เมื่อโลกของ Digital Marketing แข่งขันกันอย่างเข้มข้นขึ้นทุกวัน การเข้าถึง “คนที่ใช่” จึงกลายเป็นหัวใจสำคัญของทุกแคมเปญโฆษณา แต่การหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ที่มีแนวโน้มว่าจะให้ความสนใจแบรนด์ของคุณจริง ๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย การลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ อาจทำให้คุณเสียเวลาและงบประมาณจำนวนไม่น้อยโดยใช่เหตุ นั่นคือเหตุผลที่ Lookalike Audience หรือ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม กลายมาเป็นเครื่องมือลับที่นักการตลาดมืออาชีพเลือกใช้
เพราะอะไร? เพราะมันช่วยให้คุณ “ขยายฐานลูกค้าได้อย่างแม่นยำ” โดยอิงจากพฤติกรรมและลักษณะของลูกค้าที่คุณมีอยู่แล้ว
ในบทความนี้ Talka จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม คืออะไร ทำไมถึงสำคัญ และวิธีสร้างกลุ่มเป้าหมายแบบนี้ ให้ธุรกิจคุณเติบโตแบบจับต้องได้ พร้อมเทคนิคและตัวอย่างการใช้งานจริงที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ทันทีครับ
Lookalike Audience คืออะไร?

Lookalike Audience คือ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าปัจจุบันของคุณ โดยระบบโฆษณาอย่าง Facebook Ads, Google Ads, TikTok Ads หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ จะใช้ข้อมูลจากกลุ่มลูกค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น รายชื่อลูกค้าเดิม คนที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ หรือผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ เพื่อค้นหาผู้ใช้งานคนอื่นๆ ที่ “มีพฤติกรรมคล้ายกัน” และ มีแนวโน้มจะกลายเป็นลูกค้าในอนาคต หรือพูดง่าย ๆ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ก็คือการขยายกลุ่มเป้าหมายโดยอิงจาก “ความเหมือนในเชิงพฤติกรรมและคุณลักษณะ” กับคนที่เคยแสดงความสนใจในแบรนด์ของคุณนั่นเองครับ
ทำไม Lookalike Audience ถึงสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ?

ทำไม Lookalike Audience ถึงสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจ?
1. เพิ่มประสิทธิภาพการยิงโฆษณาแบบตรงจุด
เมื่อคุณใช้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ในการยิงโฆษณา ระบบจะนำข้อมูลจากลูกค้าจริงของคุณ เช่น พฤติกรรมการซื้อ การคลิก การมีส่วนร่วม และข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographics) ไปสร้างกลุ่มเป้าหมายที่ “คล้ายคลึง” กัน ซึ่งหมายความว่า:
- กลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสจะสนใจแบรนด์ของคุณมากกว่าคนทั่วไป
- พวกเขาอาจมีไลฟ์สไตล์ ความชอบ หรือพฤติกรรมที่ตรงกับกลุ่มลูกค้าเดิม
- โฆษณาจะสามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้ง่ายขึ้น
ผลลัพธ์คือ:
- อัตราการคลิก (CTR) สูงขึ้น
- ค่าโฆษณาต่อคลิก (CPC) ต่ำลง
- Conversion Rate หรืออัตราการเปลี่ยนจากผู้ชมเป็นลูกค้าจริงสูงขึ้น
ยิ่งคุณยิงโฆษณาไปยังกลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อจริงเท่าไร คุณก็จะใช้เงินอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเท่านั้น เพราะทุกบาทที่ลงทุน จะมีโอกาสสร้างยอดขายได้จริง
2. ขยายฐานลูกค้าได้อย่างแม่นยำ โดยไม่ต้องเสี่ยงทดลองสุ่ม
หนึ่งในความท้าทายของธุรกิจคือ “จะหาลูกค้าใหม่จากที่ไหน?” การพยายามเข้าสู่ตลาดใหม่ หรือกลุ่มเป้าหมายใหม่ โดยไม่รู้จักพวกเขาเลย อาจทำให้คุณเสียเงินโฆษณาไปโดยเปล่าประโยชน์ แต่ด้วยการใช้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม นั้นไม่ใช่แค่การยิงแอดแบบหว่าน แต่คือการใช้ “ข้อมูลที่แม่นยำ” เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายไปยังคนที่ “มีแนวโน้มซื้อสูงมาก” โดยอ้างอิงจากพฤติกรรมลูกค้าจริง ซึ่งประโยชน์ของมัน คือ
- คุณไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์
- ระบบจะเลือกกลุ่มคนที่ใกล้เคียงกับฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้ว เช่น ลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า หรือคนที่มี Engagement สูงกับแบรนด์
- นั่นหมายความว่า คุณสามารถ “จำลองความสำเร็จ” ที่มีอยู่ ไปสู่กลุ่มใหม่ได้ทันที
ข้อดีคือ:
- ไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายใหม่มากนัก
- ลดโอกาส “ลองผิดลองถูก”
- สามารถเปิดตลาดใหม่ในระดับภูมิภาค หรือประเทศอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น เพียงแค่มีข้อมูลลูกค้าเดิมในมือ
กลยุทธ์นี้จึงเหมาะอย่างยิ่งกับธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้า โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือเสี่ยงกับกลุ่มที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน เพราะเมื่อคุณมีฐานลูกค้าที่ดีอยู่แล้ว เช่น 1,000 คนที่เคยซื้อซ้ำ คุณสามารถให้ Facebook หรือแพลตฟอร์มโฆษณาช่วยหา “กลุ่มที่คล้ายกัน” อีก 100,000 คน ได้ภายในไม่กี่คลิก ไม่ต้องเสียเวลาทดลองหลายกลุ่มเป้าหมายเอง และยิ่งคุณสเกลไปยัง Lookalike หลายระดับ (1%, 3%, 5%) ได้ ก็ยิ่งเร่งยอดขายได้ไว
3. ลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost) ได้อย่างชัดเจน
- เน้นยิงโฆษณาเฉพาะกลุ่มที่มีแนวโน้มซื้ออยู่แล้ว
- ลดระยะเวลาที่ลูกค้าต้องใช้ในการตัดสินใจ
- สร้างโอกาสให้ลูกค้าตอบสนองต่อแคมเปญทันที เช่น กรอกแบบฟอร์ม สั่งซื้อ หรือสมัครรับข่าวสาร
ยิ่งคุณสามารถ “แม่นยำ” ในการเลือกกลุ่มเป้าหมายได้เท่าไร CAC ก็จะต่ำลง และ LTV (Customer Lifetime Value) หรือมูลค่าตลอดชีพของลูกค้าก็จะสูงขึ้นตามไปด้วย เพราะลูกค้าที่เข้ามา มักจะมีความสนใจจริงๆ และมีโอกาสซื้อซ้ำได้ในอนาคตลองเปรียบเทียบง่ายๆ:
- หากคุณใช้เงิน 1,000 บาท เพื่อให้ได้ลูกค้า 1 คน = CAC สูง
- แต่ถ้าคุณใช้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม แล้วได้ลูกค้า 5 คนจากงบเดียวกัน = CAC ต่ำลงมาก
นี่คือประสิทธิภาพที่แท้จริงของ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ในการ “เพิ่มกำไร” โดยไม่ต้องเพิ่มงบการตลาดครับผม
- ขยายฐานลูกค้าได้โดยไม่ต้องเริ่มใหม่จากศูนย์
- ใช้เงินโฆษณาได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่
- สร้างยอดขายจากกลุ่มคนที่มีแนวโน้ม “กลายเป็นลูกค้า” ได้จริง
หากธุรกิจของคุณมีฐานข้อมูลลูกค้าเดิมอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอีเมล เบอร์โทร หรือพฤติกรรมการใช้งานบนเว็บไซต์/แอป การเริ่มต้นใช้กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม วันนี้คือหนึ่งในกลยุทธ์ที่คุ้มค่า และได้ผลลัพธ์เร็วที่สุดในโลกของการตลาดดิจิทัล ไม่ใช่แค่เพราะเป็นฟีเจอร์ของแพลตฟอร์มโฆษณา แต่เพราะมันสามารถตอบโจทย์แนวคิดการตลาดแบบ Performance Marketing ได้อย่างลึกซึ้งอย่างแท้จริงครับ
ข้อดี | รายละเอียด |
แม่นยำสูง | ระบบ AI วิเคราะห์แบบเจาะลึก |
ลดต้นทุน | ยิงโฆษณาได้ตรงเป้า ไม่ต้องทดสอบตลาดแบบกว้าง |
ขยายฐานลูกค้าได้ไว | ไม่ต้องเริ่มจาก 0 ใช้ข้อมูลลูกค้าเดิมต่อยอดได้เลย |
เข้าใจลูกค้าใหม่ | เห็นพฤติกรรมของลูกค้าใหม่ที่ใกล้เคียงกับเดิม |
ปรับเปลี่ยนได้เสมอ | สามารถอัปเดต Source Audience เพื่อให้ระบบสร้าง Lookalike แบบใหม่ได้ตลอดเวลา |
ทุกวันนี้ธุรกิจระดับโลกอย่าง Amazon, Shopee, หรือแบรนด์ DTC (Direct to Consumer) ต่างใช้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม เป็นแกนกลางของ Performance Ads เพราะเมื่อแบรนด์ต้องการ “โตไว” แต่ “งบไม่จำกัด” ความแม่นยำในการขยายฐานลูกค้าคือหัวใจ ธุรกิจที่ไม่ใช้ Lookalike อาจต้องเจอกับอัตรา Burn Rate โฆษณาที่สูงกว่า และ ROI ต่ำกว่า นอกจากนี้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิมไม่ได้ใช้ได้แค่บนสุดของ Funnel (Awareness) เท่านั้น แต่ยังสามารถนำมาใช้ในแต่ละขั้นตอน เช่น:
- Top Funnel : Lookalike จากคนที่ Engage เพจ เพื่อเพิ่มการเข้าถึง
- Middle Funnel : Lookalike จากคนที่ Add to Cart เพื่อดึงดูดลูกค้าที่ “ใกล้พร้อมซื้อ”
- Bottom Funnel : Lookalike จากคนที่ซื้อซ้ำ เพื่อกระตุ้นคนที่มีแนวโน้มกลายเป็นลูกค้าแท้จริง
ผลลัพธ์คือ: ทุกบาทที่ยิงโฆษณา จะมีโอกาสคืนทุนมากขึ้นในทุกเฟสของการตลาด
การทำงานของ Lookalike Audience

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม คือ กลุ่มเป้าหมายที่ถูกสร้างขึ้นโดยอิงจาก “ลูกค้าตัวอย่าง (Source Audience)” ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ จะใช้เทคโนโลยี Machine Learning ในการค้นหาผู้ใช้งานที่มีความ “คล้าย” กับกลุ่มต้นแบบมากที่สุด ทั้งในด้านพฤติกรรม ความสนใจ ข้อมูลประชากร และกิจกรรมออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งการทำงานของ Lookalike สามารถอธิบายเป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ เพื่อให้คุณเข้าใจกลไกเบื้องหลังอย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการทำงานในระบบของแพลตฟอร์มโฆษณาอย่าง Facebook (Meta), Google, TikTok หรือแพลตฟอร์มโฆษณาอื่น ๆ ครับผม
1. เตรียม Source Audience (กลุ่มต้นแบบ)
คุณต้องมีข้อมูลผู้ใช้งานที่มีคุณภาพ ซึ่งอาจได้มาจาก:
- รายชื่อลูกค้า (Customer List): เช่น อีเมล เบอร์โทรจาก CRM
- ผู้เข้าเว็บไซต์ (Website Visitors): ผ่าน Facebook Pixel หรือ Google Tag
- ผู้ที่เคยมี Engagement กับเพจ, แอป, หรือวิดีโอ
- กลุ่มผู้ซื้อ (Purchasers), ผู้ลงทะเบียน, หรือ Lead ที่มาจากแคมเปญก่อนหน้า
ยิ่งกลุ่มตัวอย่างแม่นยำ ก็จะยิ่งได้ Lookalike ที่มีคุณภาพ
2. อัปโหลดและแมตช์ข้อมูล (Matching Phase)
เมื่ออัปโหลด Source Audience ไปยังแพลตฟอร์ม เช่น Facebook:
- ระบบจะพยายาม “จับคู่” ข้อมูลกับผู้ใช้จริง เช่น จับคู่เบอร์โทรกับบัญชี Facebook
- ยิ่งข้อมูลมาก (1000 คนขึ้นไป) และตรงแม่นยำ การ Matching ก็ยิ่งดี
- ข้อมูลจะถูกเข้ารหัส (Hashed) เพื่อความปลอดภัย
3. เริ่มต้น วิเคราะห์โปรไฟล์
ระบบจะใช้ AI/ML (Machine Learning) วิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของกลุ่มต้นแบบ เช่น:
- เพศ อายุ อุปกรณ์ที่ใช้
- พฤติกรรมการคลิก/ชมคอนเทนต์
- ความสนใจ เช่น เทคโนโลยี ท่องเที่ยว อาหาร ฯลฯ
- สถานที่ การใช้จ่าย ความถี่ในการเข้าแอป ฯลฯ
เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมผู้ใช้นี้คือหัวใจของ Lookalike Audience
4. สร้างกลุ่มเป้าหมายใหม่ (Target Group Generation)
หลังวิเคราะห์แล้ว ระบบจะค้นหาผู้ใช้งานที่ “มีลักษณะใกล้เคียง” กับกลุ่มต้นแบบ
- คุณสามารถกำหนด “ขนาด” Lookalike ได้ เช่น 1%–10% ของประชากรทั้งหมดในประเทศ
- 1% คือกลุ่มที่คล้ายมากที่สุด (คุณภาพสูงแต่กลุ่มเล็ก)
- 10% คือกลุ่มที่คล้ายแบบกว้าง (ขนาดใหญ่แต่ความคล้ายลดลง)
5. การเรียนรู้แบบต่อเนื่อง (Continuous Learning)
เมื่อคุณรันแคมเปญโฆษณาไปเรื่อย ๆ:
- ระบบจะเรียนรู้ว่า “ใครคลิก ใครซื้อ ใครมี Engagement”
- นำข้อมูลเหล่านี้มาปรับปรุง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ให้แม่นขึ้น (อัตโนมัติ)
- บางแพลตฟอร์มเรียกว่า Dynamic Lookalike Update
6. การนำไปใช้งานในแคมเปญ (Campaign Integration)
กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม จะถูกนำไปใช้ในขั้นตอนการตั้งค่าแคมเปญ โดยเฉพาะ:
- Objective แบบ Conversion / Leads / App Install
- ใช้คู่กับ Exclusion Audience เพื่อไม่ยิงซ้ำคนที่ซื้อไปแล้ว
- ใช้เทคนิค A/B Testing ทดสอบหลายขนาดของ Lookalike
ตัวอย่างการทำงาน
สมมุติคุณมีเว็บไซต์ขายรองเท้าออนไลน์:
- คุณติด Facebook Pixel บนเว็บ
- สร้าง Custom Audience จากคนที่ซื้อรองเท้าใน 30 วันล่าสุด
- ใช้กลุ่มนี้เป็น Source Audience เพื่อสร้าง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม 1%
- ยิงแคมเปญไปยัง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ
- ระบบจะหาคนที่คล้าย “ผู้ซื้อเดิม” มากที่สุดในประเทศนั้น และจะทำการแสดงโฆษณาให้
ความแตกต่างระหว่าง Custom Audience vs Lookalike Audience
ประเภท | Custom Audience | Lookalike Audience |
---|---|---|
แหล่งข้อมูล | ข้อมูลตรงจากคุณ เช่น รายชื่อ / พิกเซล | ระบบสร้างจาก Custom Audience |
ขนาด | จำกัดตามข้อมูลที่คุณมี | ขยายได้กว้างถึงหลักล้าน |
ความแม่น | แม่นยำเฉพาะจุด | คล้ายตามอัลกอริทึม |
การใช้งาน | ยิงซ้ำ / Retarget | ขยายฐานลูกค้าใหม่ |
วิธีสร้าง Lookalike Audience บนแพลตฟอร์มยอดนิยม

1. Facebook Ads (Meta Ads)
ขั้นตอนการสร้าง Lookalike Audience บน Facebook
- เข้าสู่ระบบ Ads Managerไปที่ Facebook Ads Manager โดยใช้บัญชีที่เชื่อมกับ Business Manager
- เลือกเมนู “Audiences” (กลุ่มเป้าหมาย)เมนูนี้อยู่ใน Business Tools (ไอคอนจุด 9 จุด)
- คลิกปุ่ม “Create Audience” > “Lookalike Audience”จะมีตัวเลือกให้คุณเลือกแหล่งข้อมูล (Source Audience)
- เลือกแหล่งข้อมูลต้นทาง (Source Audience) เช่น:
- รายชื่อลูกค้า (Customer List): ไฟล์ CSV ที่มีอีเมล/เบอร์โทร
- ผู้เข้าชมเว็บไซต์ (Website Visitors): หากติดตั้ง Facebook Pixel แล้ว
- ผู้มีส่วนร่วมกับเพจ (Engaged Users): เช่น คนที่เคยคอมเมนต์ ไลก์ หรือแชร์
- ผู้ดูวิดีโอหรือเล่นเกมในแอปของคุณ
- ลูกค้าที่ซื้อสินค้าหรือกรอกแบบฟอร์ม
เคล็ดลับ: ใช้กลุ่มลูกค้าที่ “มีมูลค่า” สูง เช่น Top Spenders เพื่อให้ระบบเรียนรู้จากลูกค้าที่ดีที่สุด
- เลือกประเทศเป้าหมายFacebook จะค้นหาผู้ใช้งานในประเทศนั้น ๆ ที่คล้ายกับกลุ่มต้นแบบของคุณ(ระบบจะไม่รวมผู้ใช้จากประเทศอื่น)
- เลือก “ขนาดของ Lookalike” ตามเปอร์เซ็นต์ (1%–10%)
- 1%: กลุ่มที่มีลักษณะใกล้เคียงที่สุดกับกลุ่มต้นทาง (แม่นยำสูง)
- 2%–5%: ขยายกลุ่มให้ใหญ่ขึ้น แต่ความคล้ายจะลดลงเล็กน้อย
- 6%–10%: ใช้กรณีต้องการ “Reach” ที่กว้างมาก เช่น Awareness Campaign
- คลิก “Create Audience”รอให้ระบบสร้างกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งอาจใช้เวลาหลายสิบนาที
- นำกลุ่ม Lookalike ไปใช้ในการตั้งค่าแคมเปญโฆษณาในขั้นตอน Ad Set ให้เลือก กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ที่สร้างไว้
2. Google Ads
ขั้นตอนการใช้งาน Lookalike ผ่าน Similar Audiences (หรือ Re-marketing with Signals)
- เข้าสู่ Google Adsไปที่ Google Ads Dashboard แล้วเลือกบัญชีที่ต้องการใช้งาน
- ไปที่เมนู “Tools & Settings” > Shared Library > Audience Manager
- คลิก “+ Segment” แล้วเลือก “Customer List”
- อัปโหลดไฟล์ CSV ที่มีข้อมูลลูกค้า เช่น อีเมล เบอร์โทร ชื่อ-นามสกุล
- ตรวจสอบว่าไฟล์ได้เข้ารหัสตามรูปแบบของ Google (SHA-256)
- ตั้งชื่อกลุ่มให้ง่ายต่อการค้นหา เช่น “ลูกค้าซื้อซ้ำ – เม.ย.2025”
- เมื่อระบบประมวลผลข้อมูลเสร็จ จะสร้างกลุ่ม Lookalike อัตโนมัติ
- Google เรียกว่า Similar Audiences
- ระบบจะค้นหาผู้ใช้ที่มีพฤติกรรมคล้ายกับกลุ่ม Customer List ที่อัปโหลด
- นำกลุ่ม Similar Audiences ไปใช้ในแคมเปญต่าง ๆ ได้ทันที เช่น:
- Google Display Network (GDN): แสดงโฆษณาแบนเนอร์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ
- YouTube Ads: วิดีโอแนะนำก่อนคลิป
- Google Search Ads: ปรับ Bid สำหรับผู้ค้นหาที่คล้ายลูกค้าเดิม
หมายเหตุ: ตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา Google ได้ทยอย “ยกเลิก” Similar Audiences แบบเดิม และแทนที่ด้วย “Optimized Targeting” และ “Audience Signals” บน Performance Max
3. TikTok Ads
วิธีสร้าง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม บน TikTok Ads Manager
- เข้าสู่ระบบ TikTok Ads Managerล็อกอินที่ https://ads.tiktok.com
- ไปที่เมนู “Assets” > “Audiences”ใช้สำหรับจัดการกลุ่มเป้าหมายทั้งหมด
- คลิกปุ่ม “Create Audience” แล้วเลือก “Custom Audience” ก่อนคุณต้องมีกลุ่มต้นทางก่อนจึงจะสร้าง Lookalike ได้
- สร้าง Custom Audience โดยเลือกประเภท เช่น:
- ผู้ดูวิดีโอจนจบ (Video Views)
- คนที่มี Engagement เช่น คลิก, คอมเมนต์ หรือไลก์
- รายชื่อผู้ใช้จากไฟล์ข้อมูลลูกค้า (Upload CSV)
- ผู้เข้าชมเว็บไซต์ (หากติด TikTok Pixel แล้ว)
- เมื่อระบบประมวลผลเสร็จ ให้เลือก “Create Lookalike Audience”
- เลือกแหล่งข้อมูล (Source Audience)เลือกจาก Custom Audience ที่สร้างไว้
- เลือกประเทศและขนาดของกลุ่ม Lookalike
- TikTok ให้เลือกความใกล้เคียงแบบ:
- Narrow (แม่นยำสูง)
- Balanced (สมดุลระหว่างคุณภาพกับปริมาณ)
- Broad (กลุ่มใหญ่สุด)
- TikTok ให้เลือกความใกล้เคียงแบบ:
- ระบบจะประมวลผลและสร้างกลุ่ม Lookalikeจากนั้นคุณสามารถนำไปใช้ในแคมเปญ TikTok Ads ได้ทันที
เคล็ดลับสำหรับ TikTok: การใช้ Lookalike จากกลุ่ม “Engaged Users” หรือ “คนดูวิดีโอ 100%” มักให้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะสะท้อนความสนใจจริง
สรุปความแตกต่างของแต่ละแพลตฟอร์ม
แพลตฟอร์ม | วิธีการสร้าง | ชื่อเรียก | จุดเด่น |
---|---|---|---|
Facebook (Meta) | กำหนด Source และสร้าง Lookalike | Lookalike Audience | เลือก % ได้ละเอียด, ใช้กับหลายแคมเปญ |
Google Ads | Upload Customer List แล้วระบบสร้างให้ | Similar Audiences (หรือ Audience Signal ใหม่) | ใช้กับ GDN, YouTube, Search |
TikTok Ads | สร้าง Custom Audience ก่อน แล้ว Lookalike | Lookalike Audience | เลือก Narrow, Balanced, Broad |
5 เทคนิค ทำ Lookalike Audience ให้แม่นยำ

เทคนิคทำ Lookalike Audience ให้แม่นยำแบบมือโปร
การสร้าง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ไม่ใช่แค่การกดปุ่ม “สร้างกลุ่มเป้าหมาย” แล้วหวังผล แต่ต้องอาศัยการวางกลยุทธ์ วิเคราะห์ Source Audience และปรับแต่งหลายด้านอย่างรอบคอบ เพื่อให้ได้กลุ่มเป้าหมายที่ มีแนวโน้มจะซื้อจริง มากที่สุด ต่อไปนี้คือเทคนิคสำคัญที่คุณควรรู้ หากต้องการให้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิมของคุณแม่นยำกว่าเดิมหลายเท่า
1. เลือก Source Audience ที่ “มีคุณภาพ” มากกว่าปริมาณ
เพราะ Lookalike คือ ภาพสะท้อนของข้อมูลต้นทาง หากต้นทางดี ระบบก็จะเรียนรู้ได้แม่น
ไม่ใช่ทุกกลุ่ม Custom Audience จะเหมาะเป็นต้นแบบในการสร้าง Lookalike ดังนั้นควรเลือกกลุ่มที่ “สะท้อนพฤติกรรมผู้บริโภคที่คุณต้องการ” มากที่สุด เช่น:
กลุ่มที่แนะนำให้ใช้เป็น Source Audience:
- ลูกค้าที่เคยซื้อซ้ำ (Repeat Customers)บ่งชี้ว่าเป็นคนที่พอใจในสินค้าและมีโอกาสกลับมาซื้ออีก
- ลูกค้าที่มียอดใช้จ่ายสูง (High Lifetime Value)เช่น คนที่เคยซื้อรวมกันเกิน 5,000 บาทขึ้นไป หรือซื้อบ่อยภายในช่วงเวลา 3 เดือน
- คนที่ทำ Conversion แล้วเช่น สมัครสมาชิก, ลงทะเบียน, สั่งซื้อ, Add to Cart, กรอก Lead Form
- คนที่จบ Funnel การขายเช่น ผู้ที่เคยดูวิดีโอ 100% แล้วกดลิงก์, อ่านบทความทั้งหน้าแล้วซื้อ
หลีกเลี่ยงการใช้ “แค่คนที่เข้าชมเว็บ” หรือ “กดไลก์เพจ” เป็นต้นแบบ เพราะคุณภาพจะกระจายเกินไป
2. ใช้จำนวนข้อมูลที่ “มากพอ” เพื่อให้ระบบวิเคราะห์ได้ลึก
แม้แพลตฟอร์มจะระบุว่าคุณสามารถสร้าง Lookalike Audience ได้จากแค่ 100 คนขึ้นไป แต่ในความเป็นจริงแล้ว:
- ปริมาณข้อมูลที่เหมาะสมที่สุดคือ 1,000–10,000 คนเพราะระบบ Machine Learning ต้องการข้อมูลมากพอ เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมร่วม เช่น ช่วงอายุ, พฤติกรรมการซื้อ, ความสนใจร่วมกัน
- หากน้อยกว่า 100 คน ระบบอาจสร้าง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ที่มีคุณภาพต่ำหรือไม่ทำงานเลย
- ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลก่อนอัปโหลดเช่น อีเมลต้องเป็นอีเมลจริง ไม่ใช่อีเมลปลอม, ไม่มีค่าว่าง, เข้ารหัส SHA-256 ถูกต้อง (สำหรับ Google Ads)
ยิ่งข้อมูลตรงและแม่น ระบบก็ยิ่ง “จับแพตเทิร์น” ได้ดีขึ้น และขยายกลุ่มได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย
3. เริ่มต้นจาก Lookalike ขนาดเล็ก (1%) เพื่อความแม่นยำสูงสุด
การเลือก ขนาดของ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดว่าโฆษณาคุณจะแม่นยำหรือแค่ยิงกว้างไปโดยไม่เกิดผล
ขนาดของ Lookalike ที่แนะนำ:
- 1%: เป็นกลุ่มที่ “คล้ายที่สุด” กับต้นทาง (ประมาณ 300,000–600,000 คนในไทย)
- เหมาะกับแคมเปญที่เน้น Conversion หรือ Lead ที่ต้องการแม่นยำสูง
- 2%–3%: ขยายกลุ่มเล็กน้อยเพื่อเพิ่ม Reach โดยยังไม่เสียความแม่นยำมากนัก
- 4%–10%: สำหรับ Awareness หรือ Video Views เพื่อกระจายให้กว้าง (แต่ Conversion Rate จะลดลง)
กลยุทธ์แนะนำ: เริ่มต้นจาก 1% แล้วค่อยเพิ่มขนาดทีละขั้น หากเห็นว่าผลลัพธ์ดี ค่อยขยายไป 2%, 3% และทำ A/B Testing
4. ทดสอบหลายกลุ่มต้นทาง เพื่อหา “Lookalike ที่มี Performance ดีที่สุด”
การทดสอบหลายชุด Lookalike จะช่วยให้คุณค้นพบว่า “พฤติกรรมแบบไหน” ทำให้เกิด Conversion จริง
ตัวอย่างกลุ่ม Source Audience ที่ควรทดสอบ:
- กลุ่มคนที่กดไลก์เพจใน 30 วันเหมาะกับแคมเปญ Engagement หรือ Awareness
- กลุ่มคนที่ดูวิดีโอจนจบ (100%)บ่งชี้ว่าคนกลุ่มนี้สนใจสินค้าของคุณจริง
- กลุ่มลูกค้าที่ซื้อสินค้าราคาเกิน 1,000 บาทเหมาะสำหรับแบรนด์ที่ต้องการ Target คนที่มีความสามารถในการจ่าย
- กลุ่มลูกค้าใหม่ในช่วง 30 วันล่าสุดเพื่อหา Lookalike ที่อัพเดตและตรงกับแนวโน้มปัจจุบัน
สร้างหลายชุด Lookalike แล้วรันแคมเปญแยกแต่ละชุด พร้อมเช็คผลลัพธ์ (CTR, CPM, CPA) เพื่อวัดว่า Lookalike ใดเวิร์กสุด
5. ใช้ Lookalike ร่วมกับ Retargeting เพื่อเพิ่ม Conversion
Lookalike ช่วยหาคนใหม่ แต่ Retargeting ช่วย “ปิดการขาย” กับคนที่สนใจแล้ว
กลยุทธ์ผสาน Lookalike + Retargeting:
- ยิงโฆษณาไปยัง กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม ที่แม่นยำ (1% หรือ 2%)
- ดึงคนที่คลิกโฆษณาหรือดู Landing Page กลับเข้ามาอีกครั้ง ด้วย Retargeting
- ใช้คอนเทนต์ที่ต่างกันในการยิงซ้ำ เช่น รีวิวจากลูกค้า, โปรพิเศษ, Call to Action แรงกว่าเดิม
- วัด Conversion Funnel เช่น คนที่คลิก > เข้าหน้าเว็บ > กรอกฟอร์ม > ซื้อจริง
ผลลัพธ์: จากการรวม Lookalike + Retargeting มักจะเพิ่ม ROAS ได้สูงกว่าแคมเปญที่ยิงครั้งเดียวจบ
เคล็ดลับเพิ่มเติม
- อัปเดต Source Audience เป็นประจำ ทุก 2–4 สัปดาห์ เพื่อให้ระบบเรียนรู้จากข้อมูลใหม่ ๆ
- ใช้ A/B Testing เพื่อทดสอบ Lookalike แต่ละชุด โดยไม่รวมกันไว้ในกลุ่มเดียว
- Exclude ผู้ซื้อเดิม ออกจากแคมเปญ Lookalike เพื่อไม่ให้ยิงซ้ำสิ้นเปลืองงบ
- ใช้ร่วมกับ CBO (Campaign Budget Optimization) ให้ระบบกระจายงบให้กลุ่มที่มี Performance ดี
ข้อควรระวังในการใช้ กลุ่มเป้าหมายที่มีลักษณะคล้ายกับลูกค้าเดิม อย่าเลือกใช้กลุ่มที่ไม่แสดงพฤติกรรมชัดเจนเป็น Source เช่น กลุ่มที่ดูโพสต์เฉย ๆ แต่ไม่คลิก ไม่ควรนำมาสร้าง Lookalike ไม่ควรใช้ Lookalike แทนกลุ่มเป้าหมายหลักทั้งหมด ควรใช้ควบคู่กับกลยุทธ์อื่น เช่น Retargeting หรือ Interest-Based Targeting อัปเดตข้อมูลเป็นระยะ เพราะพฤติกรรมของลูกค้านั่นเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
สรุป
การใช้ Lookalike Audience อย่างมีระบบ ถือเป็นเสาหลักของการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วย Data และ AI ที่แบรนด์ยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม หากคุณต้องการเติบโตแบบรวดเร็ว มั่นคง และคุ้มค่าทุกบาทของงบโฆษณา
บทความแนะนำ