การตลาดดิจิทัลในปี 2025 เต็มไปด้วยเครื่องมือและช่องทางใหม่ๆ ที่เปิดโอกาสให้นักการตลาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำมากขึ้น แต่ท่ามกลางเครื่องมือวัดผลที่หลากหลาย และแพลตฟอร์มที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้น ยังมี “พื้นที่ลับ” ที่ถูกใช้ในการสื่อสารบ่อยครั้ง ทว่ายากต่อการติดตามและวัดผล พื้นที่นั้นก็คือ Dark Social ซึ่งแม้อาจไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่ความสำคัญของมันกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคทุกวันนี้หันมาใช้ช่องทางการสื่อสารส่วนตัวมากขึ้น เช่น การแชร์ลิงก์ใน LINE, WhatsApp, Messenger, Instagram DM, Telegram หรือแม้กระทั่งอีเมลส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ได้ถูกติดตามด้วยเครื่องมือ Analytics แบบทั่วๆ ไป ทำให้นักการตลาดมองไม่เห็นว่าทราฟฟิกส่วนใหญ่ที่เข้ามาจริงๆ มาจากไหน
ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกทุกมิติของ Dark Social ตั้งแต่ความหมาย เหตุผลที่มันเติบโต ความท้าทายในการวัดผล ไปจนถึงกลยุทธ์ที่นักการตลาดปี 2025 ต้องรู้ เพื่อเปลี่ยน “ช่องทางการตลาดลับ” ให้กลายเป็นเครื่องมือสร้างการเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพครับ
Dark Social คืออะไร?

Dark Social คืออะไร?
Dark Social คือ การอธิบายพฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ แชร์เนื้อหา ลิงก์ หรือข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์ ผ่านช่องทางส่วนตัว (Private Channel) ที่ระบบติดตาม (Tracking System) ไม่สามารถตรวจจับแหล่งที่มาได้ชัดเจน ต่างจากการแชร์บนแพลตฟอร์มสาธารณะอย่าง Facebook, TikTok, X (Twitter) หรือ LinkedIn ที่เราสามารถเห็นจำนวนการกดแชร์ กดไลก์ หรือ Engagement ได้ตรงๆ
Dark Social ที่พบได้บ่อย
- การคัดลอกลิงก์บทความส่งให้เพื่อนใน LINE
- ผู้ใช้พบเจอบทความที่น่าสนใจจากเว็บไซต์ข่าวหรือบล็อกการตลาด จากนั้นคัดลอกลิงก์ไปส่งให้เพื่อนในกลุ่ม LINE ของครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนสนิท
- ผลคือ เจ้าของเว็บไซต์จะเห็นว่ามีทราฟฟิก “Direct Traffic” เข้ามา แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วผู้ใช้มาจากการแชร์ใน LINE
- การแชร์โปรโมชั่นในกลุ่ม WhatsApp
- ตัวอย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์ออกโปรโมชั่นลดราคาสินค้า 50% ลูกค้าบางคนที่เห็นโปรโมชั่นนี้บนเว็บไซต์จะคัดลอกลิงก์ไปส่งต่อให้เพื่อนหรือกลุ่ม WhatsApp ของที่ทำงาน
- เพื่อนๆ ที่กดเข้าลิงก์จะถูกนับว่าเข้ามาจาก Direct Traffic แทนที่จะถูกระบุว่า “มาจาก WhatsApp”
- การส่งลิงก์สินค้าให้เพื่อนใน Messenger หรือ Instagram DM
- เวลามีคนเลื่อนเจอสินค้าสวยๆ บน Instagram แล้วกดแชร์เข้าทาง Direct Message เพื่อนที่ได้รับลิงก์อาจคลิกเข้าไปซื้อสินค้าโดยตรง
- ฝั่งแบรนด์จะเห็นยอดขายเพิ่มขึ้น แต่ไม่รู้เลยว่าต้นตอมาจาก Instagram DM ไม่ใช่จากโฆษณาหรือโพสต์สาธารณะ
- การ Forward อีเมลโปรโมชั่นให้เพื่อนร่วมงาน
- แบรนด์ส่งอีเมลโปรโมชั่นไปยังลูกค้า A ลูกค้า A เห็นว่าน่าสนใจ จึง Forward อีเมลไปให้เพื่อนร่วมงานหลายคน
- เพื่อนร่วมงานกดลิงก์ซื้อสินค้า แต่แบรนด์ไม่สามารถวัดได้ว่าการเข้าชมเหล่านี้เกิดจากการ Forward อีเมล ไม่ใช่การเปิดจากบัญชีผู้รับเดิม
- การแชร์ผ่าน Community ปิด เช่น Discord หรือ Slack
- ในกลุ่ม Discord ที่พูดคุยเรื่องเกม หรือใน Slack ของทีมงาน มีสมาชิกนำลิงก์บทความ เทรนด์ หรือสินค้ามาแชร์ในห้องสนทนา
- คนที่คลิกเข้ามาจากลิงก์นี้จึงกลายเป็นทราฟฟิกที่ไม่สามารถระบุที่มาชัดเจนได้เช่นกัน
จุดเด่นของ Dark Social
สิ่งที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล แตกต่างจากการแชร์แบบสาธารณะก็คือ มันไม่ทิ้งร่องรอยที่ชัดเจน บนโซเชียลมีเดียที่นักการตลาดสามารถเข้าถึงและวิเคราะห์ได้ทั่วไป เช่น จำนวนการกดแชร์ หรือการรีโพสต์ เราไม่สามารถเห็นได้ว่าในความเป็นจริงมี “การบอกต่อ” เกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดผลที่ตามมาคือ เมื่อระบบ Analytics อย่าง Google Analytics, Facebook Pixel หรือเครื่องมือวัดผลโฆษณาอื่นๆ ทำงาน พวกมันจะไม่สามารถแยกแยะได้ว่าทราฟฟิกที่เข้ามาเกิดจากการแชร์ใน LINE, WhatsApp หรือ Slack แต่จะถูกจัดหมวดหมู่เป็น Direct Traffic
ซึ่งดูเหมือนว่าผู้ใช้ “พิมพ์ URL ตรง” ทั้งที่ความจริงแล้ว มีการ แชร์แบบปิด เกิดขึ้นอยู่เบื้องหลัง
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ดาร์ค โซเชียล คือ ช่องทางการบอกต่อ (Word-of-Mouth) ในยุคดิจิทัล ที่มีพลังสูงมาก แต่กลับซ่อนตัวอยู่ในเงามืดของระบบวิเคราะห์ข้อมูล หากนักการตลาดขาดความเข้าใจก็อาจมองข้ามปัจจัยสำคัญที่ผลักดันยอดขายและการเติบโตของแบรนด์ไปโดยไม่รู้ตัว
ทำไม Dark Social ถึงเป็นเรื่องสำคัญ ที่นักการตลาดควรรู้

ในอดีต นักการตลาดสามารถพึ่งพาแพลตฟอร์มสาธารณะ เช่น Facebook, Instagram, TikTok, Twitter/X รวมถึงเครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Google Analytics เพื่อดูพฤติกรรมผู้ใช้และวัดผลการตลาดได้อย่างค่อนข้างแม่นยำ การแชร์หรือการโต้ตอบส่วนใหญ่เกิดขึ้นบนพื้นที่เปิด (Public) ที่สามารถติดตามได้ เช่น จำนวนไลก์ จำนวนแชร์ หรือการคลิกผ่านลิงก์โฆษณาแต่เมื่อก้าวเข้าสู่ปี 2025 โลกดิจิทัลได้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
พฤติกรรมผู้บริโภคไม่ได้อยู่บนพื้นที่เปิดเหมือนเดิมอีกต่อไป แต่ย้ายเข้าสู่พื้นที่ “ปิด” หรือ Private Channel มากขึ้นเรื่อยๆ ปัจจัยหลายประการผลักดันให้ ดาร์ค โซเชียล กลายเป็นช่องทางสำคัญที่นักการตลาดไม่สามารถมองข้ามได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ครับ
1. ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัวมากขึ้น
ความเป็นส่วนตัว (Privacy) กลายเป็น “ปัจจัยใหม่” ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญพอๆ กับคุณภาพและราคา ผู้คนจำนวนมากเริ่มไม่สบายใจที่โพสต์หรือแชร์ทุกสิ่งในพื้นที่สาธารณะ เพราะเสี่ยงต่อการถูกติดตาม ถูกเก็บข้อมูล หรือถูกนำไปใช้ในทางการตลาด
- แทนที่จะโพสต์ลิงก์บน Facebook ให้เพื่อนหลายร้อยคนเห็น ผู้ใช้เลือกที่จะ ส่งลิงก์ตรงให้เพื่อนสนิทใน LINE หรือ WhatsApp
- แทนที่จะรีวิวสินค้าบนโพสต์สาธารณะ หลายคนเลือกที่จะ พูดคุยกับเพื่อนในแชทส่วนตัว
ตัวอย่างเช่น สมมติคุณเจอบทความสุขภาพที่เป็นประโยชน์ คุณอาจไม่อยากโพสต์ลง Timeline ให้คนทั้งออฟฟิศมาเห็นว่าคุณสนใจเรื่องนี้ แต่คุณเลือกส่งโดยตรงให้คนในครอบครัวแทน นี่คือตัวอย่างของ ดาร์ค โซเชียล ที่เกิดขึ้นจริงในทุกๆ วัน
2. การเติบโตแบบก้าวกระโดดของแพลตฟอร์มแชท
อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล ทรงพลังมากขึ้นคือ การเติบโตของแพลตฟอร์มแชท ข้อมูลจาก Statista ปี 2024 ระบุว่าเพียงแค่ WhatsApp, LINE, Telegram และ Messenger รวมกันก็มีผู้ใช้งานเกิน 5,000 ล้านบัญชี ซึ่งเกือบเท่ากับจำนวนประชากรโลก
- WhatsApp: ได้รับความนิยมสูงสุดในระดับโลก โดยเฉพาะในอินเดีย บราซิล และยุโรป
- LINE: ครองตลาดหลักในญี่ปุ่น ไต้หวัน และประเทศไทย
- Telegram: ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเพราะระบบความปลอดภัยและฟีเจอร์ Community
- Messenger: ผูกติดกับ Facebook ทำให้ยังเป็นที่นิยมในหลายประเทศ
แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือ “แชท” อีกต่อไป แต่กลายเป็น Super App ที่รวมทุกอย่าง ตั้งแต่การโอนเงิน จองตั๋ว ซื้อสินค้า ไปจนถึงการแชร์เนื้อหาที่เกี่ยวกับแบรนด์
3. กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA)
การมาถึงของกฎหมายอย่าง GDPR (ยุโรป) และ PDPA (ไทย) ทำให้แบรนด์และนักการตลาดถูกจำกัดความสามารถในการติดตามพฤติกรรมผู้ใช้
- การใช้ Third-Party Cookie ถูกลดทอนจนแทบใช้ไม่ได้
- การ Tracking ผ่าน Pixel หรือ Script บางอย่างถูกบล็อก
- ผู้บริโภคมีสิทธิ์กด “ไม่ยินยอม” ให้เก็บข้อมูล
ผลคือ ช่องทางการตลาดแบบเดิมที่เคยวัดผลได้ง่าย กลายเป็นเรื่องยากขึ้นเรื่อยๆ ในทางกลับกัน ดาร์ค โซเชียล ซึ่งอาศัยการบอกต่อจากคนสู่คน ไม่ได้พึ่งพา Cookie หรือ Tracking Code ใดๆ จึงเติบโตสวนทางและกลายเป็นพื้นที่สำคัญโดยอัตโนมัติ
4. การซื้อสินค้าผ่าน Recommendation ส่วนตัว
สิ่งที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล ทรงพลังที่สุดคือ “ความเชื่อถือ” (Trust)งานวิจัยหลายชิ้นระบุว่า ผู้บริโภคเชื่อคำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือกลุ่มใกล้ชิดมากกว่าการโฆษณาโดยตรงหลายเท่า ตัวอย่างเช่น
- เพื่อนในกลุ่ม LINE แนะนำร้านอาหารใหม่ โอกาสที่คุณจะลองไปมีสูงกว่าการเห็นโฆษณาใน Facebook
- เพื่อนร่วมงานส่งลิงก์คูปองลดราคาสินค้า โอกาสที่คุณจะกดซื้อทันทีมีสูงกว่าการเห็น Ads จากแบรนด์
นี่คือ Word-of-Mouth Marketing ที่ขับเคลื่อนผ่าน ดาร์ค โซเชียล ซึ่งมีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมหาศาล
สรุปแล้ว Dark Social คือ “แหล่งอิทธิพลทางการตลาดที่ทรงพลัง”
จากเหตุผลทั้งหมด เราจะเห็นได้ว่า ดาร์ค โซเชียล ไม่ใช่แค่ “ช่องทางที่มองไม่เห็น” แต่เป็น แรงขับเคลื่อนใหม่ของการตลาดในปี 2025
- ผู้บริโภคต้องการความเป็นส่วนตัว
- แพลตฟอร์มแชทเติบโตจนกลายเป็น Super App
- กฎหมายทำให้การ Tracking ยากขึ้น
- การบอกต่อจากเพื่อนและครอบครัวมีอิทธิพลต่อการซื้อสูงมาก
ดังนั้น หากแบรนด์ไม่เข้าใจ ดาร์ค โซเชียล ก็อาจพลาดโอกาสเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมหาศาลที่ตัดสินใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางเหล่านี้
เจาะลึกพฤติกรรมผู้บริโภคใน Dark Social

เพื่อจะเข้าใจดาร์ค โซเชียล อย่างแท้จริง เราไม่สามารถหยุดอยู่ที่คำอธิบายว่า “เป็นช่องทางที่วัดผลยาก” เท่านั้น แต่ต้องเจาะลึกไปถึง พฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เกิดขึ้นในช่องทางเหล่านี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังหน้าจอมือถือใน LINE, WhatsApp, Messenger หรือ Discord ต่างหาก ที่กำหนดว่าการตลาดยุคใหม่จะต้องปรับตัวอย่างไรดาร์ค โซเชียล ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่เกิดจาก ธรรมชาติของมนุษย์ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว ความเชื่อใจ และการสื่อสารในวงเล็ก ซึ่งเมื่อผสมเข้ากับความสะดวกของดิจิทัล ทำให้มันกลายเป็น “Word-of-Mouth Marketing ในเวอร์ชันออนไลน์” ที่ทรงพลังอย่างมหาศาล
1. การแชร์แบบเป็นวงใน (Private Sharing)
หนึ่งในลักษณะสำคัญของ ดาร์ค โซเชียล คือการแชร์เนื้อหาแบบ วงปิด หรือ Private Sharing ซึ่งต่างจากการโพสต์ลงบน Feed หรือ Timeline ที่ทุกคนเห็น
- ตัวอย่างเช่น คุณเจอบทความเรื่องสุขภาพที่น่าสนใจ แต่ไม่อยากให้เพื่อนร่วมงานทั้งหมดรู้ว่าคุณกำลังสนใจเรื่องนี้ จึงเลือกส่งลิงก์ไปให้พี่น้องใน LINE แทน
- หรือคุณเจอคูปองส่วนลดร้านอาหาร จึงแชร์ให้แฟนโดยตรงใน WhatsApp แทนที่จะโพสต์สาธารณะบน Facebook
สิ่งนี้สะท้อนว่า ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการ “แสดงตัว” ต่อสังคมเสมอไป แต่ต้องการ “เลือกคนที่จะเห็น” การแชร์ที่เกิดขึ้นจึงมีความเป็น Selective และมีโอกาสสูงที่ปลายทางจะเกิด Engagement เพราะลิงก์ถูกส่งไปให้กับคนที่ “เกี่ยวข้องจริงๆ”
2. การสนทนากลุ่มย่อย (Group Chat Dynamics)
แพลตฟอร์มแชทอย่าง LINE, Messenger, Telegram หรือ Discord เต็มไปด้วย กลุ่มย่อย (Group Chat) ที่แต่ละคนมีอยู่หลายสิบกลุ่ม ตั้งแต่กลุ่มครอบครัว เพื่อนสมัยเรียน ไปจนถึงกลุ่มงานหรือกลุ่มคนที่สนใจเรื่องเดียวกัน
- กลุ่ม LINE ครอบครัว มักแชร์ข่าว สินค้า หรือโปรโมชันที่ใช้ได้ทั้งบ้าน เช่น คูปองของซูเปอร์มาร์เก็ต หรือประกันสุขภาพ
- กลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัย มักแชร์เรื่องบันเทิง ร้านอาหาร สินค้าแฟชั่น หรือโปรโมชั่นท่องเที่ยว
- กลุ่มทีมงานบริษัท มักแชร์ข้อมูลเครื่องมือดิจิทัล บทความอัปสกิล หรือโอกาสในการลงทุน
สิ่งที่เกิดขึ้นใน Group Chat คือ “วงสนทนาขนาดเล็กแต่ทรงพลัง” ที่การแนะนำหรือแชร์เนื้อหามีความน่าเชื่อถือสูง และสามารถขับเคลื่อนการซื้อได้ทันที เพราะผู้รับรู้สึกว่ามันถูกคัดกรองมาแล้วจากคนที่เขาไว้ใจ
3. การให้คำแนะนำอย่างจริงใจ (Trusted Recommendation)
หนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล มีพลังมากคือ ความจริงใจของคำแนะนำต่างจากโฆษณาที่ผู้บริโภครู้ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อขาย คำแนะนำจากเพื่อน ครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงานถูกมองว่า ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จึงมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจซื้อสูงกว่ามาก
- ถ้าโฆษณาใน Facebook บอกว่าสกินแคร์ยี่ห้อหนึ่งใช้แล้วผิวดี อาจทำให้ผู้ใช้ลังเล
- แต่ถ้าเพื่อนสนิทในกลุ่ม LINE พูดว่า “ฉันลองใช้แล้ว หน้าใสขึ้นจริง” โอกาสที่คนจะลองซื้อมีสูงกว่าหลายเท่า
นี่คือการยืนยันว่า Word-of-Mouth ใน ดาร์ค โซเชียล มีพลังเหนือโฆษณาโดยตรง เพราะมันสร้างความเชื่อใจได้ในทันที
4. การแชร์ Content เฉพาะเจาะจง (Contextual Sharing)
อีกหนึ่งลักษณะเด่นคือการแชร์แบบ เฉพาะเจาะจง ผู้บริโภคจะไม่แชร์ทุกอย่างที่เห็น แต่จะเลือกแชร์เนื้อหาที่ “ตรงกับความสนใจหรือสถานการณ์” ของคนที่จะได้รับ
- ถ้าเจอบทความเรื่องเทคนิคการเลี้ยงลูก ผู้ใช้จะส่งให้เพื่อนที่เพิ่งมีลูก ไม่ใช่แชร์แบบสุ่ม
- ถ้าเจอโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินราคาถูก ก็จะส่งให้เพื่อนในกลุ่มที่ชอบท่องเที่ยว
- ถ้าเจอคอร์สเรียนออนไลน์ด้านการตลาด ก็มักแชร์ในกลุ่มทีมงานที่เกี่ยวข้องกับงาน
สิ่งนี้ทำให้การแชร์ใน ดาร์ค โซเชียล มีคุณภาพสูงกว่าการโพสต์สาธารณะ เพราะผู้รับมักเป็นคนที่มีโอกาสสนใจจริง และมีแนวโน้มจะคลิกหรือซื้อสินค้าได้มากกว่า
Dark Social: Word-of-Mouth ดิจิทัลที่ขยายด้วยเทคโนโลยี
เมื่อนำพฤติกรรมทั้ง 4 ข้อข้างต้นมารวมกัน เราจะเห็นภาพว่า ดาร์ค โซเชียล คือ การบอกต่อ (Word-of-Mouth) ในยุคดิจิทัล ที่ถูกขยายด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร
- จากการพูดคุยปากต่อปากในอดีต → สู่การแชร์ลิงก์ผ่าน LINE หรือ WhatsApp
- จากการบอกต่อกันในวงเล็ก → สู่การส่งต่อในกลุ่มออนไลน์ที่มีสมาชิกนับสิบหรือหลายร้อยคน
- จากการแนะนำสินค้าแบบส่วนตัว → สู่การส่งต่อข้อมูลที่มีหลักฐาน เช่น ลิงก์เว็บไซต์ รีวิว หรือโปรโมชั่น
นี่คือสิ่งที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล ไม่ใช่เพียง “ช่องทางที่วัดผลยาก” แต่คือ พลังเงียบที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจซื้อในยุคดิจิทัล และเป็นเหตุผลว่าทำไมนักการตลาดในปี 2025 จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับมันอย่างจริงจัง
Dark Social กับความท้าทายสำหรับการตลาด

1. Analytics ไม่สามารถตรวจจับได้
เมื่อผู้บริโภคคัดลอกลิงก์จากเว็บไซต์แล้วส่งให้เพื่อนใน LINE, WhatsApp หรือ Messenger การเข้าถึงเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นจากลิงก์นั้นจะถูกจัดหมวดหมู่เป็น Direct Traffic แทนที่จะบอกว่าแหล่งที่มาจาก “LINE” หรือ “WhatsApp” ผลลัพธ์คือ ข้อมูลการตลาดไม่แม่นยำ นักการตลาดเข้าใจผิดว่าลูกค้าเข้ามาจากการพิมพ์ URL ตรง ทั้งที่จริงแล้วมาจากการแชร์ส่วนตัว ซึ่งทำให้ยากต่อการวางกลยุทธ์ในอนาคต
2. ยากต่อการวิเคราะห์ Conversion Funnel
ในการตลาดดิจิทัลทั่วไป เรามักใช้ Funnel เช่น Awareness → Consideration → Conversion เพื่อติดตามเส้นทางการตัดสินใจของลูกค้า แต่เมื่อ ดาร์ค โซเชียล เข้ามาเกี่ยวข้อง เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ลูกค้าคนหนึ่งรู้จักแบรนด์จากการเห็นโพสต์โฆษณา หรือจริงๆ แล้วเพื่อนส่งลิงก์ในกลุ่มแชทมาให้ก่อน นั่นหมายความว่า Funnel ที่เห็นบนระบบ Analytics อาจไม่ใช่ “ความจริงทั้งหมด” แต่เป็นเพียง เศษเสี้ยวของเส้นทางลูกค้า
3. ไม่สามารถทำ Retargeting ได้เต็มที่
การทำ Retargeting Ads จำเป็นต้องใช้ข้อมูลพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การคลิกโฆษณา, การเข้าเว็บไซต์จากช่องทางโซเชียล แต่เมื่อการแชร์เกิดขึ้นใน พื้นที่ปิด (Private Space) เช่น DM หรือกลุ่มแชท ข้อมูลเหล่านี้ไม่ถูกส่งกลับมาที่แพลตฟอร์มโฆษณา ส่งผลให้แบรนด์ เสียโอกาสในการยิงโฆษณาซ้ำ กับคนที่มีแนวโน้มสนใจสูง และต้องพึ่งพาวิธีการที่กว้างกว่าแทน ซึ่งเปลืองงบมากขึ้น
4. เสี่ยงพลาด Insight สำคัญ
หากนักการตลาดวิเคราะห์ข้อมูลโดยไม่คำนึงถึง ดาร์ค โซเชียล อาจพลาดเข้าใจ Insight ที่แท้จริง เช่น ทำไมแคมเปญบางตัวที่ดูเหมือนจะไม่ปังในสาธารณะ แต่กลับสร้างยอดขายได้สูงมาก เหตุผลคือ มันอาจถูกแชร์กัน “อย่างเงียบๆ” ในกลุ่มปิดที่แบรนด์มองไม่เห็น การละเลยปัจจัยนี้ ทำให้แบรนด์อาจตีความผิดพลาด และเลือกลงทุนกับช่องทางที่ไม่ใช่ตัวสร้างผลลัพธ์จริงสิ่งที่ทำให้ ดาร์ค โซเชียล น่ากลัวสำหรับนักการตลาดไม่ใช่แค่มัน “มองไม่เห็น” แต่คือ “วัดไม่ได้ – วิเคราะห์ไม่ครบ – ตัดสินใจพลาด” ถ้าไม่เข้าใจพฤติกรรมเหล่านี้ แบรนด์อาจเสียโอกาสใหญ่โดยไม่รู้ตัว และอาจทุ่มงบไปผิดทาง ขณะที่ช่องทางลับเหล่านี้กำลังสร้างผลลัพธ์จริงอยู่เบื้องหลัง
วิธีการวัดผล Dark Social

1. ใช้ Short Link และ UTM Tracking
การสร้าง ลิงก์แบบสั้น (Short Link) เช่น Bitly หรือบริการย่อ URL อื่นๆ พร้อมกับการฝัง UTM Parameter ถือเป็นเทคนิคเบื้องต้นที่ยังทรงพลัง วิธีนี้ช่วยให้เห็นว่า ลิงก์ถูกแชร์จากแคมเปญไหน หรือผ่านช่องทางใด แม้จะไม่สามารถระบุได้ชัด 100% แต่ก็สามารถแยก “ทราฟฟิกจากแคมเปญ” ออกจาก “ทราฟฟิกปกติ” ได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณส่งลิงก์โปรโมชั่นผ่านอีเมล และฝัง UTM ว่า utm_source=email&utm_medium=darkshare&utm_campaign=promo2025
คุณจะรู้ว่าการคลิกที่เกิดขึ้นนั้น มาจากการแชร์ที่เริ่มจากอีเมลนั้นจริงๆ
2. สร้าง Content แบบ Shareable
เนื้อหาที่คนอยากแชร์เอง เช่น Infographic, Cheat Sheet, Checklists, Meme Marketing หรือ Short Video ที่มีคุณค่า เป็นสัญญาณอ้อมที่บอกได้ว่า ดาร์ค โซเชียล กำลังทำงานอยู่ หากคุณสังเกตว่าเนื้อหาหนึ่งมีทราฟฟิก Direct สูงผิดปกติ ทั้งที่ไม่ได้โปรโมทมากใน Public Social Media นั่นคือ ร่องรอยของการแชร์ในพื้นที่ปิด การออกแบบ Content ให้สามารถ “ถูกส่งต่อ” ได้ง่าย เช่น ทำให้ไฟล์เบา, ข้อความชัดเจน, ใช้ Call-to-Action ที่กระตุ้นการ Forward จะช่วยให้นักการตลาดมองเห็นการเคลื่อนไหวใน ดาร์ค โซเชียล ได้ชัดขึ้น
3. ใช้ Customer Survey (การสำรวจลูกค้าโดยตรง)
คำถามง่ายๆ เช่น “คุณรู้จักสินค้านี้จากที่ไหน?” หรือ “ใครเป็นคนแนะนำคุณให้มาซื้อสินค้า?” สามารถช่วยเปิดโปงแหล่งที่มาที่ Analytics ตรวจจับไม่ได้ เทคนิคที่นิยมคือ การฝัง Mini Survey ตอนลูกค้าเช็คเอาท์, สมัครสมาชิก หรือหลังการซื้อเสร็จสิ้น เพื่อเก็บข้อมูลทันทีที่ความทรงจำยังสดใหม่ ข้อดีคือ ได้ข้อมูลที่สะท้อนจริงจากผู้ใช้ แต่ข้อเสียคือต้องออกแบบแบบสอบถามให้สั้น กระชับ และไม่รบกวนประสบการณ์ลูกค้ามากเกินไป
4. ใช้ Social Listening + AI
แม้ ดาร์ค โซเชียล จะเป็น “Private Space” ที่ไม่สามารถสอดส่องโดยตรงได้ แต่ AI และ Social Listening Tools สามารถช่วยตรวจจับ Pattern ของการพูดถึงแบรนด์ในพื้นที่ที่เข้าถึงได้ เช่น Public Post, Forum, หรือ Comment ที่เชื่อมโยงกับพฤติกรรมการแชร์ส่วนตัว AI สมัยใหม่ยังสามารถวิเคราะห์ Sentiment Analysis และเชื่อมโยงกับ Conversion Data ได้ เช่น หากยอดขายเพิ่มขึ้นผิดปกติหลังมีการพูดถึงแบรนด์ใน Forum หรือ Discord Community นักการตลาดสามารถตั้งสมมติฐานได้ว่า ดาร์ค โซเชียล กำลังขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลัง
5. Incentivized Sharing (การให้แรงจูงใจในการแชร์)
การสร้างระบบที่สามารถติดตาม Referral Code, Invite Link หรือ Promotion Code เฉพาะบุคคล จะช่วยให้แบรนด์เห็นชัดว่าใครเป็นต้นทางในการแชร์ เช่น แอปพลิเคชันอย่าง Grab, Shopee หรือ TikTok มักใช้กลยุทธ์ให้ Code ส่วนลดสำหรับการชวนเพื่อน ซึ่งไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดผู้ใช้งาน แต่ยังเป็นวิธีการ Track ดาร์ค โซเชียล ที่ทรงพลังที่สุดวิธีหนึ่ง การออกแบบ Incentive ต้องสมดุล ไม่มากเกินไปจนแบรนด์ขาดทุน แต่ต้องจูงใจพอให้ผู้ใช้อยาก Forward ต่อ
6. เครื่องมือใหม่ในปี 2025: AI Analytics Platform
ในปี 2025 เริ่มมีการพัฒนา AI Analytics Platform รุ่นใหม่ ที่สามารถประเมิน Dark Social ได้อย่างแม่นยำมากขึ้น เครื่องมือเหล่านี้ใช้ Predictive Modeling + Machine Learning เพื่อคาดการณ์ว่า Direct Traffic ส่วนใด “น่าจะ” มาจากการแชร์ในช่องทางส่วนตัว นอกจากนี้ ยังสามารถ Cross-Check กับ Data อื่น เช่น Search Behavior, Referral Code, และ Social Mention เพื่อสร้างภาพรวมของ Dark Social ที่ใกล้เคียงความจริงที่สุด นักการตลาดที่ปรับใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ก่อน ย่อมได้เปรียบ เพราะสามารถ มองเห็นโอกาสที่คู่แข่งยังไม่รู้ตัวแม้ว่า Dark Social จะไม่สามารถติดตามได้ตรงๆ เหมือนการตลาดผ่านโฆษณา Facebook หรือ Google Ads แต่ก็มี เทคนิคและเครื่องมือ ที่ช่วยให้นักการตลาดดึง Insight ออกมาได้
- การใช้ Short Link + UTM ช่วยเจาะข้อมูลเชิงเทคนิค
- การสร้าง Content แบบ Shareable ทำให้เห็นร่องรอยของการแชร์
- การเก็บข้อมูลด้วย Survey และ Referral Code เปิดเผยแหล่งที่มาโดยตรง
- และการใช้ AI Analytics Platform กำลังเป็นเครื่องมือใหม่ที่จะเปลี่ยนเกม
ดังนั้น การวัดผล Dark Social ไม่ใช่สิ่งที่ “ทำไม่ได้” แต่คือการต้อง เปลี่ยนมุมมองและใช้เครื่องมือที่ถูกต้อง
กลยุทธ์การตลาดเพื่อเจาะ Dark Social

1. Referral Program แบบวงใน
การตลาดแบบบอกต่อ (Referral Marketing) เป็นเครื่องมือที่เข้ากับ Dark Social อย่างที่สุด เพราะการแชร์ในวงปิดส่วนใหญ่เกิดจาก ความไว้ใจและการแนะนำกันเอง หากแบรนด์สร้างระบบ รหัสเฉพาะบุคคล (Unique Referral Code) หรือให้ รางวัลพิเศษ เช่น ส่วนลด, คะแนนสะสม หรือของขวัญสำหรับคนที่ชวนเพื่อนมา ก็จะทำให้การแชร์เกิดขึ้นมากขึ้นในกลุ่มใกล้ชิด ยกตัวอย่างเช่น Grab, Shopee หรือ Lazada ที่ใช้ Referral Code ให้ลูกค้าแชร์ใน LINE กลุ่มเพื่อน → วิธีนี้ไม่เพียงกระตุ้นยอดผู้ใช้ แต่ยังทำให้แบรนด์สามารถ Track ได้ว่าใครเป็นผู้กระจายข้อมูลต่อ
- ทำให้รางวัลสำหรับการแชร์ “จับต้องได้และน่าสนใจ” เช่น ส่วนลดที่ใช้ได้ทันที
- ออกแบบระบบง่ายๆ ไม่ซับซ้อน เพียงแค่ Forward Link หรือกรอกรหัส
2. Exclusive Content สำหรับแชร์ในกลุ่มปิด
หนึ่งในแรงจูงใจหลักที่ทำให้คนแชร์คือ ความพิเศษ หากแบรนด์ออกแบบเนื้อหาที่ “ไม่ใช่ทุกคนจะได้เห็น” จะกระตุ้นให้เกิดการส่งต่อในวงในมากขึ้น เช่น การแจก โปรโมชั่นลับเฉพาะ LINE Group, คูปองส่วนลดที่แชร์ได้แค่ใน Telegram หรือ Discord, หรือ “Early Access” ให้กับคนที่อยู่ใน Community ปิด เมื่อผู้บริโภครู้สึกว่าตนเองได้สิทธิพิเศษจากแบรนด์ เขาจะยินดี Forward ต่อให้เพื่อนสนิทหรือคนในเครือข่ายเล็กๆ เพื่อแบ่งปันความพิเศษนั้น
- แบรนด์แฟชั่นอาจปล่อย “โค้ดลับ” ผ่าน LINE Broadcast ที่ Forward ต่อได้
- ร้านอาหารอาจแจก โปรโมชั่นเฉพาะคนในกลุ่มครอบครัวหรือเพื่อนสนิท เช่น ซื้อ 4 ฟรี 1
3. สร้าง Community ปิดของแบรนด์
การสร้าง พื้นที่ส่วนตัว สำหรับลูกค้า เช่น LINE OpenChat, Telegram Group หรือ Discord Server เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มาแรงในปี 2025 ใน Community ปิด ลูกค้าสามารถพูดคุย แลกเปลี่ยน และแนะนำสินค้ากันเอง โดยที่แบรนด์ทำหน้าที่เป็น “ผู้เอื้ออำนวย” มากกว่าผู้โฆษณา ความต่างของ Community ปิดกับ Social Media แบบเปิดคือ บรรยากาศ เป็นกันเองกว่า, เชื่อมโยงด้วยความสนใจร่วมกัน และไม่ถูกรบกวนด้วยคอนเทนต์อื่นมากนัก
- มอบสิทธิพิเศษให้สมาชิก เช่น โปรโมชั่นเฉพาะสมาชิก หรือข้อมูล Insider
- เปิดพื้นที่พูดคุยจริง ไม่ใช่แค่โพสต์ขายของ
- ใช้ Admin เป็น “เพื่อนร่วมคุย” ไม่ใช่ “พนักงานขาย”
4. พัฒนา Content ที่กระตุ้นการ Forward
เนื้อหาที่แชร์ง่ายและแชร์สนุกคือหัวใจของ Dark Social Content ตัวอย่างเช่น Meme, Infographic, Cheat Sheet, หรือ How-to สั้นๆ ที่สามารถส่งต่อได้ในกลุ่มเพื่อน โดยไม่ต้องมีคำอธิบายมาก ข้อดีของการ Forward Content คือ ไม่ดูเป็นโฆษณาโดยตรง แต่ทำงานในรูปแบบ Value-Driven Content ที่คนรู้สึกอยากแบ่งปัน
- แบรนด์สุขภาพทำ Infographic เรื่อง “5 วิธีแก้ปวดหลังจากนั่งทำงานทั้งวัน”
- แบรนด์อาหารเสริมสร้าง Short Video แบบ Meme ว่า “คุณแม่ส่งสิ่งนี้มาให้ใน LINE กลุ่มครอบครัวทุกวัน”
ทั้งสองตัวอย่างนี้มีโอกาสถูกแชร์สูงมากใน Dark Social เพราะเนื้อหาตรงกับ ประสบการณ์ในชีวิตจริง
5. ใช้ Influencer Micro-Level
การตลาดยุค 2025 ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยดาราดังหรือ KOL ระดับใหญ่เพียงอย่างเดียว แต่กำลังหันไปสู่ Micro และ Nano Influencers กลุ่มนี้คือบุคคลที่มีผู้ติดตามน้อย (1,000 – 10,000 คน) แต่มี ความน่าเชื่อถือสูง ในชุมชนย่อย เช่น กลุ่มแม่บ้าน, นักศึกษา, หรือคนในวงการเฉพาะทาง การที่ Influencer เล็กๆ แชร์ลิงก์หรือแนะนำสินค้าในกลุ่มปิด จะมีน้ำหนักมากกว่าการที่ดาราดังลงโฆษณา เพราะมันถูกมองว่าเป็น “คำแนะนำจริง” มากกว่าโฆษณา
- แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ อาจให้ Influencer เล็กๆ ที่เป็นนักวิ่ง แชร์ประสบการณ์ในกลุ่มนักวิ่งใน Facebook หรือ LINE
- แบรนด์เครื่องเขียน อาจให้ Influencer นักเรียนรีวิวสั้นๆ แล้วแชร์ในกลุ่มเพื่อนโรงเรียน
บทสรุปกลยุทธ์ Dark Social Marketing
การเจาะ Dark Social ไม่ใช่เรื่องของการใช้เงินยิงโฆษณา แต่คือ การออกแบบประสบการณ์ที่คนอยากแชร์เอง กลยุทธ์สำคัญคือ
- สร้างระบบ Referral ที่วัดผลได้
- มอบ Exclusive Content เพื่อจูงใจการแชร์
- สร้าง Community ปิด ที่ลูกค้ารู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง
- ผลิต Content ที่แชร์ง่าย และตรงกับชีวิตจริง
- ใช้ Micro-Influencers ที่ฝังตัวอยู่ในกลุ่มย่อย
เมื่อรวมทุกกลยุทธ์เข้าด้วยกัน แบรนด์จะไม่เพียงแค่ “มองเห็น” Dark Social แต่ยังสามารถ ใช้มันเป็นพลังขับเคลื่อนการตลาด ที่ทรงพลังที่สุดแห่งยุค
สรุป
บทความแนะนำ