ในยุคดิจิทัลที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์การโฆษณาแบบเดิม ๆ ที่มุ่งเน้นแค่การสร้าง “ลีด” หรือ “การได้มาซึ่งลูกค้า” เพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพออีกต่อไป โดยเฉพาะสำหรับนักการตลาดและธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ ในสถานการณ์นี้ Demand Generation กลายเป็นคำที่ถูกพูดถึงอย่างมากในวงการโฆษณาและการตลาดออนไลน์ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ Demand Gen อย่างลึกซึ้งว่าคืออะไร? แตกต่างจากแนวทางอื่นอย่างไร และทำไมมันถึงกลายเป็นกลยุทธ์สำคัญที่นักโฆษณายุคใหม่ไม่ควรมองข้าม
Demand Gen คืออะไร?

Demand Gen คืออะไร?
Demand Gen คือ กลยุทธ์และรูปแบบการโฆษณาที่มีจุดประสงค์หลักเพื่อ สร้างและกระตุ้นความต้องการสินค้าและบริการ ในกลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจยังไม่รู้จักแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์อย่างชัดเจน โดยเฉพาะในขั้นตอนแรกของกระบวนการตัดสินใจซื้อ (Top Funnel) แคมเปญโฆษณา Demand Gen Ads เปิดตัวช่วงปลายปี 2023 เป็นต้นมา Google ซึ่งได้พัฒนาต่อยอดจาก Discovery Ads โดยเน้นการใช้ AI และ Machine Learning เพื่อวิเคราะห์และค้นหากลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มสนใจจริง ๆ จากข้อมูลพฤติกรรม เช่น การค้นหา วิดีโอที่ดู หรือแอปที่ใช้ จากนั้นแสดงโฆษณาบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ ของ Google เช่น YouTube Shorts, YouTube In-stream, Google Discover และ Gmail เพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ และมีประสิทธิภาพ
Demand Gen ต่างกับ Lead Gen อย่างไร?

ความแตกต่างระหว่าง Demand Generation และ Lead Generation
เข้าใจกลยุทธ์สองมิติที่ทำงานร่วมกัน เพื่อปั้นยอดขายให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ลูกค้าเป็นฝ่ายควบคุมเส้นทางการซื้อ (Buyer’s Journey) นักการตลาดจึงต้องวางกลยุทธ์อย่างชาญฉลาด โดยเฉพาะการสร้าง “ความต้องการ” (Demand) และการ “ดึงดูดโอกาสการขาย” (Leads) ซึ่งแม้จะมีจุดเชื่อมโยงกัน แต่จริงๆ แล้วมีเป้าหมาย กลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือ และตำแหน่งใน Funnel ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงการเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Demand Generation และ Lead Generation คือหัวใจสำคัญของการสร้างแผนการตลาดที่ครบวงจร มีประสิทธิภาพ และตอบโจทย์ธุรกิจได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
1. เป้าหมายหลัก: สร้างความต้องการ vs รวบรวมโอกาสการขาย
ประเภท | เป้าหมายหลัก |
---|---|
Demand Generation | สร้างความต้องการ (Demand) และการรับรู้ (Awareness) ในกลุ่มเป้าหมายกว้างๆ ที่อาจยังไม่รู้จักแบรนด์มาก่อน |
Lead Generation | มุ่งเน้นการรวบรวมรายชื่อผู้สนใจ (Leads) ที่แสดงความต้องการซื้ออย่างชัดเจน หรือมีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า |
Demand Generation ทำหน้าที่ “จุดประกาย” ให้ตลาดเริ่มรู้สึกสนใจหรืออยากรู้เกี่ยวกับปัญหาและโซลูชันที่แบรนด์นำเสนอในขณะที่ Lead Gen คือขั้นตอนต่อมา ที่พยายาม “เปลี่ยนความสนใจให้เป็นข้อมูลติดต่อ” โดยให้ผู้สนใจลงทะเบียน ดาวน์โหลด หรือกรอกฟอร์มต่างๆ เพื่อให้ธุรกิจสามารถติดตามต่อยอดได้
2. กลุ่มเป้าหมาย: จากคนแปลกหน้า สู่ผู้สนใจ
ประเภท | กลุ่มเป้าหมาย |
---|---|
Demand Generation | คนทั่วไป, ผู้บริโภคที่ไม่รู้จักแบรนด์, กลุ่มที่ยังไม่รู้ว่ามีปัญหาหรือโซลูชันนี้อยู่ |
Lead Generation | คนที่รู้จักแบรนด์แล้ว, แสดงพฤติกรรมที่บ่งชี้ว่ามีความสนใจ, กำลังพิจารณาซื้อ |
กลยุทธ์ Demand Generation จะเน้นขยายฐานผู้รู้จักแบรนด์ โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่ยังไม่มีความรู้เกี่ยวกับแบรนด์หรือปัญหาที่สินค้าจะแก้ได้ ส่วน Lead Gen จะทำงานกับกลุ่มที่มีความคุ้นเคยกับแบรนด์แล้ว หรือแสดงพฤติกรรมที่ส่อแววว่า “พร้อมจะซื้อ” หรือ “ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อประกอบการตัดสินใจ”
3. ขั้นตอนใน Marketing Funnel: เริ่มต้น vs ใกล้ปิดการขาย
ประเภท | ขั้นตอนใน Funnel |
---|---|
Demand Generation | อยู่ที่ Top of Funnel (ToFu) – ขั้น Awareness และ Interest |
Lead Generation | อยู่ที่ Mid to Bottom Funnel (MoFu-BoFu) – ขั้น Consideration ถึง Decision |
Demand Generation ช่วยปูทางให้แบรนด์มีตัวตนในตลาดและปลูกฝังความเชื่อมโยงทางอารมณ์หรือข้อมูลในใจกลุ่มเป้าหมายLead Gen เข้ามาเสริมในช่วงที่ผู้บริโภคเริ่มมีแนวโน้มจะซื้อ โดยใช้กลยุทธ์ที่กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล เช่น การดาวน์โหลด Whitepaper, การสมัคร Webinar หรือการขอทดลองใช้งาน
4. เครื่องมือที่ใช้: ดึงดูดจากภายนอก vs เปลี่ยนผู้ชมให้เป็นรายชื่อ
ประเภท | เครื่องมือหลัก |
---|---|
Demand Generation | โฆษณา (Ads), SEO, Video Marketing, PR, Influencer, Social Media Content, Blog, Podcast |
Lead Generation | Landing Page, Lead Form, Email Marketing, Chatbot, Webinar, Free Trial, Lead Magnet เช่น eBook |
เครื่องมือของ Demand Generation จะเน้นความบันเทิง ความรู้ และคุณค่าเพื่อดึงดูดคนให้เข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ขณะที่เครื่องมือของ Lead Gen มักจะมี “การแลกเปลี่ยน” เช่น ต้องกรอกข้อมูลเพื่อเข้าถึงเนื้อหาพิเศษบางอย่าง ทำให้สามารถเก็บ Leads ได้อย่างมีคุณภาพ
5. ผลลัพธ์ที่ได้: วัดจาก Awareness หรือ Leads?
ประเภท | ผลลัพธ์ที่วัดได้ |
---|---|
Demand Generation | จำนวน Reach, Engagement, Traffic, Brand Search, การพูดถึงบนโซเชียล |
Lead Generation | จำนวน Leads, Cost per Lead (CPL), Conversion Rate, รายได้จาก Leads (ROI) |
การวัดผลของ Demand Generation มักเน้นที่ “การเข้าถึง” และ “การมีส่วนร่วม” โดยไม่ได้ต้องการข้อมูลผู้ใช้ทันทีแต่สำหรับ Lead Gen จะวัดจาก Leads ที่ได้มา คุณภาพของ Leads และอัตราการเปลี่ยน Leads เหล่านั้นให้กลายเป็นลูกค้าจริงอย่างไรก็ตามทั้งสองต้องทำงานร่วมกัน ไม่ใช่แยกขาด แม้สองแนวทางจะมีความต่าง แต่หากทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบ จะสามารถสร้างผลลัพธ์ที่ทรงพลังได้อย่างยั่งยืน:
- Demand Gen คือการหว่านเมล็ด เพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์และเริ่มสนใจ
- Lead Gen คือการเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเปลี่ยนความสนใจให้เป็นโอกาสในการขาย
ธุรกิจที่เริ่มทำ Lead Gen ทันทีโดยไม่มี Demand Generation รองรับ อาจได้ Leads ที่ไม่มีคุณภาพเพราะผู้คนยังไม่รู้จักหรือเชื่อมั่นแบรนด์พอในทางกลับกัน ธุรกิจที่ทำ Demand Generation โดยไม่มี Lead Gen กำกับ อาจเสียโอกาสในการเปลี่ยนผู้สนใจให้เป็นลูกค้า
สรุป: เปรียบเทียบDemand Generation vs Lead Generation
หัวข้อ | Demand Generation | Lead Generation |
---|---|---|
เป้าหมาย | สร้างความต้องการ | ดึงดูด Leads |
กลุ่มเป้าหมาย | คนทั่วไป / ยังไม่รู้จักแบรนด์ | ผู้ที่แสดงความสนใจแล้ว |
ขั้นใน Funnel | Top of Funnel | Mid to Bottom Funnel |
เครื่องมือหลัก | SEO, Content, Ads, Social | Landing Page, Form, Email |
วัดผล | Awareness, Engagement | Leads, CPL, Conversion |
อย่ามองว่า Demand Gen และ Lead Gen เป็นทางเลือก แต่ให้มองว่า “ทั้งสองคือเสาหลัก” ของการเติบโตในระยะยาว
เริ่มจาก การสร้างความน่าสนใจ ให้กับตลาด (Demand Generation) แล้วต่อด้วย การเปลี่ยนความสนใจนั้นให้กลายเป็นโอกาสการขาย (Lead Generation) คือสูตรสำเร็จที่แบรนด์ยุคใหม่ควรใช้ หากต้องการสร้างยอดขายอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคดิจิทัลหากคุณต้องเลือกว่าจะเริ่มจากจุดไหน คำแนะนำง่ายๆ คือ:
“เริ่มจากการสร้างคุณค่าให้ตลาดรู้จักคุณ แล้วดึงดูดพวกเขาให้เข้ามาหาคุณเอง”
การเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัล ไม่ได้เปลี่ยนแค่เครื่องมือในการทำโฆษณา แต่ยังเปลี่ยน “พฤติกรรม” และ “ความคาดหวัง” ของผู้บริโภคอย่างมีนัยสำคัญ นักโฆษณายุคใหม่จึงไม่สามารถยึดแนวทางเดิมๆ อย่างการยิงโฆษณาเพื่อปิดการขายทันทีได้อีกต่อไป Demand Generation จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในการวางกลยุทธ์โฆษณายุคใหม่ ด้วยเหตุผลหลักดังต่อไปนี้ครับ
1.ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคยุคใหม่
ผู้บริโภคสมัยนี้ไม่ได้ตัดสินใจซื้อทันทีหลังเห็นโฆษณา พวกเขามักใช้เวลาในการค้นหาข้อมูล เปรียบเทียบแบรนด์ และรับฟังความคิดเห็นจากผู้ใช้งานจริงก่อนจะตัดสินใจDemand Gen เข้ามาเติมเต็มช่วงเวลานี้ ด้วยการสร้าง “แรงจูงใจ” และ “ความอยากรู้” เกี่ยวกับแบรนด์หรือผลิตภัณฑ์ ผ่านคอนเทนต์ที่มีคุณค่า โฆษณาเชิงให้ความรู้ หรือกิจกรรมที่ปลุกความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย
เช่น:
- โฆษณาที่เน้นการให้ข้อมูลหรือวิธีแก้ปัญหา ไม่ใช่แค่ขาย
- วิดีโอแนะนำเทรนด์หรือแนวทางใหม่ๆ ที่แบรนด์เข้าไปมีบทบาท
- Content ที่สร้างแรงบันดาลใจและเชื่อมโยงกับความเชื่อของลูกค้า
เมื่อผู้บริโภคมี “ความสนใจ” และ “ความพร้อม” ในระดับหนึ่ง พวกเขาจะเข้าสู่ขั้นตอน Lead Generation ได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีคุณภาพมากขึ้น
2. เพิ่มประสิทธิภาพในการใช้จ่ายโฆษณา
หนึ่งในปัญหาของการโฆษณาแบบดั้งเดิม คือการสูญเสียงบประมาณไปกับกลุ่มที่ไม่ใช่เป้าหมายจริงแต่ Demand Generation ในยุคใหม่ ใช้เทคโนโลยี AI และ Machine Learning เพื่อ
- วิเคราะห์พฤติกรรม
- เข้าใจจุดสนใจของผู้บริโภค
- คัดเลือกกลุ่มเป้าหมายที่มีโอกาสตอบสนองจริง
ผลลัพธ์คือ การจัดการแคมเปญที่แม่นยำขึ้น ลดการสูญเสีย และเพิ่มโอกาสในการดึงดูดคนที่ “ใช่” มายังแบรนด์
ยกตัวอย่างง่ายๆ:
- แทนที่จะยิงแอดขายสินค้าราคาแพงทันที Demand Generation จะยิงแอดเนื้อหาที่สร้างความเชื่อมั่น เช่น รีวิวจากผู้ใช้จริง
- ระบบอัตโนมัติจะช่วยปรับคอนเทนต์ให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม เช่น คนเพิ่งรู้จัก vs. คนที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มาก่อน
3. รองรับหลายแพลตฟอร์ม สร้างการจดจำได้ทุกจุดสัมผัส
ในยุคที่ผู้บริโภคกระจายตัวอยู่ในหลายช่องทาง ทั้ง Facebook, TikTok, Google, YouTube, LINE, Email หรือแม้แต่ PodcastDemand Generation ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่ที่ช่องทางใดช่องทางหนึ่ง แต่สามารถรันแคมเปญแบบ Omnichannel ได้ในคราวเดียว
ข้อดีคือ:
- เพิ่มโอกาสให้แบรนด์ได้ปรากฏตัวต่อหน้าลูกค้าหลายครั้งในหลายบริบท
- ช่วยกระตุ้นการจดจำ (Brand Recall) โดยไม่ทำให้รู้สึกว่า “ขายมากเกินไป”
- กระจายความเสี่ยงทางโฆษณา หากช่องทางใดมีผลลัพธ์น้อย ยังมีช่องทางอื่นช่วยเสริม
เช่น:
- ลูกค้าอาจเห็นบทความจาก Blog ก่อน แล้วไปเจอโฆษณาใน YouTube จากนั้นจึงตัดสินใจกดเข้าไปดูเว็บไซต์
- หรือใน TikTok พวกเขาอาจดูคลิปเชิงความรู้ จากนั้นค่อยเห็น Remarketing Ads ที่เน้นให้ลงทะเบียน
Demand Gen ทำให้ “ทุกช่องทาง” ทำงานประสานกันอย่างมียุทธศาสตร์
4. เสริมความแข็งแกร่งให้กับ Funnel การตลาด
หากเปรียบ Funnel การตลาดเป็นถนนที่นำลูกค้าไปสู่การซื้อ Demand Generation คือ “ป้ายบอกทาง” และ “แรงดึงดูด” ให้ลูกค้าอยากเริ่มเดินทางโดยเฉพาะในช่วงบนของ Funnel ซึ่งมีความสำคัญมาก แต่หลายแบรนด์มักมองข้าม
สิ่งที่ Demand Gen ทำได้คือ:
- สร้างความต้องการก่อนที่ลูกค้าจะรู้ตัวว่าต้องการ
- กระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายที่ไม่เคยรู้จักแบรนด์มาก่อน เริ่มสนใจ
- ทำให้ Funnel มี “ปริมาณและคุณภาพ” ที่เพียงพอสำหรับขั้นต่อไป เช่น Lead Gen, Conversion, และ Loyalty
กล่าวคือ ถ้าไม่มี Demand Generationที่แข็งแรง แม้จะมี Lead Generation ก็ดึงดูดลูกค้าได้ไม่มาก หรือได้ Leads ที่ไม่มีคุณภาพ
สรุป:
Demand Generation คือรากฐานสำคัญของการทำโฆษณายุคใหม่ เพราะ:
- พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยน พวกเขาไม่ซื้อทันที แต่ต้องการแรงบันดาลใจและข้อมูล
- การใช้จ่ายโฆษณาต้องแม่นยำ ไม่ใช่แค่ยิงแอด แต่ต้อง “สร้างโอกาส” ให้คนอยากรู้ก่อน
- ต้องครอบคลุมหลายแพลตฟอร์ม สร้างการรับรู้และความคุ้นเคยในหลายจุด
- สนับสนุนการขายในระยะยาว ทำให้ Funnel สมบูรณ์ตั้งแต่ต้นทาง
นักโฆษณายุคใหม่ที่เข้าใจ Demand Generation จึงไม่เพียง “ยิงแอด” แต่ “วางกลยุทธ์” เพื่อสร้างความต้องการก่อนให้ลูกค้าตัดสินใจอย่างมั่นใจในภายหลัง
กลยุทธ์ Demand Gen ที่นักโฆษณาควรรู้

Demand Generation ไม่ใช่แค่การโปรโมตสินค้า แต่คือการวางกลยุทธ์เพื่อ “สร้างความต้องการ” อย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้วยการให้ความรู้ (Educate), สร้างความตระหนักรู้ (Awareness) และกระตุ้นความสนใจในสินค้าและบริการ ก่อนที่จะเปลี่ยนผู้ชมทั่วไปให้กลายเป็นลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อในระยะถัดไป
สำหรับนักโฆษณายุคใหม่ การเข้าใจ Demand Generation อย่างลึกซึ้งคือ เครื่องมือสำคัญในการวางแผนแคมเปญแบบระยะยาว ที่ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน ในส่วนนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกลยุทธ์ Demand Generation ที่ควรรู้ พร้อมเทคนิคที่ใช้ได้จริงในการนำไปปรับใช้กับแคมเปญของคุณให้ได้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้
1. สร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Pain Point และ Educate ผู้บริโภค
หนึ่งในหัวใจสำคัญของ Demand Generation คือการ สร้างคอนเทนต์ที่ให้ความรู้และช่วยเหลือลูกค้า แทนที่จะรีบขายทันที เป้าหมายคือการปลุก “ความต้องการ” ที่ยังไม่ชัดเจนให้ค่อยๆ เด่นชัดขึ้น ผ่านการสื่อสารที่อิงจากปัญหาหรือความท้าทายที่ลูกค้าเผชิญอยู่จริง
ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ได้:
- Blog / Video ที่ช่วยอธิบายว่า “ปัญหานี้เกิดขึ้นได้อย่างไร” เช่น ถ้าคุณขายเครื่องฟอกอากาศ อาจเขียนบทความว่า “คุณอาจกำลังหายใจเอา PM2.5 เข้าร่างกายโดยไม่รู้ตัว”
- Ebook หรือ Webinar ที่เจาะลึกวิธีแก้ปัญหาหรือให้ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับสินค้าและแนวทางการแก้ปัญหา เช่น การจัดสัมมนาออนไลน์เรื่อง “วิธีเลือกเครื่องกรองน้ำให้เหมาะกับบ้านของคุณ”
- Infographic / Short-form Content บนโซเชียลที่อธิบายปัญหาแบบย่อยง่าย เช่น คลิป TikTok ที่เล่าแบบสั้นๆ ว่า “คนที่นอนกรน อาจเป็นสัญญาณของภาวะหยุดหายใจขณะหลับ”
ผลลัพธ์ที่ได้:
- เพิ่ม ความเข้าใจในปัญหา
- กระตุ้น ความสนใจต่อผลิตภัณฑ์
- สร้าง ความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระยะยาวกับแบรนด์
2. ใช้โฆษณาแบบผสมผสาน (Multichannel) ครอบคลุมทุก Touchpoint
พฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้มีความหลากหลายสูง การจำกัดช่องทางโฆษณาเพียงรูปแบบเดียวไม่สามารถสร้าง Awareness ได้เพียงพอ นักโฆษณาจึงต้องวางแผนใช้ โฆษณาหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน (Omnichannel) เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้จากทุกมุมของชีวิตประจำวัน
ช่องทางที่ควรนำมาใช้ร่วมกัน:
- Google Ads (Search, Display, YouTube, Gmail Ads)
- Facebook/Instagram Ads สำหรับการเล่าเรื่องและคอนเทนต์เชิงอารมณ์
- TikTok Ads สำหรับการเจาะกลุ่มวัยรุ่นและเนื้อหาย่อยง่าย
- Google Discover Ads ที่เน้นการแสดงเนื้อหาน่าสนใจตามความสนใจของผู้ใช้
ตัวอย่างแคมเปญแบบ Multichannel:
- ลูกค้าเห็นวิดีโอ YouTube ที่ Educate ปัญหา
- แล้วได้รับอีเมล Gmail Ads ที่สรุปวิธีแก้ปัญหา
- จากนั้นมีโฆษณา Facebook Remarketing ตามไปย้ำ พร้อมโปรโมชั่น
ผลลัพธ์:
- สร้างความจดจำแบรนด์ได้ในหลายรูปแบบ
- เพิ่มโอกาสที่ลูกค้าจะพิจารณาสินค้าในจังหวะที่เหมาะสม
3. ทดสอบและปรับปรุงด้วย A/B Testing อย่างสม่ำเสมอ
อย่าเดา! นักโฆษณามืออาชีพต้องอิงจากข้อมูลเสมอ A/B Testing เป็นเครื่องมือสำคัญในการหาว่า “เวอร์ชันไหนเวิร์ก” ไม่ว่าจะเป็นข้อความโฆษณา รูปภาพปก วิดีโอ หรือแม้แต่ CTA (ปุ่มเรียกร้องให้ทำบางอย่าง)
สิ่งที่ควรทดสอบ:
- Headline แบบเน้นอารมณ์ vs. Headline แบบเน้นข้อมูล
- รูปภาพที่มีคนใช้สินค้าจริง vs. ภาพกราฟิกสินค้า
- CTA ที่ใช้คำว่า “ทดลองใช้ฟรี” vs. “เริ่มเปลี่ยนชีวิตวันนี้”
ตัวอย่างผลลัพธ์จากการทดสอบ:
- แบรนด์หนึ่งพบว่าแค่เปลี่ยนคำว่า “ทดลองใช้ฟรี 7 วัน” เป็น “ไม่พอใจ ยินดีคืนเงินใน 7 วัน” ยอดคลิกเพิ่มขึ้น 38%
- การใช้วิดีโอที่มีคนเล่าเรื่องจริง ได้ CTR สูงกว่าคอนเทนต์แบบกราฟิกถึง 52%
แนวคิดที่ควรยึดถือ:
- อย่าใช้ความชอบส่วนตัวตัดสินโฆษณา ให้ใช้ “พฤติกรรมของลูกค้า” และ “ผลลัพธ์จากการทดสอบ” เป็นเครื่องวัด
4. ใช้ Lookalike Audience และการประมูลแบบ Smart Bidding
เมื่อเริ่มมีฐานลูกค้าหรือผู้เข้าชมเว็บไซต์บ้างแล้ว กลยุทธ์ที่สำคัญถัดไปคือการขยายผลผ่านกลุ่มเป้าหมายที่ “มีลักษณะใกล้เคียงกับคนที่มีแนวโน้มซื้อแล้ว” หรือที่เรียกว่า Lookalike Audience
กลยุทธ์ที่ใช้ร่วมกันได้อย่างทรงพลัง:
- สร้าง Lookalike จากผู้ที่เคยกรอกฟอร์ม / ซื้อ / ดูวิดีโอจนจบ
- ใช้ Smart Bidding เพื่อให้ระบบ AI ของแพลตฟอร์มช่วยเสนอราคา (bid) แบบที่มีแนวโน้มจะได้ Conversion จริง
ตัวอย่าง:
- หากคุณมีรายชื่อผู้สมัครใช้บริการ 5,000 คนบน Facebook สามารถสร้าง Lookalike Audience 1% – 3% เพื่อหาคนที่มีพฤติกรรมใกล้เคียง
- จากนั้นใช้ Smart Bidding บน Google Ads เพื่อให้ระบบช่วยเสนอราคาสูงขึ้นเมื่อเจอ “คนที่มีแนวโน้มคลิกและซื้อ”
ผลลัพธ์:
- เพิ่ม Conversion โดยใช้ข้อมูลลูกค้าเดิมให้เกิดประโยชน์สูงสุด
- ประหยัดต้นทุนจากการเสนอราคาแบบอัตโนมัติที่แม่นยำกว่าเดิม
5. ดูแลการวิเคราะห์ข้อมูลอย่างใกล้ชิด (Data-Driven Optimization)
Demand Gen ที่ทรงพลังไม่สามารถเกิดขึ้นได้หากไม่มีการ เก็บ วิเคราะห์ และใช้ข้อมูลอย่างเป็นระบบ ข้อมูลจะช่วยบอกคุณว่ากลยุทธ์ไหนควรเดินหน้าต่อ และกลยุทธ์ไหนควรหยุดตั้งแต่เนิ่นๆ
ประเภทข้อมูลที่ควรติดตาม:
- พฤติกรรมผู้ใช้บนเว็บไซต์: ผ่าน Google Analytics เช่น หน้าไหนถูกดูนานที่สุด หน้าไหนคนกดออก
- คอนเวอร์ชันในแต่ละแพลตฟอร์ม: อัตราการคลิก, ราคาต่อ 1 Conversion (CPA), อัตราการมีส่วนร่วม
- ข้อมูลจากแบบฟอร์ม / CRM: ลูกค้ามี Pain Point แบบไหน ถามอะไรเข้ามาบ่อย
เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์ได้ดี:
- Google Analytics (GA4)
- Google Tag Manager
- Meta Pixel และ Conversion API
- Looker Studio (Google Data Studio) สำหรับสร้าง Dashboard
ผลลัพธ์:
- แคมเปญที่ดีขึ้นเรื่อยๆ เพราะปรับตามข้อมูลจริง
- เพิ่ม ROI เพราะใช้เงินกับสิ่งที่ได้ผลจริง
สรุป
Demand Generation ไม่ใช่แค่การยิงโฆษณาให้คนเห็นเยอะที่สุด แต่คือการ ออกแบบประสบการณ์ที่ทำให้ลูกค้าอยากรู้ อยากเข้าใจ และค่อยๆ อยากซื้อ ผ่านกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงความรู้ ความสนใจ และข้อมูลอย่างชาญฉลาด
นักโฆษณายุคใหม่ที่เข้าใจ Demand Gen จะสามารถสร้างแบรนด์ที่ผู้คนไม่เพียงแค่ “รู้จัก” แต่ “อยากรู้จักมากขึ้นเรื่อยๆ” ได้อย่างยั่งยืน
บทความแนะนำ