสนทนานั้นอย่างแนบเนียน เพื่อให้เกิดการมองเห็น และพูดถึงในวงกว้างแบบ Organic โดยไม่ต้องจ่ายงบโฆษณา แทนที่จะแค่ยืนดูข่าวหรือปล่อยให้ดราม่าผ่านไปเฉย ๆ แบรนด์ที่ใช้ Newsjacking จะเลือก “กระโดดเข้าไปร่วมวง” ด้วยความไว และมีไหวพริบ พร้อมกับตั้งเป้าให้คนพูดถึงแบรนด์ในฐานะ “ผู้มีบทบาทร่วม” ในกระแสนั้น ไม่ใช่ “ผู้มาทีหลัง” หรือ “คนนอก” 

ทำไม Newsjacking ถึงทรงพลังในยุคดิจิทัล?

ทำไม Newsjacking ถึงทรงพลังในยุคดิจิทัล?

เพราะ “ความสนใจของผู้คน” นั้นเปรียบเสมือนสกุลเงินทางการตลาด ในโลกการตลาดยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคถูกถาโถมด้วยคอนเทนต์นับพันนับหมื่นต่อวัน การแย่ง “ความสนใจ” จึงกลายเป็นสงครามที่ทุกแบรนด์ต้องเข้าร่วม และหนึ่งในอาวุธที่ทรงพลังที่สุด คือ การโหนกระแสให้ถูกเวลา ถูกวิธี และโดนใจ ซึ่งต่อไปนี้ คือเหตุผลที่ทำให้กลยุทธ์การโหนกระแสดราม่าไม่ใช่แค่กลยุทธ์ธรรมดาๆ แต่กลายเป็น “โอกาสทอง” สำหรับนักการตลาดที่เข้าใจในเกมอย่างถ่องแท้ 

1. ดึงดูดความสนใจได้ทันที

เพราะ “จังหวะ” คือ ทุกอย่างเมื่อมีข่าวหรือดราม่าเกิดขึ้น ผู้คนจะเริ่มค้นหา พูดถึง แชร์ และแสดงความคิดเห็นอย่างหนาแน่นภายในไม่กี่ชั่วโมง แบรนด์ที่สามารถ “พูดอะไรบางอย่าง” ได้ในช่วงเวลานั้นจะได้รับความสนใจในแบบที่การตลาดทั่วไปไม่มีทางทำได้ เช่น หากมีดราม่าเรื่องบริการไม่ดีในวงการอาหาร แบรนด์ร้านอาหารที่ออกมาสื่อสารในมุมที่ฉลาด หรือสามารถแสดงจุดยืนได้อย่างสร้างสรรค์ จะกลายเป็น “แบรนด์ที่ใครๆ ก็พูดถึง” โดยไม่ต้องซื้อโฆษณาแม้แต่บาทเดียว 

 

2. เพิ่มการมองเห็น (Visibility) แบบไม่ต้องใช้งบโฆษณามหาศาล

ในช่วงที่กระแสข่าวกำลังดุเดือดและอยู่ในสปอตไลท์ ผู้คนมักจะพูดถึงและแชร์โพสต์ที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก การที่แบรนด์โพสต์คอนเทนต์ในช่วงนั้นและติด Hashtag หรือ Keyword ที่กำลังมาแรง จะช่วยให้เนื้อหาเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ในวงกว้าง แบบไม่ต้องเสียเงินยิง Ads ยิ่งเนื้อหามีความแหลมคม ชวนแชร์ หรือโดนใจกลุ่มเป้าหมายมากเท่าไร ก็ยิ่งกลายเป็น Earned Media ที่ผู้คนจะช่วยส่งต่อต่อกันไปให้อย่างสมัครใจ

 

3. ทำให้แบรนด์ดู “สดใหม่” และ “เข้าใจคนรุ่นใหม่”

ในยุคที่ผู้บริโภค โดยเฉพาะกลุ่ม Gen Z และ Millennials ให้ความสำคัญกับ “แบรนด์ที่ไม่ดูเชย” การสื่อสารที่อิงกระแสปัจจุบันจึงกลายเป็นภาพลักษณ์สำคัญ แบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์โหนกระแสดราม่าอย่างสร้างสรรค์ จะถูกมองว่าทันต่อเหตุการณ์ เข้าใจในบริบทสังคม รู้จักปรับตัวและไม่กลัวการมีส่วนร่วมในบทสนทนานั้น

 

4. มีโอกาสกลายเป็นไวรัล และติดเทรนด์ได้โดยไม่ตั้งใจ

การโหนกระแสดราม่าที่ออกแบบดี มีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นไวรัลเพราะผู้คนมีแนวโน้มจะแชร์โพสต์ที่เกี่ยวข้องกับข่าว หรือกระแสดราม่าอยู่แล้ว โดยเฉพาะถ้าเนื้อหานั้น “พูดแทนใจ” หรือมีมุมที่สะท้อนสังคมได้อย่างเฉียบแหลมและถ้าแบรนด์สามารถแทรกตัวเข้าไปในบทสนทนานั้นได้แนบเนียนพอ ก็อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของกระแสได้อย่างถาวรในความทรงจำของผู้บริโภค

 

 

ประเภทของ Newsjacking ที่นักการตลาดควรรู้

ประเภทของ Newsjacking ที่นักการตลาดควรรู้

ก่อนจะก้าวเข้าสู่เกมการตลาดด้วยการโหนกระแสดราม่าอย่างเต็มตัว นักการตลาดทุกคนจำเป็นต้องรู้ให้ถ่องแท้ว่า “กระแสข่าว” ไม่ได้มีแค่แบบเดียว และไม่ใช่ทุกกระแสที่จะเหมาะกับการเข้าไปมีส่วนร่วม หากคุณเลือกโหนกระแสผิดจังหวะ หรือเลือกข่าวที่ไม่มีความสอดคล้องใดๆ กับแบรนด์เลย อาจไม่ใช่แค่ไม่สร้างโอกาสแต่อาจกลายเป็นหายนะทางชื่อเสียงได้ในพริบตา ต่อไปนี้ คือ 3 ประเภทของ Newsjacking ที่นักการตลาดควรรู้จักและวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งก่อนลงมือเกาะกระแสอย่างสร้างสรรค์

1. ข่าวด่วน (Breaking News)

เมื่อเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้นเร็ว แบรนด์ที่ “ไว” จะได้พื้นที่ในใจผู้บริโภคก่อนใคร

Breaking News คือ เหตุการณ์สดใหม่ที่กำลังถูกสื่อหลักและโซเชียลพูดถึงพร้อมกันทั่วประเทศหรือทั่วโลก เช่น เหตุการณ์ทางการเมือง การประท้วง การเปลี่ยนแปลงกฎหมาย สถานการณ์โรคระบาด ไปจนถึงชัยชนะในมหกรรมกีฬาระดับโลก หรือการเสียชีวิตของบุคคลสำคัญ

ลักษณะเฉพาะของ Breaking News คือ:

  • เกิดแบบไม่คาดคิด

  • กระแสพุ่งแรงในช่วงสั้น ๆ (3–7 วัน)

  • คนให้ความสนใจมากในเวลาจำกัด

แบรนด์แบบไหนที่ควร Newsjack กับ Breaking News?

  • แบรนด์ที่มี ทีม Content หรือ Creative พร้อมตอบสนองเร็วภายใน 1–3 ชั่วโมง

  • แบรนด์ที่มีการ วางแผน Crisis Communication หรือ Real-time Marketing ไว้ล่วงหน้า

  • แบรนด์ที่กล้าสื่อสารในเชิง “แสดงจุดยืน” หรือมีมุมมองต่อเหตุการณ์

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • ช่วงเหตุการณ์ล็อกดาวน์จากโควิด-19 หลายแบรนด์รีบออกคอนเทนต์ ” #อยู่บ้านเพื่อชาติ”  พร้อมแคมเปญที่สื่อถึง Social Responsibility

  • เมื่อไทยชนะเวียดนามในฟุตบอล AFF Suzuki Cup แบรนด์กีฬาและอาหารออกโพสต์ “เชียร์มันส์ทั้งบ้าน” พร้อมโปรโมชั่นทันที

ข้อควรระวัง: อย่ารีบโพสต์โดยไม่เช็กแหล่งข่าวให้แน่ชัดก่อน เพราะการ Newsjack ข่าวผิด (เช่น ข่าวลือ ข่าวเท็จ) จะกลายเป็นความเสียหายใหญ่หลวงในสายตาของสาธารณชน

