เข้าใจ Petsumer สายเปย์จัดหนัก ที่รักสัตว์เลี้ยงเหมือนลูกแท้ๆ

Petsumer

Petsumer – ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมามีแนวโน้มที่ค่อนข้างชัดเจนว่าคนไทยมีลูกน้อยลงโดยจำนวนเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในขณะที่อัตราการเกิดลดลง คนไทยมีแนวโน้มที่จะหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า 49% ของคนไทยเลือกเลี้ยงสัตว์เป็นลูก (Pet Parent) แทนการมีลูกซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัยทางสังคมและเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไป และถือเป็นปรากฏการณ์ที่น่าสนใจส่งผลให้แบรนด์ต่างๆ ต้องปรับตัวและหันมาใช้กลยุทธ์การตลาดที่เรียกว่า “Petsumer” เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่มีความรัก และความผูกพันกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงรายละเอียดในประเด็นนี้กันครับ 

Petsumer คืออะไร?

Petsumer คืออะไร

ทำความเข้าใจ Petsumer คืออะไร?

การตลาดแบบ Petsumer หมายถึง กลยุทธ์การตลาดที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับเจ้าของสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีความเต็มใจมากขึ้นที่จะจ่ายเงินเพื่อซื้อผลิตภัณฑ์และบริการคุณภาพสูงสำหรับสัตว์เลี้ยงของตน โดยรวมคำว่าสัตว์เลี้ยง (Pet) และผู้บริโภค (Consumer) เข้าด้วยกัน ซึ่งเน้นย้ำถึงสถานะเฉพาะตัวของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ให้ความสำคัญกับความต้องการและความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยงของตนเป็นอันดับแรก

เทรนด์นี้กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในประเทศไทย เนื่องจากบรรทัดฐานทางสังคมเปลี่ยนแปลงไปโดยคนวัยทำงานหรือวัยสร้างครอบครัวเลือกที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนโครงสร้างของครอบครัวแบบดั้งเดิมผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงโดยทั่วไปในประเทศไทยส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มอายุ Generation Y (อายุ 24 ถึง 41 ปี) โดยส่วนใหญ่ระบุว่าเป็นผู้หญิงประชากรกลุ่มนี้มีลักษณะเฉพาะ คือ มีความผูกพันทางอารมณ์กับสัตว์เลี้ยงอย่างแน่นแฟ้น ส่งผลให้มีการใช้จ่ายสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงมีความโดดเด่นในเรื่องความเต็มใจที่จะจ่ายเงินสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการระดับพรีเมียม ซึ่งรวมถึง

  • อาหารสัตว์เลี้ยงคุณภาพสูง : ผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงจำนวนมากให้ความสำคัญกับโภชนาการ โดยมักจะเลือกอาหารสัตว์เลี้ยงออร์แกนิกหรืออาหารเฉพาะทาง
  • บริการอาบน้ำและตัดขน : บริการต่างๆ เช่น การอาบน้ำและตัดขนเป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ซึ่งเน้นย้ำถึงความต้องการให้สัตว์เลี้ยงได้รับการดูแลและการดูแลเป็นอย่างดี
  • ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความสมบูรณ์ของร่างกาย : มีตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพสัตว์เลี้ยงที่เติบโตอย่างรวดเร็ว รวมถึงอาหารเสริมและบริการสัตวแพทย์ เนื่องจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องการให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของตนมีอายุยืนยาวและมีคุณภาพชีวิตที่ดี

ปัจจัยที่ทำให้ Petsumer เติบโต

ปัจจัยที่ทำให้ Petsumer เติบโต
แนวคิดของ “การตลาดแบบเพ็ตซูเมอร์” สะท้อนถึงความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไประหว่างมนุษย์กับสัตว์เลี้ยง กลยุทธ์นี้มุ่งเป้าไปที่กลุ่มเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งไม่เพียงแค่ปฏิบัติต่อสัตว์เลี้ยงของตนเหมือนสัตว์เลี้ยงเท่านั้นแต่ยังเป็นสมาชิกที่สำคัญของครอบครัวอีกด้วย ตลาดสัตว์เลี้ยงของไทยกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ยปีละ 8.4% และจะมีมูลค่าประมาณ 66,700 ล้านบาทในปี 2569 ซึ่งการเติบโตนี้เกิดจากหลายปัจจัย ได้แก่
 

1. การเปลี่ยนแปลงพลวัตของครอบครัว

ด้วยอัตราการเกิดที่ลดลง คนไทยจำนวนมากจึงเลือกที่จะเป็น “พ่อแม่สัตว์เลี้ยง” โดยถือว่าสัตว์เลี้ยงของตนเป็นลูกบุญธรรม เจ้าของสัตว์เลี้ยงประมาณ 49% ในประเทศไทยระบุว่าตนเองเป็น “พ่อแม่สัตว์เลี้ยง” ในขณะที่ 34% เลี้ยงสัตว์เลี้ยงไว้เพื่อศักดิ์ศรีทางสังคม และ 18% มองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นแหล่งสนับสนุนทางอารมณ์
 

2. การใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นสำหรับสัตว์เลี้ยง

เห็นได้ชัดว่าเจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวนมากเต็มใจที่จะลงทุนในการดูแลสัตว์เลี้ยง โดยเจ้าของหลายคนใช้จ่ายระหว่าง 10,000 ถึง 20,000 บาทต่อปีสำหรับสัตว์เลี้ยง ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายสำหรับอาหาร การดูแล และการดูแลสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มที่กว้างขึ้นในการให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพของสัตว์เลี้ยง
 

3. อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย

การเพิ่มขึ้นของ Influencer ด้านสัตว์เลี้ยงบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมีบทบาทสำคัญในการกำหนดพฤติกรรมของผู้บริโภค โฆษณาต่างๆ ที่มีสัตว์เลี้ยงชื่อดังอยู่ในเนื้อหาสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยการศึกษาระบุว่าผู้บริโภค 43.8% ได้รับอิทธิพลจากกลยุทธ์การตลาดดังกล่าว
 

Petsumer กับการปรับตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรม

Petsumer กับการปรับตัวของธุรกิจและอุตสาหกรรม
กระแสการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงส่งผลกระทบอย่างมากต่ออุตสาหกรรมและธุรกิจต่างๆ จนต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการ และความชอบที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ปรากฏการณ์นี้พบเห็นได้ชัดเจนในกลุ่มคนรุ่นมิลเลนเนียลและคนรุ่นใหม่ ซึ่งมองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวมากกว่าที่จะเป็นเพียงสัตว์เท่านั้น ด้านล่างนี้คือการวิเคราะห์โดยละเอียดว่ากระแสนี้ส่งผลต่อกลยุทธ์ในภาคส่วนต่างๆ อย่างไร
 

1. อุตสาหกรรมอาหารและโภชนาการสัตว์เลี้ยง

อุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงมีการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนไปสู่การยกระดับคุณภาพและความเชี่ยวชาญ บริษัทต่างๆ นำเสนออาหารคุณภาพสูง ออร์แกนิก และเฉพาะทางมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมาะกับความต้องการด้านสุขภาพ ช่วงชีวิต และสายพันธุ์ที่เฉพาะเจาะจง ตัวอย่างเช่น แบรนด์ต่างๆ กำลังพัฒนาอาหารที่ไม่มีธัญพืช โปรตีนสูง และอาหารเสริมที่ส่งเสริมประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น ช่วยบำรุงข้อต่อหรือระบบย่อยอาหาร
 

2. บริการดูแลสัตว์เลี้ยง

ความต้องการบริการดูแลสัตว์เลี้ยงเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงต้องการการดูแลสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพ บริการต่างๆ เช่น การดูแลสัตว์เลี้ยง การดูแลระหว่างวัน การฝากเลี้ยง และการฝึกสุนัข กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับธุรกิจในภาคส่วนนี้
 

3. บริการและการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง

อุตสาหกรรมการบริการกำลังปรับตัวให้เข้ากับกระแสการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มมากขึ้น โรงแรม ร้านอาหาร และสถานที่ท่องเที่ยวต่างให้บริการแก่เจ้าของสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเสนอสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการที่สามารถรองรับสัตว์เลี้ยงได้ สำนักงานการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยได้ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อส่งเสริมโรงแรมและร้านอาหารที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง โดยตระหนักว่านักท่องเที่ยวเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นเมื่อสามารถนำสัตว์เลี้ยงมาด้วยได้ ซึ่งรวมถึงแคมเปญการตลาดและการร่วมมือกับธุรกิจในท้องถิ่นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ที่เป็นมิตรต่อสัตว์เลี้ยง
 

4. การค้าปลีกและอีคอมเมิร์ซ

ผู้ค้าปลีกกำลังปรับกลยุทธ์เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงโดยนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายยิ่งขึ้น รวมถึงอุปกรณ์สัตว์เลี้ยงสุดหรู เสื้อผ้า และของเล่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเจ้าของสัตว์เลี้ยงชอบความสะดวกสบายในการซื้อสินค้าสัตว์เลี้ยงทางออนไลน์
 

5. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีสัตว์เลี้ยง

การเลี้ยงดูสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นทำให้มีความสนใจในเทคโนโลยีที่ช่วยเพิ่มการดูแลสัตว์เลี้ยงมากขึ้น ซึ่งรวมถึงปลอกคออัจฉริยะ อุปกรณ์ติดตามสุขภาพ และกล้องสัตว์เลี้ยงที่ช่วยให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงติดตามความเป็นอยู่ของสัตว์เลี้ยงได้
 

6. บริการสัตวแพทย์และการดูแลสุขภาพ

คลินิกสัตวแพทย์กำลังปรับตัวให้เข้ากับการให้ความสำคัญกับสุขภาพและความสมบูรณ์แข็งแรงของสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยเสนอบริการที่ครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงการดูแลป้องกัน การให้คำปรึกษาเรื่องโภชนาการ และแผนการดูแลสุขภาพ ปัจจุบันคลินิกสัตวแพทย์หลายแห่งให้บริการแผนการดูแลสุขภาพแบบสมัครสมาชิกที่ครอบคลุมการตรวจสุขภาพประจำ การฉีดวัคซีน และการรักษาป้องกัน ทำให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงสามารถดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงได้ง่ายขึ้น
 

7. แบรนด์แฟชั่นและไลฟ์สไตล์สำหรับสัตว์เลี้ยง

อุตสาหกรรมแฟชั่นยังตระหนักถึงศักยภาพของตลาดสัตว์เลี้ยง ทำให้เกิดแบรนด์แฟชั่นสำหรับสัตว์เลี้ยงที่นำเสนอเสื้อผ้าและอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีสไตล์  แบรนด์ต่างๆ เช่น Ruffwear และ PetSmart ได้เปิดตัวเสื้อผ้าสำหรับสัตว์เลี้ยงที่ทันสมัยและใช้งานได้จริง ซึ่งดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ต้องการแสดงบุคลิกของสัตว์เลี้ยงของตน
 
เราจะเห็นได้ว่าเทรนด์ Petsumer กระตุ้นให้เกิดการปรับตัวที่สำคัญในอุตสาหกรรมต่างๆ ตั้งแต่อาหารสัตว์เลี้ยงและบริการดูแลไปจนถึงการต้อนรับและค้าปลีก ธุรกิจที่รับรู้และตอบสนองต่อความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของเจ้าของสัตว์เลี้ยงมีแนวโน้มที่จะประสบความสำเร็จในตลาดที่กำลังเติบโตนี้ ด้วยการเน้นที่คุณภาพ การปรับแต่ง และการมีส่วนร่วมของชุมชน แบรนด์ต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อสัตว์เลี้ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งพวกเขามองว่าสัตว์เลี้ยงของพวกเขาเป็นสมาชิกครอบครัวที่รักมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า
 

Influencer สัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียง

Influencer สัตว์เลี้ยงที่มีชื่อเสียง
อย่างที่กล่าวไปตอนต้นว่า หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ตลาด Petsumer นั้นเติบโต คือ อิทธิพลของโซเชียลมีเดียโดยเฉพาะอินฟลูเอนเซอร์ในแพลตฟอร์มต่างๆ ที่มีชื่อเสียง ซึ่งช่วยขยายขอบเขตของวัมนธรรมย่อยของการเลี้ยงลูกสัตว์แทนลูกให้เติบโต โดยอินฟลูเอนเซอร์สัตว์เลี้ยง หรือ Pet Creator ในประเทศไทยได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้ผู้คนหันมาสนใจสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
 

1. จุ๊มเหม่งมีอะไร

จุ๊มเหม่งเป็นสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ที่ได้รับความนิยมในโซเชียลมีเดีย โดยมีผู้ติดตามในช่อง TikTok ชื่อว่า Japanfriends มากกว่า 2.7 ล้านคน วลี “จุ๊มเหม่งมีอะไร” กลายเป็นคำฮิตติดหูจากคลิปที่เจ้าของทำการพากย์เสียงให้กับสุนัขในช่วงเทศกาลต่าง ๆ ทำให้คลิปเหล่านี้ได้รับความสนใจอย่างมาก เจ้าของจุ๊มเหม่งเป็นผู้สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ โดยมักทำคลิปที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมที่คนรักสุนัขสามารถเพลิดเพลินได้ เช่น การทายผลฟุตบอลโลกและเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งทำให้จุ๊มเหม่งกลายเป็นอินฟลูเอนเซอร์ในวงการสัตว์เลี้ยงเป็นที่เรียบร้อย
 

2. Gluta Story

Gluta Story มีเพจเฟซบุ๊กและช่อง YouTube ที่สร้างขึ้นโดย ยอร์ช-สรศาสตร์ วิเศษสินธุ์ ซึ่งเน้นการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสุนัขพันธุ์โกลเด้นรีทรีฟเวอร์ชื่อ “กลูต้า” โดยกลูต้าได้รับความนิยมอย่างมากในโซเชียลมีเดีย เนื่องจากความน่ารักและการผจญภัยที่เจ้าของได้บันทึกไว้ในรูปแบบของวิดีโอและโพสต์ต่าง ๆ ด้วยเนื้อหาที่หลากหลายและสนุกสนาน จึงเป็นที่นิยมในกลุ่มผู้ที่รักสัตว์เลี้ยงและต้องการติดตามชีวิตประจำวันของน้องหมา
 

3. เอ็ดเวิร์ด แมวนักเดินทาง

เอ็ดเวิร์ดกับคอนเซ็ปต์ “แมวนักเดินทาง” ที่มีโอกาสเดินทางไปเที่ยวหลายจังหวัดในประเทศไทย ช่องนี้สร้างรอยยิ้มให้กับผู้ชมและเป็นที่นิยมในกลุ่มทาสแมว เนื้อหาที่นำเสนอเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพักผ่อนในโรงแรมต่างๆ ทำให้ธุรกิจโรงแรมที่เป็นมิตรกับสัตว์สามารถโปรโมทได้ผ่านช่องนี้
 

4. วอแวเป็ดมีผม

วอแวเป็ดมีผม เป็ดสายพันธุ์มงกุฎขาว Crested Duck ถือเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่โด่งดังอย่างมากใน TikTok ด้วยความน่ารักและความสนุกสนานร่าเริงของน้องเป็ด ช่องนี้ได้รับความนิยมอย่างมาก ทำให้ผู้ติดตามจำนวนมากเข้ามาชมเนื้อหาและมีส่วนร่วมกับกิจกรรมต่างๆ มากมายที่น้องเป็ดทำ
 
อินฟลูเอนเซอร์สัตว์เลี้ยงในประเทศไทยไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชม แต่ยังช่วยโปรโมทสินค้าและบริการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเติบโตของตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยยังคงมีแนวโน้มที่ดี และอินฟลูเอนเซอร์เหล่านี้จะยังคงเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้คนกับสัตว์เลี้ยงต่อไป

กลยุทธ์ Petsumer ทำอย่างไรให้สำเร็จ

กลยุทธ์ Petsumer ทำอย่างไรให้สำเร็จ
ตลาด Petsumer ถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่จะเชื่อมต่อกับเจ้าของสัตว์เลี้ยงในระดับที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น พวกเขาคือเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มองสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวและเต็มใจที่จะจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์และบริการระดับพรีเมียม เพื่อให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของตนมีสุขภาพดี โดยการทำความเข้าใจและตอบสนองความต้องการและความชอบเฉพาะตัวของประชากรกลุ่มนี้ บริษัทต่างๆ สามารถพัฒนาแคมเปญการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งเสริมความภักดีต่อแบรนด์ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจในที่สุด เพื่อเข้าสู่ตลาดที่ทำกำไรมหาศาลนี้ ธุรกิจต่างๆ จำเป็นต้องมีกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง
 

1. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย

การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายของคุณถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การซื้อสัตว์เลี้ยงที่ประสบความสำเร็จ ในบริบทของการตลาดเพื่อการซื้อสัตว์เลี้ยงนั้น เกี่ยวข้องกับการได้รับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรม ความชอบ และความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มองว่าสัตว์เลี้ยงของตนเป็นสมาชิกที่สำคัญในครอบครัว ค้นคว้าข้อมูลประชากร ความชอบ และปัญหาของเจ้าของสัตว์เลี้ยง แบ่งกลุ่มตลาดของคุณตามปัจจัยต่าง ๆ เช่น ประเภทของสัตว์เลี้ยง อายุของเจ้าของ และไลฟ์สไตล์
 
  • ดำเนินการวิจัยตลาด : ใช้การสำรวจกลุ่มเป้าหมาย และการสัมภาษณ์ เพื่อรวบรวมคำติชมโดยตรงจากเจ้าของสัตว์เลี้ยง ข้อมูลเชิงคุณภาพเหล่านี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับความชอบ ปัญหา และการตัดสินใจซื้อของพวกเขาได้
  • สร้างตัวตนของผู้ซื้อ : พัฒนาตัวตนของผู้ซื้อโดยละเอียดที่สรุปลักษณะเฉพาะของลูกค้าในอุดมคติของคุณ ตัวตนเหล่านี้ควรมีข้อมูลประชากร จิตวิเคราะห์ และลักษณะทางพฤติกรรม ช่วยให้มองเห็นและเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ดีขึ้น
  • ใช้ข้อมูลเชิงลึกจากโซเชียลมีเดีย : วิเคราะห์เมตริกการมีส่วนร่วมและข้อมูลประชากรของกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย ข้อมูลนี้สามารถเปิดเผยเนื้อหาใดที่ผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงเข้าถึงมากที่สุดและเมื่อใดที่พวกเขาใช้งานออนไลน์มากที่สุด
  • มีส่วนร่วมในการรับฟังทางโซเชียล : ติดตามการสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์และอุตสาหกรรมของคุณบนโซเชียลมีเดียและฟอรัม การปฏิบัตินี้สามารถช่วยระบุเทรนด์ ความรู้สึก และความต้องการที่เกิดขึ้นใหม่ในชุมชนผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงได้
  • แบ่งกลุ่มเป้าหมายของคุณ : แบ่งกลุ่มเป้าหมายของคุณออกเป็นกลุ่มย่อยตามลักษณะหรือพฤติกรรมที่เหมือนกัน การแบ่งกลุ่มนี้ช่วยให้ทำการตลาดได้อย่างตรงเป้าหมายมากขึ้น และมีกลยุทธ์การสื่อสารที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น ติดตามคู่แข่ง ตลอดจนศึกษาคู่แข่งของคุณเพื่อทำความเข้าใจกลยุทธ์การมีส่วนร่วมของผู้ชม การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่งสามารถให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับช่องว่างที่อาจเกิดขึ้นในกลยุทธ์ของคุณเองได้

2. นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ปรับแต่งได้

พัฒนาตัวเลือกที่ปรับแต่งได้ซึ่งตอบสนองความต้องการเฉพาะของสัตว์เลี้ยงและความชอบของเจ้าของ ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มองว่าสัตว์เลี้ยงของตนเป็นสมาชิกในครอบครัว ผู้เลี้ยงสัตว์จะมองหาแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการและความชอบเฉพาะตัวของสัตว์เลี้ยง ทำให้การปรับแต่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์สำหรับผู้เลี้ยงสัตว์ที่ประสบความสำเร็จ การตลาดสำหรับผู้เลี้ยงสัตว์เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการเฉพาะของสัตว์เลี้ยงแต่ละประเภทและเจ้าของ ซึ่งอาจรวมถึง
 
  • อุปกรณ์สัตว์เลี้ยง : ให้ลูกค้าปรับแต่งสิ่งของต่างๆ เช่น ปลอกคอ สายจูง และป้ายระบุตัวตนด้วยชื่อสัตว์เลี้ยงหรือดีไซน์เฉพาะตัว
  • อาหารสัตว์เลี้ยง : การนำเสนอสูตรอาหารสัตว์เลี้ยงตามปัจจัยต่างๆ เช่น สายพันธุ์ อายุ ขนาด และระดับกิจกรรม
  • เสื้อผ้าสัตว์เลี้ยง : การให้ตัวเลือกขนาดและการออกแบบที่ตอบโจทย์สายพันธุ์และประเภทร่างกายที่แตกต่างกัน

ด้วยการเสนอผลิตภัณฑ์เฉพาะบุคคล แบรนด์ต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจในสายสัมพันธ์อันเป็นเอกลักษณ์ระหว่างสัตว์เลี้ยงและเจ้าของ ส่งเสริมให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ที่สำคัญ การนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่ปรับแต่งให้เหมาะกับความต้องการของผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงจะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่แข็งแกร่ง ส่งเสริมความภักดีต่อแบรนด์ และผลักดันการเติบโตทางธุรกิจในอุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยงที่มีการแข่งขันอย่างสูงได้ในที่สุด

 

3. โฟกัสความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง

ปัจจัยสำคัญของกลยุทธ์การตลาดสำหรับผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพ คือการแสดงให้เห็นถึงความสำคัญกับสวัสดิภาพของสัตว์เลี้ยง ผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัวและให้ความสำคัญกับสุขภาพ ความสะดวกสบาย และความสุขของสัตว์เลี้ยงของตนเป็นอันดับแรก การเน้นย้ำถึงสวัสดิภาพของสัตว์เลี้ยงในความพยายามทางการตลาดจะช่วยให้คุณสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับกลุ่มเป้าหมาย เช่น เน้นที่โภชนาการ การดูแลป้องกัน และผลิตภัณฑ์ที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ที่ดีของสัตว์เลี้ยง เป็นต้น
 
อย่างไรก็ตาม การดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง ถือเป็นแนวทางแบบองค์รวมสำหรับสุขภาพร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของสัตว์เลี้ยง ไม่ใช่แค่เพียงการดูแลสัตว์เลี้ยงให้ได้รับอาหารที่ดีและได้รับการปกป้องเท่านั้น โดยผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่มักมองหาผลิตภัณฑ์และบริการที่ส่งเสริมให้สัตว์เลี้ยงมีอายุยืนยาว มีชีวิตชีวา และมีความสุขโดยรวม
 

4. สร้างประสบการณ์ Omnichannel ที่ราบรื่น

สร้างความสอดคล้องกันทั้งจุดสัมผัสออนไลน์และออฟไลน์ รวมถึงแอปมือถือ เว็บไซต์ และร้านค้าจริง ประสบการณ์แบบ เนื่องจากแก่นแท้ของ Omnichannel ไม่ใช่แค่การมีช่องทางหลายช่องทาง (เช่น ออนไลน์ ในร้านค้า โซเชียลมีเดีย และมือถือ) เพื่อดึงดูดลูกค้า แต่ควรเน้นที่การทำให้แน่ใจว่าช่องทางทั้งหมดเหล่านี้ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่เป็นหนึ่งเดียว สำหรับผู้บริโภคที่มักโต้ตอบกับแบรนด์ผ่านจุดสัมผัสต่างๆ
 
การผสานรวมที่ราบรื่นนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับการดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งการรับประกันความสม่ำเสมอ การบูรณาการข้อมูลลูกค้า และการโต้ตอบแบบเฉพาะบุคคลในทุกช่องทาง แบรนด์ต่างๆ จะสามารถเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า สร้างความภักดี และเพิ่มยอดขายได้ ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงขึ้น และทำหน้าที่เป็นตัวแยกความแตกต่างที่สำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ ที่ตั้งเป้าไปที่กลุ่มประชากรผู้บริโภคสัตว์เลี้ยง
 

5. ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย

การใช้โซเชียลมีเดียอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในการดึงดูดเจ้าของสัตว์เลี้ยงที่มองว่าสัตว์เลี้ยงของตนเป็นสมาชิกในครอบครัว ซึ่งการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลอย่างมีกลยุทธ์ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างการเชื่อมต่อที่มีความหมาย สร้างความภักดีต่อแบรนด์ และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจได้

 
ขั้นตอนแรกในการใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดียคือการระบุแพลตฟอร์มที่กลุ่มเป้าหมายของผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงของคุณมีส่วนร่วมมากที่สุด ถึงแม้ว่าการมีตัวตนในทุกช่องทางจะน่าดึงดูดใจ แต่การมุ่งเน้นไปที่แพลตฟอร์มที่สอดคล้องกับแบรนด์ของคุณและเข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุดจะมีประสิทธิภาพมากกว่า แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการตลาดผู้บริโภคสัตว์เลี้ยง ได้แก่
 
  • Facebook : เหมาะสำหรับการแบ่งปันเนื้อหาที่น่าสนใจ จัดการแข่งขัน และสร้างชุมชน
  • Instagram : เหมาะสำหรับนำเสนอภาพถ่ายและวิดีโอสัตว์เลี้ยงที่ดึงดูดสายตา ตลอดจนการทำงานร่วมกับอินฟลูเอนเซอร์
  • YouTube : ช่องทางสำคัญที่ช่วยให้คุณสร้างเนื้อหาเพื่อให้ความรู็และความบันเทิง เช่น วิดีโอสอนการดูแลสัตว์เลี้ยงและการสาธิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ

6. สร้างสรรค์นวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง

อยู่เหนือกระแสและอัปเดตผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นประจำ ปรับปรุงเพิ่มเติมให้กับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือกระบวนการต่างๆ เพื่อรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขันและตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปซึ่งจำเป็นสำหรับแบรนด์ต่างๆ ที่ต้องการดึงดูดกลุ่มประชากรนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยกระบวนการที่สำคัญ คือ
 
  • แนวทางที่เน้นลูกค้า : นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องเริ่มต้นด้วยการทำความเข้าใจความต้องการและความปรารถนาที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคสัตว์เลี้ยง แบรนด์ต่างๆ ต้องรวบรวมคำติชมผ่านแบบสำรวจ การโต้ตอบผ่านโซเชียลมีเดีย และบทวิจารณ์ของลูกค้า เพื่อระบุพื้นที่สำหรับการปรับปรุงและโอกาสของผลิตภัณฑ์ใหม่
  • การพัฒนาผลิตภัณฑ์ : การปรับปรุงผลิตภัณฑ์อย่างค่อยเป็นค่อยไปในข้อเสนอผลิตภัณฑ์มีความสำคัญ ซึ่งอาจรวมถึงการเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของอาหารสัตว์เลี้ยง การพัฒนารสชาติใหม่ๆ หรือการแนะนำบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงอาจสร้างสรรค์นวัตกรรมโดยการสร้างไลน์ผลิตภัณฑ์ขนมออร์แกนิกที่ตอบโจทย์เจ้าของสัตว์เลี้ยงที่ใส่ใจสุขภาพ
  • การปรับปรุงบริการ : นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์แล้ว นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องสามารถขยายไปสู่บริการได้ ซึ่งอาจรวมถึงแผนการดูแลสัตว์เลี้ยงแบบเฉพาะบุคคล บริการสมัครสมาชิกสำหรับอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง หรือแอปมือถือที่ช่วยให้เจ้าของสัตว์เลี้ยงติดตามสุขภาพและโภชนาการของสัตว์เลี้ยง แบรนด์ที่ให้บริการเฉพาะบุคคลสามารถสร้างประสบการณ์ที่น่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นสำหรับผู้บริโภคสัตว์เลี้ยง
  • การผสานเทคโนโลยี : การใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีมีความสำคัญต่อนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจรูปแบบและความชอบในการซื้อ ซึ่งช่วยให้สามารถปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดและข้อเสนอผลิตภัณฑ์ได้ ตัวอย่างเช่น บริการอาบน้ำตัดขนสัตว์เลี้ยงอาจใช้ระบบจองออนไลน์ที่ช่วยให้สามารถกำหนดเวลาได้ตามความต้องการของผู้เป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยง
  • โครงการริเริ่มเพื่อความยั่งยืน : เนื่องจากผู้บริโภคสัตว์เลี้ยงให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมากขึ้น การพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่องจึงควรเน้นที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย ซึ่งอาจรวมถึงการจัดหาอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงที่ยั่งยืนหรือการสร้างถุงเก็บมูลสัตว์เลี้ยงที่ย่อยสลายได้ เพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
  • นวัตกรรมเชิงร่วมมือ : การร่วมมือกับสัตวแพทย์ นักโภชนาการสัตว์เลี้ยง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ สามารถนำไปสู่การพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงนวัตกรรมได้ ตัวอย่างเช่น บริษัทอาหารสัตว์เลี้ยงอาจร่วมมือกับคลินิกสัตวแพทย์เพื่อสร้างอาหารเฉพาะสำหรับสัตว์เลี้ยงที่มีปัญหาสุขภาพเฉพาะ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในหมู่ผู้บริโภค
ตลาด Petsumer มีแนวโน้มว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า แนวโน้มสำคัญหลายประการกำลังกำหนดอนาคตของตลาดที่ไม่หยุดนิ่งนี้ ซึ่งในประเทศไทยคาดว่าตลาดสัตว์เลี้ยงคาดว่าจะขยายตัว 8.4% ต่อปีจนถึง 66.7 พันล้านบาทในปี 2026 ซึ่งขับเคลื่อนโดยการเพิ่มขึ้นของการเป็นเจ้าของสัตว์เลี้ยงโดยจำนวนครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นที่เลือกเลี้ยงสัตว์เลี้ยงแทนเด็ก สุดท้ายแล้วแบรนด์ที่สามารถปรับตัวตามเทรนด์เหล่านี้และให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีและความชอบของสัตว์เลี้ยงจะอยู่ในตำแหน่งที่ดีในการประสบความสำเร็จในตลาดที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ได้อย่างแน่นอนครับ
 
แหล่งที่มา :

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *