ในยุคที่การแย่งความสนใจของลูกค้าแข่งกันดุเดือดเหมือนสนามรบ การที่มีคนคลิกโฆษณาหรือเข้ามาดูสินค้าในเว็บไซต์เราได้ถือเป็นเรื่องใหญ่ แต่การจะทำให้เขาตัดสินใจซื้อได้ยิ่งใหญ่กว่า! “Remarketing” คือการยิงโฆษณาไปหาคนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์เรา เช่น เคยเข้าเว็บไซต์ เคยกดดูสินค้า เคยใส่ของลงตะกร้าแต่ไม่ซื้อ ฯลฯ แต่ Remarketing แบบธรรมดาอาจยังไม่พอในยุคนี้ เพราะลูกค้าคาดหวัง ประสบการณ์เฉพาะตัว มากขึ้น ตรงนี้เองที่ Dynamic Ads สามารถเข้ามาเติมเต็ม และเปลี่ยนเกมได้หากทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
Dynamic Ads คืออะไร?

ทำความเข้าใจ Dynamic Ads คืออะไร?
- Product Feed (รายการสินค้า) เป็นไฟล์ที่รวมข้อมูลสินค้าทั้งหมด เช่น ชื่อสินค้า ราคา รูปภาพ ลิงก์ไปยังหน้าสินค้า(บน Facebook เรียกว่าทำใน Catalog Manager บน Google Ads ใช้ Google Merchant Center)
- Tracking Pixel หรือ SDK เป็นตัวเก็บข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น ใครดูสินค้าไหน ใครใส่ของลงตะกร้า ใครเริ่ม Checkout ฯลฯ(เช่น Facebook Pixel, TikTok Pixel, Google Ads Tag)
- Dynamic Template (แม่แบบโฆษณา) โฆษณาจะมี “แม่แบบ” ที่เว้นช่องว่างไว้ เช่น รูปสินค้า = ดึงจากฟีด ชื่อสินค้า = ดึงจากฟีด ราคาสินค้า = ดึงจากฟีด จากนั้นระบบจะแทรกข้อมูลแต่ละชิ้นให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ชมแต่ละคนอัตโนมัติ
สรุปง่ายๆ คือ ระบบจะจับคู่ข้อมูลลูกค้า + ข้อมูลสินค้า แล้ว “ยิงโฆษณา” แบบ Personalization อัตโนมัติให้นั่นเองครับ
ประโยชน์ของ Dynamics Ads

ในยุคที่คนเห็นโฆษณาออนไลน์เต็มหน้าจอจนแทบจะเลื่อนผ่านทุกอย่าง การทำโฆษณาแบบ “ยิงกว้างๆ แบบหว่านแห” เริ่มไม่ค่อยได้ผลอีกต่อไปแล้ว คนยุคนี้อยากเห็นอะไรที่ ตรงใจ และ เกี่ยวข้องกับตัวเอง เท่านั้นตรงนี้เองที่ โฆษณาแบบไดนามิก หรือ โฆษณาแบบไดนามิก เข้ามาช่วยเปลี่ยนเกมการตลาดออนไลน์แบบหน้ามือเป็นหลังมือ แต่ โฆษณาแบบไดนามิก ดียังไง? ใช้แล้วดีกว่าทำโฆษณาธรรมดาตรงไหน? วันนี้เราจะพาไปดู ประโยชน์ของ Dynamic Ads แบบลึกๆ
1. โฆษณาตรงใจลูกค้าทุกคน แบบอัตโนมัติ
โฆษณาแบบไดนามิก ทำให้แต่ละคนเห็นโฆษณา ไม่เหมือนกันคนที่เคยดูรองเท้า เห็นรองเท้าคนที่เคยดูเสื้อ เห็นเสื้อคนที่เคยดูหมวก เห็นหมวกมันเหมือนการที่เราไปห้างแล้วมีพนักงานคอยหยิบสินค้าเฉพาะที่เราชอบมาเสนอให้เลยทำไมเรื่องนี้สำคัญ? เพราะคนเรามีความสนใจไม่เหมือนกัน การส่งโฆษณา “แบบเดียวกัน” ให้ทุกคน โอกาสโดนใจก็จะน้อย แต่ โฆษณาแบบไดนามิก ใช้ข้อมูลที่ลูกค้าเคยทำ เช่น ดูสินค้าไหน หรือสนใจอะไร มาสร้างโฆษณาเฉพาะบุคคลให้ อัตโนมัติ ทันที ผลลัพธ์: ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ “เข้าใจ” ตัวเอง และมีแนวโน้มจะซื้อของสูงขึ้นอย่างมาก
2. เพิ่มยอดขายแบบเห็นผลจริง
เพราะ โฆษณาแบบไดนามิก ยิงโฆษณาไปหาคนที่มีโอกาสซื้อสูงอยู่แล้ว เช่น คนที่เคยดูสินค้าในเว็บ คนที่ใส่ของลงตะกร้าแล้วหายไป คนที่คลิกดูสินค้าเกิน 2–3 ครั้งแต่ยังไม่ซื้อ เมื่อคนเหล่านี้เห็นโฆษณาที่ตรงกับสิ่งที่ตัวเองสนใจอีกครั้ง (เช่น รองเท้าที่เล็งไว้ หรือกระเป๋าที่เกือบซื้อ) พลังความอยากซื้อ ก็จะพุ่งขึ้นหลายเท่า ดังนั้น Dynamic Ads = ปิดการขายซ้ำได้ง่ายกว่าโฆษณาทั่วไป ผลลัพธ์ที่หลายแบรนด์พบ คือ อัตรา Conversion เพิ่มขึ้น 30–70%ยอดขายโตโดยไม่ต้องเพิ่มงบโฆษณาเยอะ ROAS (Return on Ad Spend) หรือ ผลตอบแทนต่อเงินที่ลงโฆษณา ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
3. ประหยัดเวลาและลดภาระงานอย่างมหาศาล
ถ้าไม่มี โฆษณาแบบไดนามิก แล้วเราจะต้องทำอย่างไร? ต้องทำโฆษณาทีละชิ้น สำหรับสินค้าทุกรายการ ต้องเซ็ตกลุ่มเป้าหมายทีละกลุ่ม ตามสินค้าแต่ละตัว ต้องอัปเดตราคาและสต็อกด้วยมือทุกครั้ง ลองคิดดูว่าถ้ามีสินค้า 500 ชิ้น จะเหนื่อยแค่ไหน…แต่ถ้าใช้ โฆษณาแบบไดนามิก สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นเอง ระบบเลือกสินค้าแทนเรา ระบบแสดงสินค้าตรงกับพฤติกรรมลูกค้าอัตโนมัติ อัปเดตราคา/สต็อกจากฟีดข้อมูลแบบเรียลไทม์ เราทำงานหนักครั้งเดียว (ตั้งค่าระบบ) แล้วปล่อยให้โฆษณาทำงานเองได้ตลอด
4. บริหารโฆษณาสเกลใหญ่ได้อย่างมืออาชีพ
หลายแบรนด์ที่มีสินค้าหลายร้อย หลายพันชิ้น เจอปัญหาใหญ่คือ: ทำโฆษณาให้ครบทุกรายการไม่ไหว คุมคุณภาพยาก เสียเวลาจัดการจนไม่มีเวลาทำการตลาดอย่างอื่น โฆษณาแบบไดนามิก คือคำตอบ เพราะระบบจะจับคู่ “สินค้า” + “ลูกค้า” ให้เองอย่างแม่นยำ ไม่ว่าคุณจะมีสินค้า 50 ชิ้น หรือ 50,000 ชิ้น โฆษณาจะทำงานได้ อย่างลื่นไหล โดยไม่ต้องเพิ่มคนทำงานเลย ทำให้ทีมการตลาดโฟกัสที่การวางกลยุทธ์ใหญ่ได้จริงๆ แทนที่จะเสียเวลาไปกับงานจุกจิก
5. สร้างประสบการณ์ลูกค้าดีขึ้นโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่ม
ในยุคนี้ “ประสบการณ์ของลูกค้า” (Customer Experience) คือหัวใจสำคัญ คนไม่อยากถูกยัดเยียดสินค้าแบบโบราณอีกแล้ว โฆษณาแบบไดนามิก ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีเพราะ: โฆษณาดูเหมือนถูกออกแบบมาเฉพาะตัว เนื้อหาที่เห็น “เกี่ยวข้อง” กับสิ่งที่สนใจจริงๆ ไม่มีความรู้สึกโดนขายจนอึดอัดเกินไป เมื่อคนรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจเขา เขาจะเชื่อใจแบรนด์มากขึ้น และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น
6. รองรับหลายแพลตฟอร์ม ต่อยอดได้ง่าย
โฆษณาแบบไดนามิก ไม่ได้ใช้ได้แค่ Facebook หรือ Google เท่านั้น แต่ตอนนี้รองรับหลากหลายช่องทาง เช่น: Facebook Dynamic Ads Instagram Dynamic Ads Google Dynamic Display Ads TikTok Dynamic Showcase Ads LinkedIn Dynamic Ads (สำหรับสาย B2B) แปลว่าเมื่อคุณตั้งระบบดีๆ ไว้ครั้งเดียว คุณสามารถยิงโฆษณาไดนามิกไปหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน ขยายโอกาสเข้าถึงลูกค้าใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้นแบบคูณสอง คูณสาม Dynamic Ads = ของมันต้องมี ถ้าอยากโตในยุคนี้
ในโลกที่ลูกค้าเลือกได้มากกว่าเดิม การทำโฆษณาให้ตรงใจที่สุด คือ “หัวใจ” ของการตลาดที่ได้ผล Dynamic Ads ช่วยให้คุณทำโฆษณาแบบ Personalization ได้ในวงกว้างเพิ่มโอกาสปิดการขาย ลดต้นทุนและเวลาทำงาน สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดี ขยายแคมเปญอย่างมีประสิทธิภาพ ถ้าวันนี้คุณยังไม่ได้เริ่มใช้ Dynamic Ads คุณอาจกำลัง “เสียโอกาสทอง” ในการโตแบบรวดเร็ว แต่ถ้าเริ่มตั้งแต่วันนี้ คุณจะได้เปรียบคู่แข่งแบบไม่ต้องเหนื่อยเท่ากัน
7 เทคนิคทำ Remarketing ด้วย Dynamics Ads

1. วางแผนแบ่งกลุ่มเป้าหมาย (Audience Segmentation) อย่างแม่นยำ
การยิงโฆษณาหาคนทั้งกลุ่มเหมารวม มักได้ผลไม่ดี เพราะพฤติกรรมและความตั้งใจของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีทำ คือ แบ่งตามพฤติกรรมที่เกิดขึ้น เช่น คนที่แค่เข้าเว็บดูสินค้า (View Content) คนที่กดใส่สินค้าในตะกร้าแต่ยังไม่จ่ายเงิน (Add to Cart) คนที่เริ่มขั้นตอน Checkout แล้วทิ้งกลางทาง (Initiate Checkout) คนที่เคยซื้อสินค้าไปแล้ว (Purchase) กำหนดช่วงเวลา (Recency) เช่น: คนที่เพิ่งดูสินค้าใน 1–3 วันล่าสุด คนที่ละทิ้งตะกร้าเกิน 7 วันแล้ว คนที่ซื้อของไปใน 30 วันที่แล้ว (เผื่อขายสินค้าเสริม)
ตัวอย่างการวางแผน:
กลุ่ม A: ดูสินค้าใน 3 วัน → ยิงโฆษณาตอกย้ำความสนใจ
กลุ่ม B: ใส่ตะกร้า 7 วันไม่จ่าย → เสนอคูปองลดราคา
กลุ่ม C: ซื้อไปแล้ว 30 วัน → เสนอสินค้าที่เกี่ยวข้อง (Cross-sell)
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ โฆษณาตรงจุด ตรงใจมากขึ้น โอกาสปิดการขายสูงขึ้น ใช้งบได้คุ้มค่า เพราะยิงเฉพาะคนที่มีโอกาสสูงสุด
2. เขียนข้อความ (Ad Copy) แบบเฉพาะบุคคล (Personalization)
ลูกค้าจะรู้สึกผูกพันและสนใจมากขึ้น เมื่อรู้สึกว่า “โฆษณานี้พูดกับฉันโดยตรง” วิธีทำ คือ ใช้ชื่อสินค้า, หมวดหมู่ หรือพฤติกรรมในข้อความ เช่น: “กำลังมองหา [ชื่อสินค้า] อยู่ใช่ไหม? รีบเลย ก่อนหมดสต็อก!” “อย่าพลาด! [ชื่อสินค้า] ที่คุณสนใจ ตอนนี้ลดราคาแล้ว” ใช้น้ำเสียงเร้าอารมณ์ หรือกระตุ้นการตัดสินใจ เช่น: ใช้คำว่า “ตอนนี้”, “วันนี้เท่านั้น”, “กำลังจะหมด”
ตัวอย่างข้อความดีๆ เช่น “คุณยังสนใจ [กระเป๋าเดินทางรุ่น A] อยู่ไหม? รับส่วนลดพิเศษ 10% ตอนนี้เลย!”
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ เพิ่มการคลิก (CTR) และ Conversion ลดการเลื่อนผ่านโฆษณาเฉยๆ (Scroll-through)
3. ใช้ข้อเสนอ (Offer) กระตุ้นการตัดสินใจ
ลูกค้าส่วนใหญ่ “ลังเล” แม้จะสนใจมากแล้ว ถ้าไม่มีแรงจูงใจเพิ่ม มักจะยังไม่ซื้อ ดังนั้นให้เสนอโปรโมชันเฉพาะคนที่ดูแล้วไม่ซื้อ เช่น ส่วนลด 5–10% สำหรับการซื้อภายใน 24 ชั่วโมง คูปองส่งฟรีเฉพาะการซื้อครั้งแรก ของแถมพิเศษสำหรับลูกค้าที่กลับมาซื้อ ใช้คำที่สร้าง “ความเร่งด่วน” (Urgency) และ “ความพิเศษ” (Exclusivity)
ตัวอย่างข้อเสนอ เช่น “ใส่โค้ด GET10NOW วันนี้ รับส่วนลดทันที 10% เฉพาะคุณ!”
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ลดการลังเล ปิดการขายได้เร็วขึ้น เพิ่มมูลค่าต่อการสั่งซื้อ (Average Order Value)
4. ออกแบบโฆษณา (Creative) ให้สะดุดตาและเน้นสินค้า
โฆษณาแบบไดนามิก ดึงข้อมูลอัตโนมัติจากฟีดสินค้ แต่การออกแบบหน้าตาโฆษณาก็สำคัญไม่แพ้กัน วิธีทำให้เลือกแสดง “สินค้าหนึ่งตัว” ถ้าต้องการโฟกัสการปิดการขายเร็วๆ เลือก “สินค้าหลายตัว” (Carousel) ถ้าอยากเสนอทางเลือกให้ผู้ใช้ใช้เทมเพลตที่เน้นสินค้าเป็นพระเอก เช่น: พื้นหลังเรียบๆ (เช่น ขาว เทา) เพื่อให้สินค้าเด่น ไม่ใช้ข้อความเยอะจนรก แทรก Logo หรือ Badge ลดราคาแบบเล็กๆ เพื่อเพิ่มความน่าสนใจ
ตัวอย่างการจัดองค์ประกอบ เช่น รูปสินค้าใหญ่ชัดเจน มีราคา และโปรโมชัน ปุ่ม CTA (“Shop Now”) ชัดเจน
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ โฆษณาดูมืออาชีพ ดึงสายตาได้ดีใน Feed ที่แข่งกันดุเดือด เพิ่มโอกาสกดดูสินค้า
5. ทดสอบ (A/B Testing) อย่างต่อเนื่อง
พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนเร็ว สิ่งที่ได้ผลวันนี้ อาจไม่ได้ผลพรุ่งนี้ ดังนั้น ทดสอบแบบง่ายๆด้วย ชุดรูปสินค้าแบบ A vs B ข้อความโฆษณาแบบตรงประเด็น vs แบบเน้นอารมณ์ โปรโมชันแบบลดราคา vs ส่งฟรี ทดสอบช่วงเวลาโฆษณา เช่น: ยิงกลางวัน vs ยิงกลางคืน ยิงวันธรรมดา vs วันหยุด
ตัวอย่างแผน A/B Testing ให้ ลอง Test Item ตัวเลือก A ตัวเลือก B ภาพสินค้า พื้นหลังขาว พื้นหลังเทาอ่อน ข้อความ “โปรพิเศษวันนี้!” “เฉพาะคุณ ลด 10%” โปรโมชั่น ส่วนลด ส่งฟรี
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ คุณจะรู้ว่ากลุ่มเป้าหมายตอบสนองกับอะไร เอาข้อมูลจริงมาตัดสินใจแทนการคาดเดา ค่อยๆ ปรับให้โฆษณามีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆ
6. กำหนดระยะเวลาและความถี่อย่างเหมาะสม (Timing & Frequency)
ถ้าเห็นโฆษณาซ้ำเกินไป คนจะรำคาญจนบล็อก หรือรู้สึกด้านชา แต่ถ้าเห็นน้อยเกินไป ก็ลืมแบรนด์เรา เทคนิคในการทำ คือ ให้คุณ ตั้ง Frequency Cap เช่น ให้คนเห็นโฆษณาไม่เกิน 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ กำหนดช่วง Remarketing เช่น: รีมาร์เก็ตแค่ 14 วันแรกหลังจากแสดงพฤติกรรม ทำ “Sequence” ของโฆษณา เช่น: วันแรก–วันที่ 3 : ยิงโฆษณาแบบ Soft Reminder วันที่ 4–วันที่ 7: เสนอโปรโมชัน วันที่ 8–วันที่ 14: เสนอสินค้าคล้ายกัน (Alternative products)
ผลลัพธ์ที่ได้คือ รักษาความสนใจแบบพอดี ไม่ทำให้แบรนด์กลายเป็นสิ่งที่ “น่ารำคาญ”
7. ใช้ Lookalike Audience เสริมสำหรับการขยายกลุ่ม
นอกจากตามรีมาร์เก็ตคนเก่า เราควรหาคนใหม่ๆ ที่ “คล้ายกับคนที่แสดงพฤติกรรมดี” ด้วย วิธีทำ คือ ให้ใช้ข้อมูลจากคนที่ซื้อสำเร็จ คนที่กด Add to Cart สร้าง Lookalike Audience จากฐานข้อมูลนั้น
ลองสร้างกลุ่ม Lookalike 1% จากคนที่ซื้อสินค้า → ยิงโฆษณาเสนอสินค้าคล้ายๆ แบบ Dynamic Prospecting
ผลลัพธ์ที่ได้ คือ ขยายฐานลูกค้าได้เร็ว ได้คนที่มีแนวโน้มสนใจแบรนด์เราจริงๆ
สรุปสั้นๆ Dynamic Ads + Remarketing คือพลังที่ทำให้การโฆษณาแม่นยำ
แต่จะได้ผลดีที่สุด ก็ต่อเมื่อคุณ :
- วางแผนกลุ่มเป้าหมายอย่างละเอียด
- ออกแบบข้อความและข้อเสนอให้ตรงใจ
- ออกแบบโฆษณาให้สวยงาม ดึงดูด
- ทดสอบและปรับปรุงตลอดเวลา
- ควบคุมระยะเวลาและความถี่ให้เหมาะสม
- และใช้กลยุทธ์ Lookalike Audience อย่างชาญฉลาด