2. เทรนด์บนโซเชียล (Social Media Trend)

แค่เข้าใจ Hashtag ก็สร้างไวรัลได้ในไม่กี่ชั่วโมง

เทรนด์บนโซเชียลถือเป็นอีกหนึ่งประเภทของกระแสที่ “เข้าถึงง่าย” และมี “โอกาสโหนได้หลากหลาย” ที่สุด เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสร้าง Awareness อย่างสนุกสนานและกระตุ้น Engagement

รูปแบบของ Social Media Trend มีได้หลายแบบ เช่น:

  • Hashtag ที่ติดเทรนด์ บน X (Twitter) หรือ TikTok เช่น #เราชนะ #เลิกกับแฟนเพราะ 

  • มุกไวรัล (Meme) เช่น การตัดต่อภาพหรือวิดีโอจากประโยคเด็ดในรายการต่าง ๆ

  • Challenge หรือ Dance Trends ที่มักปรากฏใน TikTok หรือ Instagram Reels

แบรนด์แบบไหนที่ควรโหน Social Trend?

  • แบรนด์ที่เน้น กลุ่มเป้าหมายวัยรุ่น วัยทำงานตอนต้น

  • แบรนด์ที่มี ภาพลักษณ์เป็นกันเอง มีความสนุก ขี้เล่น หรือกล้าแซวตัวเอง

  • แบรนด์ที่มีทีม Creative ที่รู้ “จังหวะของการเล่นมุก” บนแพลตฟอร์มโซเชียล

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • แบรนด์แฟชั่นที่เข้าร่วม TikTok Challenge ด้วยครีเอเตอร์ดัง

  • เพจขนมที่แซวมุก #คนไทยเป็นคนตลก ด้วย meme ตัวเองและลูกค้า

ข้อควรระวัง:

  • อย่าใช้เทรนด์แบบ “เหวี่ยงแห” เพราะหากใช้ไม่ถูกจังหวะ หรือแทรกชื่อแบรนด์มากเกินไป จะดูเหมือนการขายของแบบน่าเบื่อ

  • หลีกเลี่ยงการโหนเทรนด์ที่ “เสื่อมเสีย” เช่นมุกล้อเลียนความรุนแรง หรือเหยียดเพศสภาพ

3. ดราม่าที่กำลังเป็นกระแส (Hot Topic Drama)

แบรนด์กล้าพูด คือแบรนด์ที่คนกล้ารัก

กระแสดราม่า เป็นประเภทของ การโหนกระแสดราม่า ที่ “แรง” และ “เสี่ยง” มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน ก็ทรงพลังที่สุดเช่นกัน ถ้าแบรนด์ใช้มันอย่างสร้างสรรค์

ดราม่าที่แบรนด์สามารถนำมาโหนได้ มักเป็นเรื่องที่ผู้บริโภคถกเถียงกันในวงกว้าง เช่น:

  • ประเด็น ดารา/Influencer ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม

  • ประเด็นบริการลูกค้าที่ล้มเหลว

  • ความไม่เท่าเทียม หรือการละเมิดสิทธิในสังคม

แบรนด์แบบไหนที่สามารถโหนดราม่าได้?

  • แบรนด์ที่มี Core Value ชัดเจน และไม่กลัวการแสดง “จุดยืนทางสังคม”

  • แบรนด์ที่มี Legal Team และ Crisis Management พร้อม

  • แบรนด์ที่เคยสื่อสารเรื่อง DE&I, Sustainability, Human Rights อยู่ก่อนแล้ว

ตัวอย่างการใช้งาน:

  • แบรนด์ Delivery ที่โพสต์ “เราฟังลูกค้าทุกคำ เพราะไม่อยากเป็นข่าวร้ายรายต่อไป” ช่วงมีข่าวลูกค้าถูกปฏิเสธออเดอร์จากแอปอื่น

  • ธุรกิจ Skincare ที่แสดงความห่วงใยเมื่อเกิดกรณีดาราใช้คำพูดเหยียดผิว และโพสต์สนับสนุนความงามหลากหลายแบบ

ข้อควรระวัง:

  • อย่า “แอบแซะ” โดยไม่มีจุดยืน เพราะคนจะรู้สึกว่าแบรนด์กำลังสร้างกระแสหลอก

  • ต้องเตรียมตอบคำถามกรณีคนไม่เห็นด้วย หรือถูกโต้กลับ

สรุป: เข้าใจประเภทของกระแส = เพิ่มโอกาส Newsjacking ได้อย่างปลอดภัย

นักการตลาดที่ดีต้องไม่ใช่แค่ “ไว” แต่ต้อง “เลือกกระแสให้ถูก”

ไม่ใช่ทุกกระแสที่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม และไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะเหมาะกับทุกกระแส การรู้จัก จำแนกประเภทของกลยุทธ์ในการโหนกระแสดราม่าจะช่วยให้แบรนด์คุณมีโอกาส “พูดในสิ่งที่คนอยากฟัง” และยังรักษาความน่าเชื่อถือของแบรนด์ไว้ได้ในระยะยาว หากคุณอยากโหนกระแสให้ เป๊ะทั้งรูปแบบ และถูกทั้งบริบท นี่คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรมองข้าม

เทคนิค ใช้กลยุทธ์ Newsjacking อย่างสร้างสรรค์

3 เทคนิค ใช้กลยุทธ์ Newsjacking อย่างสร้างสรรค์

ในโลกดิจิทัลที่ทุกคนสามารถเป็นทั้งผู้เสพข่าว ผู้ส่งต่อ และผู้วิจารณ์ได้ภายในไม่กี่วินาที ดราม่า จึงกลายเป็นหนึ่งในเชื้อเพลิงที่ทรงพลังที่สุดบนโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องดาราแบรนด์ดัง ลูกค้าถูกปฏิบัติไม่ดี หรือประเด็นสังคมร้อนแรง ดราม่าทุกชิ้นมี “พลัง” ในตัวมันเอง แต่พลังนั้นก็เหมือนดาบสองคม…

ถ้าแบรนด์โหนอย่างไม่เข้าใจบริบท อาจกลายเป็นการเหยียบกับระเบิด ที่ทำลายทั้งภาพลักษณ์ ความไว้วางใจ และโอกาสทางธุรกิจ ในทางกลับกัน ถ้าแบรนด์โหนอย่างชาญฉลาด มีจังหวะที่เหมาะ มีวิธีพูดที่ละเมียด และรู้จักใช้ “ดราม่า” เป็นกระจกสะท้อนคุณค่าของแบรนด์ ก็จะกลายเป็น “นักเล่าเรื่องร่วมสมัย” ที่คนพร้อมยืนเคียงข้าง

นี่คือ 3 เทคนิคสำคัญในการโหนกระแสดราม่า อย่างมีชั้นเชิง ไม่ให้ดูขายของ ไม่ให้โดนตำหนิ และยังได้ใจกลุ่มเป้าหมาย

1. จับสัญญาณไว วิเคราะห์เร็ว

ความเร็วคือแต้มต่อ แต่ความเข้าใจคือหัวใจของเกมนี้

ในโลกของ Newsjacking  “ไว” อย่างเดียวไม่พอ แต่ต้อง “ไวอย่างรู้ทิศทาง” การเห็นดราม่าแล้วรีบโพสต์ทันทีอาจไม่ใช่ทางที่ดีเสมอไป เพราะดราม่านั้นมีหลายมิติ ทั้งผู้เกี่ยวข้อง ประเด็นที่เป็นแก่นของเรื่อง และกระแสตอบรับของสังคมในแต่ละแพลตฟอร์ม

เทคนิคการจับสัญญาณที่ดี:

  • ใช้เครื่องมือ Social Listening เช่น Brandwatch, Talkwalker หรือแม้แต่ X Trends, TikTok Now เพื่อรู้ว่าคนกำลังพูดถึงอะไร

  • ตั้งระบบแจ้งเตือนแบบ Real-time ผ่านคำสำคัญ เช่น “แบนแบรนด์” “พนักงานทำร้าย” “Call out” หรือชื่อดารา/อินฟลูเอนเซอร์

  • ประชุมวิเคราะห์ทันทีในทีม Content / PR เพื่อประเมินว่า ดราม่านั้น:

    • มีมูลความจริงไหม?

    • เกี่ยวข้องกับสินค้า/บริการของเรารึเปล่า?

    • มีโอกาสโหนได้ในมุมสร้างสรรค์แค่ไหน?

ตัวอย่างการใช้:

แบรนด์เครื่องสำอางจับกระแสการเหยียดผิวในวงการบันเทิง โดยตั้งคำถามอย่างชาญฉลาดในโพสต์ว่า “ถ้าความงามมีแค่เฉดเดียว โลกคงน่าเบื่อไปมาก”

จำไว้เสมอ: ความเร็วที่ไร้การวิเคราะห์ อาจกลายเป็น “ไฟที่เผาแบรนด์ตัวเอง” ได้ไม่รู้ตัว

2. เลือกมุมมองอย่างมีกลยุทธ์

ดราม่าไม่ใช่เวทีโชว์ความสะใจ แต่คือโอกาสในการสะท้อนตัวตนของแบรนด์

หลายแบรนด์มักพลาดเพราะเข้าไปมีส่วนร่วมกับดราม่าในมุมที่ “ตัดสิน” หรือ “เหยียดหยาม” คนอื่นโดยไม่รู้ตัว เช่น การออกโพสต์เชิงประชดประชันผู้ถูกวิจารณ์ หรือการใช้มุกแซะฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแบบตรงๆ หรือแรงเกินไป แท้จริงแล้ว การโหนกระแสให้มีพลัง ไม่จำเป็นต้องแสดงความเห็นที่ชัดเจนขนาดนั้น แต่อยู่ที่การเลือก “มุมที่แบรนด์ถนัด” แล้วใช้ภาษาที่ “ฉลาดแต่ไม่เจ็บ” 

วิธีเลือกมุมมองอย่างมีศิลป์:

  • ใช้การตั้งคำถาม แทนการตัดสิน เช่น
    “ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นกับลูกค้าของเรา เราจะทำอย่างไร?”
    “คุณเคยรู้สึกเหมือนถูกละเลยในฐานะผู้บริโภคไหม?”

  • เน้น empathy (ความเห็นอกเห็นใจ) ไม่ใช่ drama baiting

  • เสนอทางออก หรือมุมที่แบรนด์จะไม่ทำ เช่น
    “เราเลือกฝึกพนักงานให้ฟังมากกว่าพูด เพราะเราเชื่อว่าเสียงของลูกค้าสำคัญที่สุด”

ตัวอย่างโพสต์:

“เมื่อความผิดพลาดของแบรนด์กลายเป็นประเด็น เราจึงออกแบบระบบร้องเรียนให้ไม่ต้องร้องไห้ก่อนถึงจะมีคนฟัง”

จำไว้เสมอ: การพูดเรื่องหนักด้วย “หัวใจ” ดีกว่าพูดด้วย “ปาก” เพราะผู้บริโภครู้ว่าอะไรจริงใจ อะไรแค่หวังยอดแชร์

3. อย่าโยงทุกเรื่องเข้าตัวเอง

ไม่ใช่ทุกดราม่าจะกลายเป็นพื้นที่ขายของ

อีกหนึ่งกับดักของการ Newsjack ดราม่า คือ “การพยายามขายของแบบแนบเนียนจนคนจับได้” เช่น มีดราม่าเรื่องบริการแย่ แล้วแบรนด์ออกโพสต์ว่า:

“ดีนะที่ลูกค้าเราไม่เคยเจอแบบนี้ เพราะเราดีกว่า!”

นี่คือตัวอย่างของ การพูดถึงตัวเองมากเกินไปในพื้นที่ที่ควรให้ความสำคัญกับผู้อื่น ผลที่ตามมาคือคนจะมองว่าแบรนด์ “ฉวยโอกาส” แทนที่จะ “ร่วมรับฟังสังคม”

เทคนิค: ใช้การสะท้อน ไม่ใช่การอวยตัวเอง

  • เล่าเรื่องผ่าน Perspective ของผู้บริโภค

  • ใช้คำว่า “เราเข้าใจ…” มากกว่า “เราดีอยู่แล้ว”

  • ให้พื้นที่กับบทเรียน มากกว่าการยกยอตัวเอง

ตัวอย่างโพสต์แบบถูกวิธี:

“เหตุการณ์นี้สอนเราว่า… แบรนด์ที่ดีต้องไม่เงียบเมื่อลูกค้ากำลังรู้สึกผิดหวัง”

“ในวันที่ผู้บริโภครู้สึกว่าเสียงตัวเองไม่มีความหมาย เราขอเลือกเป็นคนฟังที่จริงจัง ไม่ใช่แค่พนักงานหลังเคาน์เตอร์”

จำไว้เสมอ: การโหนดราม่าคือโอกาสให้คนเห็น “หัวใจของแบรนด์” ไม่ใช่แค่เห็น “โปรโมชั่นของแบรนด์”

สรุป: ดราม่าไม่ได้มีไว้ให้ด่า แต่มีไว้ “ดึงความจริงใจ” ของแบรนด์ออกมา

ถ้าจะโหน ต้องโหนด้วย “ความคิด ความกล้า และความรับผิดชอบ”

การใช้กระแสดราม่าในกลยุทธ์ Newsjacking ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องทำด้วยความระมัดระวังและเข้าใจอย่างลึกซึ้ง การโพสต์เพื่อไวรัลในระยะสั้น อาจให้ยอดวิวพุ่งชั่วคราว แต่การสื่อสารที่จริงใจ มีจุดยืน และแสดงความเข้าใจต่อมนุษย์ด้วยกันจะเป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ยืนระยะได้ในระยะยาว

ในยุคที่ผู้บริโภคมีวิจารณญาณสูง และพร้อมโต้กลับได้ทันที แบรนด์จึงต้องไม่เพียงไว แต่ต้อง ไวอย่างมีสติ
อย่าแค่ “พูดทันกระแส” แต่ต้อง “พูดอย่างที่โลกอยากฟัง แล้วฟังอย่างที่โลกอยากให้พูด”

ข้อควรระวังในการใช้ Newsjacking

โหนกระแสผิดชีวิตเปลี่ยน อย่าให้คอนเทนต์กลายเป็นจุดจบของแบรนด์ แม้ Newsjacking จะทรงพลังแต่ก็เหมือนดาบสองคมหากใช้ไม่ระวัง เพราะแบรนด์อาจโดนแบน โดนบอยคอต หรือเสื่อมเสียชื่อเสียงได้ ข้อสำคัญคือห้ามแทรกการตลาดลักษณะนี้ไว้ในข่าวเศร้า ข่าวสูญเสีย เช่น เหตุการณ์ความรุนแรง การเสียชีวิต ภัยพิบัติ ซึ่งเป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ไม่ควรนำมาสร้างไวรัลอย่างเด็ดขาด นอกจากนี้ยังไม่ควรแสดงถึงการเหยียดเพศสภาพ ศาสนา หรือเชื้อชาติ แม้ว่าจะทำแบบ “ล้อเลียน” ก็ตามแต่ เนื่องจากโซเชียลในยุคนี้จับตามองในเรื่อง DE&I (Diversity, Equity & Inclusion) อย่างเข้มข้น ที่สำคัญคุณควรเตรียมแผน B หากกระแสถูกตีกลับ ดังนั้นในทุกๆ โพสต์ควรมีทีม PR/Legal คอยตรวจสอบ และวางแผนรองรับคำวิจารณ์ไว้ล่วงหน้าอย่างรอบคอบและรัดกุม

สรุป

Newsjacking ไม่ใช่แค่ “ไว” แต่ต้อง “ไวอย่างมีชั้นเชิง” กลยุทธ์ที่ดีไม่ใช่แค่โหนกระแส แต่ต้องโหนให้เกิดคุณค่า Newsjacking อาจดูเหมือนเป็นเกมของความไว แต่แท้จริงแล้วมันคือ ศาสตร์แห่งการสื่อสารที่ละเอียดอ่อน ทุกโพสต์ที่แบรนด์จะปล่อยในช่วงที่มีกระแส ต้องผ่านการคิด วิเคราะห์ และตรวจสอบอย่างรอบคอบที่สุด เพื่อเปลี่ยนดราม่าจาก “ปัญหา” ให้กลายเป็น “โอกาสทางการตลาด” ให้มีประสิทธิภาพได้อย่างแท้จริง

 
 
 
 
 
 
แหล่งที่มา : 
 
 
 

 

 

 

บทความแนะนำ

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *