เคล็ด (ไม่) ลับ วางกลยุทธ์อย่างไร ให้เหมาะกับ ทุกช่วงชีวิตผลิตภัณฑ์ (Product Life Cycle)

Product Life Cycle

สำหรับทุกธุรกิจที่นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการ แน่นอนว่าการทำความเข้าใจเกี่ยวกับวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ หรือ Product Life Cycle ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจต่างๆ ที่ต้องการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาดเพื่อความสำเร็จอย่างมีประสิทธิผล โดย PLC จะระบุขั้นตอนต่างๆ ที่ผลิตภัณฑ์ หรือบริการต้องผ่าน ตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นไปจนถึงช่วงเสื่อมถอย ซึ่งช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถปรับกลยุทธ์การตลาดและการดำเนินงานให้เหมาะสมที่สุดได้เพื่อความสำเร็จของธุรกิจได้ในระยะยาว 

Product Life Cycle คืออะไร?

Product Life Cycle คืออะไร

วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ (PLC) เป็นแนวคิดสำคัญในการตลาดและการจัดการผลิตภัณฑ์ ซึ่งจะระบุขั้นตอนต่างๆ ที่ผลิตภัณฑ์ต้องผ่านตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงจุดเสื่อมถอย การทำความเข้าใจวงจรนี้ ถือ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการพัฒนากลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มผลกำไรและการมีอยู่ในตลาด โดยทั่วไป วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ จะประกอบด้วย 5 ช่วง ที่สำคัญ ได้แก่ แนะนำเติบโต เติบโตเต็มที่ และช่วงถดถอยของผลิตภัณฑ์ โดยในแต่ละช่วงของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์จะนำเสนอความท้าทายและโอกาสที่แตกต่างกันไป ซึ่งต้องใช้กลยุทธ์เฉพาะเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์

ขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์

1. ช่วงแนะนำ (Introduction)
 
ในช่วงนี้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ จะถูกพัฒนาขึ้นและพร้อมที่จะเข้าสู่ตลาด และเป็นช่วงเวลาที่ผลิตภัณฑ์จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ ซึ่งมักจะมีการทำการตลาดอย่างเข้มข้นเพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มเป้าหมายการทำการตลาดจะมีความสำคัญอย่างมากเพื่อสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค โดยบริษัทจะต้องลงทุนทั้งในด้านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า ยอดขายในช่วงนี้มักจะเติบโตช้า และอาจยังไม่มีกำไร เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง ที่สำคัญคือผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ จึงต้องใช้เวลาในการสร้างความสนใจและความต้องการ เรียกได้ว่าเป็นที่สำคัญในวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ เนื่องจากเป็นรากฐานในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า และกำหนดทิศทางสำหรับการเติบโตต่อไปในอนาคตของผลิตภัณฑ์
 
2. ช่วงเติบโต (Growth)
 
ช่วงเติบโตเป็นช่วงสำคัญที่ช่วยให้บริษัทสามารถสร้างกำไรและขยายตลาดได้ แต่ก็ต้องมีการวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อรับมือกับการแข่งขันและรักษาความพึงพอใจของลูกค้าเมื่อผลิตภัณฑ์ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ในช่วงนี้ ยอดขายมักจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มตระหนักถึงผลิตภัณฑ์และมีความต้องการที่สูงขึ้น บริษัทจะสามารถสร้างกำไรได้มากขึ้น อย่างไรก็ตามก็ต้องเผชิญกับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากคู่แข่งที่เห็นโอกาสในตลาดเดียวกัน นอกจากนี้ การเติบโตอย่างรวดเร็วอาจนำไปสู่ปัญหาด้านคุณภาพบริการหรือสินค้าที่ไม่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการขยายช่องทางจัดจำหน่ายจึงเป็นสิ่งสำคัญในช่วงนี้ ในช่วงนี้ลูกค้าจะเริ่มกลายเป็นลูกค้าประจำและขาจร ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้
 
3. ขั้นเติบโตเต็มที่หรือจุดอิ่มตัว (Maturity)
 
ในขั้นนี้ยอดขายจะเริ่มชะลอตัว เนื่องจากตลาดมีความอิ่มตัวและการแข่งขันสูงขึ้น ผู้บริโภคอาจเริ่มมีทางเลือกมากขึ้น บริษัทอาจต้องหาวิธีในการปรับปรุงผลิตภัณฑ์หรือหาตลาดใหม่เพื่อรักษายอดขาย เช่น การลดราคา หรือการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นความสนใจ
 
4. ขั้นถดถอย (Decline)
 
เมื่อผลิตภัณฑ์เข้าสู่ช่วงถดถอย ยอดขายจะลดลงอย่างมาก เนื่องจากปัจจัยต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงของเทรนด์ผู้บริโภคหรือการแข่งขันที่รุนแรง บริษัทอาจต้องตัดสินใจว่าจะหยุดผลิตภัณฑ์หรือพยายามฟื้นฟูโดยการปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงกลยุทธ์การตลาด
 
การเข้าใจวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ในแต่ละขั้นตอนข้างต้นจะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถวางแผนกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงในตลาดได้อย่างทันท่วงที

Product Life Cycle สำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ

Product Life Cycle สำคัญต่อธุรกิจอย่างไร
การทำความเข้าใจ Product Life Cycle ถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกธุรกิจ เนื่องจากสิ่งนี้ถือเป็นกรอบการดำเนินงานที่สำคัญสำหรับการจัดการผลิตภัณฑ์อย่างมีประสิทธิภาพตลอดช่วงเวลาที่ผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายในตลาด PLC แต่ละขั้นตอนนั้นมีลักษณะเฉพาะและผลกระทบต่อการตลาด การจัดสรรทรัพยากร และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน
 
ความสำคัญของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์
 

1. การวางแผนเชิงกลยุทธ์

PLC ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ พัฒนากลยุทธ์ที่เหมาะกับแต่ละขั้นตอนของผลิตภัณฑ์ได้ เมื่อทราบว่าผลิตภัณฑ์อยู่ในขั้นตอนใด บริษัทต่างๆ จะสามารถจัดแนวทางการตลาด กลยุทธ์ด้านราคา และการจัดสรรทรัพยากรให้สอดคล้องกันได้ ตัวอย่างเช่น ในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ การลงทุนอย่างหนักในด้านการตลาดถือเป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายในช่วงแรก ในทางกลับกัน ในช่วงที่ผลิตภัณฑ์เข้าสู่ตลาดแล้ว โฟกัสอาจเปลี่ยนไปที่การรักษาส่วนแบ่งการตลาดและความภักดีของลูกค้าผ่านคุณสมบัติที่ปรับปรุงหรือการกำหนดราคาที่มีการแข่งขัน
 

2. ความเข้าใจตลาด

การทำความเข้าใจ PLC ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เข้าใจพลวัตของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เกี่ยวข้องกับแต่ละขั้นตอนได้ ข้อมูลเชิงลึกนี้ช่วยให้บริษัทต่างๆ คาดการณ์การเปลี่ยนแปลงของอุปสงค์และปรับกลยุทธ์ของตนได้อย่างรอบคอบ ตัวอย่างเช่น การรับรู้ว่าผลิตภัณฑ์กำลังเข้าสู่ช่วงขาลงอาจกระตุ้นให้ธุรกิจสำรวจการสร้างแบรนด์ใหม่หรือนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อฟื้นความสนใจ
 

3. การจัดสรรทรัพยากร

การจัดการ PLC อย่างมีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถจัดสรรทรัพยากรได้อย่างเหมาะสม เช่น สามารถระบุได้ว่าผลิตภัณฑ์ใดต้องการการสนับสนุนมากขึ้นตามช่วงวงจรชีวิต ตัวอย่างเช่น ทรัพยากรอาจถูกย้ายไปยังผลิตภัณฑ์ในช่วงการเติบโตเพื่อเพิ่มศักยภาพสูงสุด ในขณะที่ลดการลงทุนในผลิตภัณฑ์ที่กำลังเข้าสู่ช่วงขาลง การจัดสรรกลยุทธ์ใหม่นี้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าการลงทุนจะให้ผลตอบแทนสูงสุดได้อยู่เสมอ
 

4. การคาดการณ์ยอดขายและกำไร

PLC ให้พื้นฐานสำหรับการคาดการณ์ยอดขายและกำไรในช่วงเวลาต่างๆ โดยการวิเคราะห์ผลการดำเนินงานในอดีตและทำความเข้าใจลักษณะเฉพาะของแต่ละช่วง ธุรกิจต่างๆ สามารถคาดการณ์กระแสรายได้ในอนาคตได้อย่างมีข้อมูล การคาดการณ์นี้มีความสำคัญต่อการวางแผนทางการเงินและการจัดการสินค้าคงคลัง ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถเตรียมพร้อมรับมือกับอุปสงค์ที่ผันผวนได้
 

5. นวัตกรรมและการปรับตัว

เมื่อผลิตภัณฑ์ผ่านวงจรชีวิตไปแล้ว นวัตกรรมที่มีความต่อเนื่องจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อผลิตภัณฑ์เข้าใกล้ช่วงที่พัฒนาเต็มที่หรือที่เรียกว่าอิ่มตัวหรือใกล้จะเสื่อมถอย PLCแต่ละขั้น นั้นจะสนับสนุนให้ธุรกิจต่างๆ สามารถประเมินแนวโน้มของตลาดและความต้องการของผู้บริโภคเพื่อปรับเปลี่ยนข้อเสนอให้เหมาะสม ซึ่งแนวทางเชิงรุกนี้สามารถขยายวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ได้โดยทำให้ผลิตภัณฑ์มีความเกี่ยวข้องในตลาดที่มีการแข่งขัน
 

6. รักษาข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

การเชี่ยวชาญด้าน PLC จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถรักษาความได้เปรียบในการแข่งขันได้ด้วยการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ธุรกิจที่บริหารจัดการผลิตภัณฑ์ของตนอย่างมีประสิทธิภาพในแต่ละขั้นตอนสามารถสร้างความแตกต่างให้กับบริษัทได้เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่อาจตอบสนองช้ากว่าหรือรับรู้พลวัตของตลาดน้อยกว่า
 

7. ช่วยกำหนดกลยุทธ์การตลาดขั้นสูง

PLC ช่วยในการปรับแต่งกลยุทธ์การตลาดโดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับเวลาและวิธีการสื่อสารกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิผล ตัวอย่างเช่น อาจต้องมีการเปลี่ยนการส่งข้อความจากการสร้างการรับรู้ในช่วงแนะนำเป็นการเสริมสร้างความภักดีในช่วงที่ผลิตภัณฑ์นั้นพัฒนาไปเต็มที่แล้ว ซึ่งการทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ทำให้บริษัทต่างๆ สามารถออกแบบแคมเปญที่ตรงเป้าหมายและเข้าถึงผู้บริโภคในแต่ละช่วงอายุของผลิตภัณฑ์ได้
 
สุดท้ายแล้ว วงจรชีวิตผลิตภัณฑ์จึงถือเป็นแนวคิดสำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในระยะยาว โดยการทำความเข้าใจในแต่ละช่วงวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ บริษัทต่างๆ จะสามารถรับมือกับความท้าทายและคว้าโอกาสในตลาดได้อย่างมีกลยุทธ์ การใช้ประโยชน์จากข้อมูลเชิงลึกจาก PLC จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การตลาด การจัดสรรทรัพยากร ความพยายามด้านนวัตกรรม และการวางแผนธุรกิจโดยรวม ในท้ายที่สุด การเชี่ยวชาญวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์จะช่วยให้ธุรกิจสามารถรักษาผลกำไรและความเกี่ยวข้องในภูมิทัศน์ตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้นั่นเอง

กลยุทธ์ที่เหมาะกับ Product Life Cycle แต่ละช่วง

กลยุทธ์ที่เหมาะกับ Product Life Cycle แต่ละช่วง
การวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับ PLC ถือเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้สินค้าอยู่รอดและเติบโตในตลาดได้อย่างยั่งยืน ในส่วนนี้ คือเคล็ด (ไม่) ลับในการวางกลยุทธ์ตามแต่ละช่วงของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ครับ ต่อไปคือรายละเอียดของกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับแต่ละขั้นตอน
 
1. ช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์ (Introduction)
 
  • การวิจัยตลาด : การวิจัยตลาดในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นช่วงที่ผลิตภัณฑ์ใหม่เข้าสู่ตลาดและต้องการสร้างการรับรู้และความต้องการจากผู้บริโภค ธุรกิจควรดำเนินการวิจัยอย่างละเอียดเพื่อทำความเข้าใจความต้องการ ความชอบ และช่องว่างทางการตลาดของลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงแนวคิดผลิตภัณฑ์และรับรองว่าตรงตามความต้องการของลูกค้า การวิจัยตลาดในช่วงแนะนำผลิตภัณฑ์เป็นกระบวนการที่ต้องใช้หลายวิธีร่วมกันเพื่อสร้างความเข้าใจในตลาดและผู้บริโภคอย่างลึกซึ้ง การนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์สามารถเติบโตไปยังช่วงถัดไปของ PLC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การทดสอบต้นแบบ : พัฒนาต้นแบบและดำเนินการทดสอบกับผู้ใช้ที่มีศักยภาพเพื่อรวบรวมคำติชม ซึ่งช่วยให้สามารถปรับเปลี่ยนได้ก่อนเปิดตัวเต็มรูปแบบ
  • การสร้างความคาดหวัง : สร้างกระแสเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ผ่านตัวอย่าง ข่าวเผยแพร่ และเนื้อหาที่น่าสนใจบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งอาจรวมถึงการรับรองจากผู้มีอิทธิพลในอุตสาหกรรมเพื่อสร้างความสนใจในช่วงเริ่มต้น
  • แคมเปญสร้างการรับรู้ : ดำเนินการแคมเปญโฆษณาที่ครอบคลุมในช่องทางต่างๆ (โซเชียลมีเดีย โฆษณาออนไลน์ สื่อดั้งเดิม) เพื่อสร้างการรับรู้ในกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพ
  • เนื้อหาเพื่อการศึกษา : ใช้การตลาดเนื้อหาเพื่อให้ความรู้ผู้บริโภคเกี่ยวกับคุณสมบัติและประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ ซึ่งอาจรวมถึงโพสต์บล็อก วิดีโอ และอินโฟกราฟิกที่อธิบายว่าผลิตภัณฑ์ช่วยแก้ปัญหาเฉพาะได้อย่างไร
  • ข้อเสนอส่งเสริมการขาย : แนะนำโปรโมชั่นพิเศษ เช่น ส่วนลดหรือทดลองใช้ฟรี เพื่อกระตุ้นการซื้อครั้งแรก ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคสำหรับผู้ซื้อครั้งแรกและกระตุ้นยอดขายในช่วงแรก
  • ความร่วมมือกับผู้มีอิทธิพล : ร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลที่สามารถโปรโมตผลิตภัณฑ์ได้อย่างแท้จริงผ่านบทวิจารณ์และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย จึงขยายการเข้าถึงและความน่าเชื่อถือ

 2. ช่วงเติบโต (Growth)

  • การขยายตลาด : มุ่งเน้นที่การเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดโดยเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่หรือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ ซึ่งอาจรวมถึงการปรับปรุงช่องทางการจัดจำหน่ายหรือการสร้างความร่วมมือเชิงกลยุทธ
  • การปรับปรุงผลิตภัณฑ์ : ใช้คำติชมของลูกค้าเพื่อปรับปรุงคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และแก้ไขจุดบกพร่องต่างๆ นวัตกรรมอย่างต่อเนื่องช่วยรักษาความได้เปรียบทางการแข่งขัน
  • โปรแกรมความภักดีต่อแบรนด์ : นำโปรแกรมความภักดีหรือแรงจูงใจในการซื้อซ้ำมาใช้เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่ภักดี การดึงดูดลูกค้าที่มีอยู่สามารถนำไปสู่การบอกต่อแบบปากต่อปากได้
  • การวางตำแหน่งทางการแข่งขัน : เน้นข้อเสนอขายที่เป็นเอกลักษณ์ (USP) ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของคุณแตกต่างจากคู่แข่ง เน้นย้ำสิ่งเหล่านี้ในข้อความการตลาดเพื่อเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์

3. ช่วงเติบโตเต็มที่หรือจุดอิ่มตัว (Maturity)

  • การจัดการต้นทุน : เมื่อการแข่งขันรุนแรงขึ้น ให้เน้นที่การจัดการต้นทุนในขณะที่รักษาคุณภาพไว้ การปรับกระบวนการทำงานให้คล่องตัวสามารถช่วยรักษาผลกำไรได้ในระยะนี้
  • การตลาดแบบกำหนดเป้าหมาย : ระบุกลุ่มลูกค้าเฉพาะและปรับแต่งความพยายามทางการตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการเฉพาะของพวกเขา การตลาดแบบเฉพาะบุคคลสามารถช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและการรักษาลูกค้าได้
  • การกระจายความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ : แนะนำผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายหรือผลิตภัณฑ์เสริมเพื่อดึงดูดความต้องการของผู้บริโภคที่แตกต่างกันและขยายสายผลิตภัณฑ์โดยไม่สูญเสียเอกลักษณ์ของแบรนด์
  • การมีส่วนร่วมของลูกค้า : ปรับปรุงการบริการลูกค้าและการสนับสนุนเพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่ ใช้กลไกการตอบรับเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

4. ช่วงถดถอย (Decline)

  • ประเมินความสามารถในการอยู่รอดของผลิตภัณฑ์ : ประเมินว่าจะฟื้นฟูผลิตภัณฑ์ หยุดผลิต หรือเปลี่ยนไปสู่ผลิตภัณฑ์ใหม่หรือไม่ โดยอิงตามแนวโน้มของตลาด และพฤติกรรมของผู้บริโภค
  • กลยุทธ์การลดต้นทุน : การลดต้นทุนเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อรักษากำไรและความยั่งยืนของธุรกิจ ธุรกิจควรใช้มาตรการลดต้นทุนเพื่อรักษาผลกำไรหากยอดขายลดลง ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการลดงบประมาณการตลาดหรือปรับกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ในช่วงถดถอยของผลิตภัณฑ์ การลดต้นทุนเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและความยั่งยืนของธุรกิจ โดยมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงกระบวนการผลิต ลดค่าใช้จ่ายในการตลาด และเคลียร์สต๊อกสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพนั่นเอง
  • ตลาดเฉพาะกลุ่ม : หากทำได้ ให้เน้นที่ตลาดเฉพาะกลุ่มที่ยังคงให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ การปรับแต่งข้อเสนอสำหรับกลุ่มเหล่านี้สามารถยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ได้
  • การวางแผนกลยุทธ์การออก : เตรียมกลยุทธ์การออกหากจำเป็นต้องเลิกผลิต สื่อสารกับลูกค้าอย่างโปร่งใสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและเสนอทางเลือกอื่นหากสามารถทำได้
แต่ละขั้นตอนของวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์นำเสนอความท้าทายและโอกาสเฉพาะตัวที่ต้องใช้กลยุทธ์การตลาดเฉพาะ การทำความเข้าใจขั้นตอนเหล่านี้และปรับแนวทางให้เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จตลอดทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ได้
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *