Hijack Marketing กลยุทธ์ที่เปลี่ยนกระแสคนอื่นให้เป็นโอกาสของเรา

Hijack Marketing

ในโลกที่ข่าวสาร การตลาด และโซเชียลมีเดียหมุนเร็วระดับวินาที แบรนด์ที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่สามารถรอให้ผู้บริโภคเดินเข้าหาได้เหมือนในอดีตอีกต่อไป “การแย่งซีน” หรือ Hijack Marketing จึงกลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่นักการตลาดยุคใหม่ให้ความสนใจ เพราะมันสามารถสร้างการรับรู้ สร้างไวรัล และแม้แต่สร้างยอดขายได้ทันที โดยไม่ต้องเริ่มจากศูนย์! วันนี้ Talka จะพาคุณไป “เจาะลึก” กลยุทธ์นี้ในทุกแง่มุมที่น่าสนใจ พร้อมชี้แนะแนวทางปฏิบัติให้คุณนำไปใช้ได้จริงครับ

Hijack Marketing คืออะไร?

Hijack Marketing คืออะไร?

Hijack Marketing หรือที่เรียกกันว่า การตลาดแบบขโมยซีน (หรือในบางครั้งก็ใช้คำว่า ขี่กระแส) คือ หนึ่งในกลยุทธ์ที่แบรนด์ใช้ในการแทรกตัวเข้าไปใน “ความสนใจของผู้บริโภค” ณ ขณะนั้น ผ่านการอิงกับ กระแสสังคม เหตุการณ์สำคัญ เทรนด์ที่กำลังมาแรง หรือแม้กระทั่งแคมเปญของแบรนด์อื่น แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาบิดเนื้อหา สื่อสารใหม่ หรือออกแบบคอนเทนต์ในแบบฉบับของตัวเอง เพื่อให้สินค้า บริการ หรือแบรนด์ ได้รับความสนใจมากขึ้นในช่วงเวลาที่กระแสนั้นยัง “ร้อนแรง”

เปรียบเทียบง่ายๆ การตลาดแบบไฮแจ็ค ก็เหมือนกับการ “โหนกระแส” ที่เราคุ้นเคยกันในโลกออนไลน์ แต่ความแตกต่างที่ชัดเจน คือ มันไม่ได้ทำแบบส่งๆ หรือเพียงเพื่อเรียกยอดวิวเท่านั้น หากแต่เป็นการ “โหนกระแส” แบบมีแผน มีชั้นเชิง และมีเป้าหมายทางธุรกิจที่ชัดเจนอยู่เบื้องหลัง เช่น การเพิ่มยอดขาย เพิ่มการรับรู้แบรนด์ หรือ แม้แต่การ Reposition ภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย สนุก ทันเทรนด์ มากขึ้น

ทำไมกลยุทธ์นี้ถึงได้รับความนิยม?

เพราะในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคมีทางเลือกมากมาย และรับข้อมูลข่าวสารมหาศาลทุกวัน แบรนด์ที่นิ่งเฉย เคร่งขรึม หรือสื่อสารแบบเดิมๆ อาจถูกมองข้ามได้ง่ายมาก เพราะสิ่งที่ผู้คนบนโลกออนไลน์ให้ความสนใจคือ “สิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้” หรือ “เรื่องที่คนกำลังพูดถึงอยู่ในขณะนั้น” ดังนั้น หากแบรนด์สามารถ เข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเหล่านั้นได้อย่างแนบเนียน และยังสามารถแสดงความเป็นตัวตนของแบรนด์ได้ในเวลาเดียวกัน ก็จะยิ่งทำให้ผู้บริโภคจดจำแบรนด์นั้นได้ดีขึ้น เปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดๆ หากมีวงสนทนาใหญ่ที่คนกำลังพูดถึงเรื่องร้อนแรง แล้วอยู่ๆ แบรนด์ของคุณแทรกเข้ามาในบทสนทนาได้อย่างฉลาด ตลก หรือเฉียบคม ก็เหมือนการ “ขโมยซีน” ที่ผู้คนจะพูดถึงทันทีว่า “เออ แบรนด์นี้มันคิดได้ไง!” เป็นต้น

4 รูปแบบ ของ Hijack Marketing

4 รูปแบบของ Hijack Marketing

การทำการตลาดแบบไฮแจ็คไม่ได้มีแค่การโพสต์ตามกระแสอย่างลอยๆ เท่านั้น แต่สามารถวางแผนได้หลายแนวทาง แยกออกเป็นหมวดหมู่หลักๆ ตามรูปแบบของสิ่งที่แบรนด์เข้าไป “ขี่กระแส” หรือ “ขโมยซีน” ซึ่งสามารถสรุปได้ 4 รูปแบบ ดังนี้ครับ

1. Hijack กระแสข่าว / เทรนด์สังคม

นี่คือรูปแบบที่พบได้บ่อยที่สุดในยุคโซเชียลมีเดียเฟื่องฟู โดยแบรนด์จะใช้เหตุการณ์ที่กำลังเป็นประเด็นร้อนในสังคม เช่น ข่าวดราม่า คนดัง การเมือง หรือเทรนด์ที่กำลังพูดถึงกันในโซเชียล เช่น Tiktok Trends, Hashtag Twitter, หรือกระแส Meme ต่างๆ มา “ตีความใหม่” ให้เข้ากับสินค้า หรือสร้างมุกตลก (meme-based marketing) เพื่อเรียกยอดแชร์และการมีส่วนร่วมจากผู้บริโภค

จุดเด่น : เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีบุคลิกสนุก สดใส ตลก หรือกล้าเล่นกับบริบทสังคม ใช้ต้นทุนไม่สูง เน้นความคิดสร้างสรรค์และความเร็วเป็นหลัก

ตัวอย่าง : เมื่อเกิดกรณี “ดราม่าพิซซ่าหน้าเป๊ปซี่” ซึ่งเป็นกระแสดังบนโซเชียล แบรนด์ในอุตสาหกรรมอาหารหลายเจ้าก็รีบคว้าโอกาส เช่น การโพสต์แซวว่า “เราไม่เปลี่ยนใจจากโค้กนะจ๊ะ” พร้อมภาพพิซซ่าหน้าโค้กล้วนๆ จนกลายเป็นไวรัลแบรนด์ขนมบางรายเคยเล่นมุกเกี่ยวกับ “งูเห่าในสภา” โดยออกแพ็คเกจงูเห่าเลื้อยในซองขนม ซึ่งแม้จะมีโทนการเมืองเบาๆ แต่ก็โดนใจกลุ่มผู้บริโภคที่อินกับข่าวการเมือง

ข้อควรระวัง : ควรระวังเรื่อง “ความละเอียดอ่อน” ของประเด็น เช่น ประเด็นที่เกี่ยวกับเพศ ศาสนา ความรุนแรง หรือภัยพิบัติ เพราะอาจเกิดผลเสียมากกว่าผลดี ต้องอ่านเกมไว ไม่เช่นนั้นจะตกเทรนด์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง

2. Hijack อีเวนต์ของแบรนด์อื่น

รูปแบบนี้ถือเป็นการ “ขโมยซีน” อย่างแท้จริง เพราะแบรนด์หนึ่งกำลังจัดกิจกรรมหรืองานใหญ่ และแบรนด์อีกเจ้าเข้าไปใช้โอกาสนั้นเพื่อเรียกความสนใจ โดยอาจอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง หรือปล่อยคอนเทนต์ที่เชื่อมโยงกับกิจกรรมโดยไม่พูดชื่อแบรนด์เป้าหมายตรงๆ ถือว่าเป็นการแสดงตัวตนของแบรนด์แบบ แสบๆ คันๆ แต่ฉลาดมาก

จุดเด่น : เหมาะสำหรับแบรนด์ที่มีความมั่นใจในตัวตน กล้าสร้างสีสัน และพร้อมเสี่ยงแบบมีแผน สามารถใช้ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์

ตัวอย่าง : แบรนด์ Red Bull เคย Hijack งานแข่ง Formula 1 ที่ตนเองไม่ได้เป็นผู้สนับสนุน ด้วยการส่งทีมแจกเครื่องดื่มในชุดทีมแข่งคล้ายกับของจริง บริเวณรอบงาน ทำให้หลายคนเข้าใจผิดว่า Red Bull เป็นสปอนเซอร์ และโพสต์ลงโซเชียลมากมาย

อีกตัวอย่าง คือ แบรนด์มือถือรายหนึ่งเคยจัดบูธแจกส่วนลดและของแถมบริเวณใกล้กับงานเปิดตัวมือถือรุ่นใหม่ของคู่แข่ง โดยโปรโมทว่า “ไม่ต้องรอรุ่นใหม่ แค่เปลี่ยนวันนี้ก็คุ้ม” ซึ่งทำให้เกิดกระแสเปรียบเทียบทันทีทันใดข้อควรระวัง : อย่ารุกล้ำสิทธิ์ของแบรนด์เจ้าภาพ เช่น การละเมิดลิขสิทธิ์ โลโก้ หรือตราสินค้า ควรใช้วิธี “เล่นเนียน” ไม่สร้างความเกลียดชังหรือกระแสตีกลับ

3. Hijack วันสำคัญหรือเทศกาล

หนึ่งในโอกาสทองที่แบรนด์สามารถ Hijack ได้คือ ช่วงวันพิเศษหรือเทศกาล เช่น วันวาเลนไทน์ สงกรานต์ วันแม่ วันพ่อ วันสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่วันที่เกี่ยวกับการเมือง เช่น วันเลือกตั้ง เพราะคนมักจะเปิดรับเนื้อหาที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์เหล่านี้ และสามารถเกิดเป็นอารมณ์ร่วมได้ง่าย

จุดเด่น : เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการทำ Real-Time Campaign ในระยะสั้น ทำให้แบรนด์ดู “เข้าใจผู้บริโภค” และ “มีส่วนร่วมกับชีวิตประจำวันของคน”

ตัวอย่าง : KFC เคยออกแคมเปญวันวาเลนไทน์ว่า “Love is Crispy” พร้อมออกถังใส่ไก่ลายหัวใจเฉพาะกิจ แถมมีเพลงธีมและโปรโมชั่นสำหรับคู่รัก ส่งผลให้กลายเป็นกระแสแชร์ไปทั่ว TikTok แบรนด์น้ำดื่มรายหนึ่ง Hijack วันเลือกตั้งด้วยการปล่อยคลิปว่า “เลือกใครไม่รู้ แต่เลือกดื่มน้ำต้อง…(แบรนด์เรา)” พร้อมแจกน้ำฟรีหน้าหน่วยเลือกตั้งในบางพื้นที่

ข้อควรระวัง : หากเป็นเทศกาลที่เกี่ยวข้องกับศาสนาหรือความเชื่อ ต้องระวังการนำเสนอที่อาจลบหลู่ หรือดูเป็นการค้ากำไรเกินควร ไม่ควรทำซ้ำกับแคมเปญเดิมทุกปี และควรมีความแปลกใหม่

4. Hijack แบรนด์คู่แข่งโดยตรง (เชิงรุก)

นี่คือรูปแบบที่เป็นเชิงรุกที่สุด และเสี่ยงที่สุดแต่ก็สามารถสร้างการพูดถึงได้มากที่สุดเช่นกัน โดยเฉพาะในวงการที่การแข่งขันสูง เช่น โทรคมนาคม แบรนด์น้ำอัดลม มือถือ หรือฟาสต์ฟู้ด ซึ่งมีการแข่งขันกันด้าน Positioning ตลอดเวลา

จุดเด่น : เหมาะกับแบรนด์ที่มีพลังและความกล้า พร้อมสู้แบบสร้างสรรค์ หากทำได้เนียนจะกลายเป็นตำนานทางการตลาดได้เลย

ตัวอย่าง : Pepsi เคยทำโฆษณาในตู้ขายอัตโนมัติ โดยให้เด็กปีนขึ้นไปกด Coke 2 กระป๋อง เพื่อใช้เหยียบยืนแล้วกด Pepsi ได้ ซึ่งเป็นการแซะคู่แข่งแบบจิกๆ แสบๆ แต่กลับได้เสียงชื่นชมในด้านความคิดสร้างสรรค์ หรือ Burger King เคยแซว McDonald’s ว่า “เบอร์เกอร์เรามีเนื้อเยอะพอ จนต้องใช้สองมือจับ” พร้อมเปรียบเทียบขนาดโดยไม่พูดชื่อแบรนด์ตรงๆ แต่ทุกคนก็รู้ว่าแซะใคร เป็นต้น

ข้อควรระวัง : เสี่ยงต่อการฟ้องร้องเรื่องพาดพิงหรือการเปรียบเทียบโดยไม่เหมาะสม ดังนั้นต้องวางกลยุทธ์ให้ดีและไม่ใช้ภาษาหรือภาพที่ดู “รุนแรงเกินไป”สรุปแล้ว การทำการตลาดแบบไฮแจ็คนั้นมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าแบรนด์ต้องการ “โหน” หรือ “ขโมยซีน” จากอะไร ข่าว เทรนด์ อีเวนต์ เทศกาล หรือแม้กระทั่งจากคู่แข่งโดยตรงแต่ไม่ว่าจะเลือกวิธีไหน สิ่งสำคัญ คือ ต้องไว ต้องคิดให้รอบด้าน และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องไม่ลืมตัวตนของแบรนด์ เพราะถ้า Hijack อย่างเดียว แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงกลับมาสู่สินค้า/บริการหรือคุณค่าแบรนด์ได้เลย สุดท้ายแล้วก็จะเป็นแค่กระแสสั้นๆ ที่ไม่สร้างผลลัพธ์ระยะยาวใดๆ

ประโยชน์ของ Hijack Marketing

ประโยชน์ของ Hijack Marketing

ในยุคที่ผู้บริโภคเสพสื่อแบบเรียลไทม์ และเทรนด์ต่างๆ เปลี่ยนทุกวัน การทำตลาดแบบเดิมอาจไม่พออีกต่อไป ดังนั้น “การตลาดแบบขโมยซีน” หรือ “การตลาดโหนกระแส” จึงเป็นกลยุทธ์สุดแยบยลที่หลายแบรนด์สามารถเลือกใช้ได้ แม้จะดูเป็นกลยุทธ์ที่เล่นกับกระแสสังคมและความไว แต่ความจริงแล้วการตลาดแบบนี้ไม่ใช่แค่การโพสต์ไวเท่านั้น หากวางแผนและใช้ให้ถูกจังหวะ จะสามารถสร้างผลลัพธ์ทางการตลาดที่ทรงพลังได้อย่างน่าทึ่ง ในส่วนนี้เราจะพาคุณไปเจาะลึก ประโยชน์ของการตลาดแบบไฮแจ็ค และเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ยุคใหม่ถึงควรมีเทคนิคนี้อยู่ในคลังกลยุทธ์การตลาดของตัวเองครับ

1. ดึงความสนใจจากผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็ว

หนึ่งในหัวใจหลักของการตลาดแบบไฮแจ็ค คือ ความ “ไว” ซึ่งเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในโลกออนไลน์ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็ว และจบเร็ว หากแบรนด์สามารถเข้าไปมีส่วนร่วมในกระแสหรือประเด็นที่คนกำลังพูดถึงได้แบบพอดิบพอดี ก็สามารถดึงความสนใจของผู้บริโภคได้ในทันที โดยไม่ต้องลงทุนมากในสื่อโฆษณาแบบเดิม

ตัวอย่าง : เมื่อมีข่าวดราม่าหรือมีเทรนด์ใหม่ๆ บน Twitter หรือ TikTok แบรนด์ที่สามารถปล่อยโพสต์ หรือตอบสนองอย่างสร้างสรรค์ภายในไม่กี่ชั่วโมง มักจะได้ยอดแชร์ ยอดไลก์ และการพูดถึงแบบมหาศาล โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแม้แต่บาทเดียว

2. สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) แบบไวรัล

แบรนด์ที่ทำการตลาดแบบไฮแจ็คได้ดีมักจะกลายเป็นไวรัล และทำให้คนจำนวนมาก “จำแบรนด์ได้” แม้จะยังไม่เคยใช้สินค้าหรือบริการเลยก็ตามเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นคือแบรนด์กลายเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนา (conversation) ในช่วงเวลานั้น ถ้าคอนเทนต์โดนใจ หรือมีไอเดียแปลกใหม่ ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะถูกแชร์ต่อ และกลายเป็นหัวข้อสนทนาในโลกออนไลน์

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น 

  • เพิ่มการมองเห็นแบรนด์โดยอัตโนมัติ (organic reach)
  • ขยายฐานผู้รู้จักแบรนด์สู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ
  • สร้างภาพจำให้แบรนด์ดูทันสมัย สนุก และเข้าใจโลก

3. ใช้งบประมาณน้อย แต่ได้ผลตอบรับสูง

หนึ่งในข้อดีที่เด่นชัดของการตลาดแบบไฮแจ็ค คือ “ความคุ้มค่า” เพราะโดยพื้นฐานแล้ว กลยุทธ์นี้ไม่จำเป็นต้องใช้งบโฆษณามากมาย หากมีทีมครีเอทีฟที่เก่ง มีสายตาไว และรู้ว่าควรเล่นกับกระแสอย่างไร โพสต์เดียวก็สามารถสร้าง Impact ได้มากกว่าการซื้อแอดเป็นหมื่น เมื่อเทียบกับกลยุทธ์อื่น เช่น influencer marketing หรือโฆษณา TV ที่ใช้ต้นทุนสูง การทำการตลาดแบบไฮแจ็คที่ถูกจังหวะ และมีความคิดสร้างสรรค์ สามารถกลายเป็น “ไวรัลราคาถูก” ได้ทันที

4. สร้างภาพลักษณ์ว่าแบรนด์ทันสมัยและเข้าใจผู้บริโภค

ผู้บริโภคในปัจจุบัน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เช่น Gen Z และ Millennials มักจะชื่นชอบแบรนด์ที่ “เข้าใจโลก เข้าใจเทรนด์” และพร้อมปรับตัวตลอดเวลาการที่แบรนด์สามารถออกคอนเทนต์ที่สอดคล้องกับกระแสสังคม หรือร่วมเล่นมุกกับเหตุการณ์ที่คนพูดถึงกันอยู่ แสดงให้เห็นถึงความ “เป็นมนุษย์” ของแบรนด์ และทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์นั้น “ใกล้ชิด” กับชีวิตประจำวันมากขึ้น

ยกตัวอย่าง

  • แบรนด์อาหารที่แซวเหตุการณ์ข่าวดารา
  • แบรนด์มือถือที่เล่นกับเทรนด์ meme
  • หรือแม้แต่แบรนด์ธนาคารที่ออกคอนเทนต์ตอบสนองดราม่าเศรษฐกิจอย่างมีอารมณ์ขัน

ทั้งหมดนี้คือวิธีที่แบรนด์สร้างภาพลักษณ์ “ทันโลก” ได้โดยไม่ต้องพูดตรงๆ ว่า “เราเข้าใจคุณ”

5. สร้าง Engagement และยอดแชร์ในโซเชียล

คอนเทนต์ที่ดีในโลกของการตลาดแบบไฮแจ็คมักจะเป็นคอนเทนต์ที่ “ชวนให้แชร์” เช่น:

  • ตลกจนอดแชร์ไม่ได้
  • เฉียบคมจนต้องบอกต่อ
  • หรือบางครั้งก็จิกกัดแบบเจ็บแต่จริง

สิ่งเหล่านี้กระตุ้นให้คนมีส่วนร่วมกับแบรนด์ ทั้งในรูปแบบของการกดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ หรือแม้แต่การนำแบรนด์ไปพูดถึงในโพสต์ของตัวเอง และยิ่งมีการมีส่วนร่วมมากเท่าไร ก็ยิ่งขยายขอบเขตการเข้าถึงแบบไวรัลมากขึ้น โดยไม่ต้องจ่ายเงินซื้อโฆษณาเลย  

6. ตอบสนองได้ทันเหตุการณ์ ช่วยกระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า

ในหลายกรณี การตลาดแบบไฮแจ็คไม่ได้เกิดจากการโพสต์เชิงรุกเท่านั้น แต่ยังสามารถใช้เพื่อตอบสนองแบบเรียลไทม์ (Real-time Interaction) กับลูกค้าได้เช่นกัน เช่น:

  • การตอบกลับคอมเมนต์ลูกค้าด้วยมุกทันกระแส
  • การปรับดีไซน์หน้าเว็บไซต์ให้เข้ากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
  • หรือแม้แต่การแจกโปรโมชั่นพิเศษตามเทรนด์ เช่น “ถ้าใครชื่อเหมือนดาราที่กำลังเป็นข่าว รับส่วนลดพิเศษวันนี้!”

การสื่อสารแบบนี้จะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกสนุกและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้นได้ในระยะยาว

7. ตอบโต้คู่แข่งอย่างมีชั้นเชิง

ในบางกรณีการตลาดแบบไฮแจ็ค ยังสามารถใช้เป็น เครื่องมือในการตอบโต้ หรือแซะคู่แข่ง ได้อย่างแนบเนียน ซึ่งหากทำได้ถูกต้องและสร้างสรรค์ จะทำให้แบรนด์ดู “ฉลาดและมีลูกเล่น” มากกว่าการตอบกลับแบบเคร่งขรึมตัวอย่างในตำนาน เช่น Pepsi แซะ Coke Burger King แซะ McDonald’s หรือแม้แต่ในไทยเอง แบรนด์แฟชั่นบางแบรนด์ยังเคยใช้วิธีโพสต์ตัดพ้อประชดกระแสคู่แข่งด้วยอารมณ์ขันจนทำให้คนแห่แชร์และพูดถึงแบรนด์นั้นมากขึ้น เป็นต้น

 

วิธีทำ Hijack Marketing ให้สำเร็จ

วิธีทำ Hijack Marketing ให้สำเร็จ
Hijack Marketing คือการตลาดแบบ “แย่งกระแส” หรือ “สวมกระแส” ซึ่งแบรนด์จะเข้าไปมีส่วนร่วมในประเด็นร้อน แฮชแท็กดัง เทรนด์ที่กำลังเป็นที่พูดถึง หรือแม้แต่เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับคู่แข่ง เพื่อสร้างการรับรู้และกระตุ้นการมีส่วนร่วมจากกลุ่มเป้าหมาย
 

1. เข้าใจประเภทของ Hijack Marketing

ก่อนที่แบรนด์จะเริ่มวางกลยุทธ์การตลาดแบบการตลาดแบบไฮแจ็ค ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ “ต้องเข้าใจประเภทของ Hijack” ให้ชัดเจนเสียก่อน เพราะแม้จะมีรากแนวคิดเดียวกันคือ “การฉกฉวยโอกาสจากกระแสหรือสิ่งที่คนกำลังให้ความสนใจ” แต่วิธีการลงมือและจุดประสงค์ของแต่ละแบบอาจแตกต่างกัน โดยสามารถจำแนกออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

  • Trend Hijack ปรากฏการณ์กระแสต้องมาก่อน!

Trend Hijack คือ การอาศัยกระแสที่กำลังมาแรงในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องบันเทิง ข่าวสาร ดราม่า กระแสบนโซเชียลมีเดีย หรือมีมต่าง ๆ แล้วนำมาเชื่อมโยงเข้ากับแบรนด์หรือสินค้าของตัวเอง เพื่อสร้างคอนเทนต์ที่มีความ “ร่วมสมัย” และเข้าถึงผู้บริโภคได้แบบทันที

วัตถุประสงค์ : สร้าง Engagement แบบรวดเร็ว ดึงดูดสายตา และทำให้แบรนด์ “ไม่ตกเทรนด์”

ตัวอย่าง :   เมื่อ TikTok มีเทรนด์คนเต้นเพลงใหม่ แบรนด์เสื้อผ้าส่งอินฟลูเอนเซอร์ใส่ชุดของตัวเองไปเต้นตามเทรนด์นั้น และแทรกชื่อแบรนด์ในคอนเทนต์อย่างแนบเนียน

เคล็ดลับ : ต้องทำเร็ว! เพราะกระแสมีอายุสั้นมาก อะไรที่ช้าไปเพียงวันเดียวก็อาจกลายเป็นคอนเทนต์ตกขอบไปแล้ว

  • Event Hijack งานของใครไม่สำคัญ ขอให้คนเยอะไว้ก่อน

Event Hijack คือ การเข้าไปมีบทบาทหรือแสดงตัวในกิจกรรมที่มีคนจับตามอง ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมสาธารณะ เทศกาลประจำปี งานแข่งขันกีฬา งานดนตรี หรือแม้แต่งานที่จัดโดยแบรนด์คู่แข่ง โดยเป้าหมายคือการ “แย่งซีน” หรืออย่างน้อยก็แทรกตัวให้ผู้คนเห็นแบรนด์ของเราในจังหวะที่กำลังมีผู้ชมเยอะ

วัตถุประสงค์ : ใช้โอกาสจากความสนใจของคนหมู่มากเพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness)

ตัวอย่าง :  แบรนด์น้ำดื่มแจกผลิตภัณฑ์ฟรีหน้าอีเวนต์ของคู่แข่ง โดยตั้งซุ้มเล็ก ๆ ตรงทางเข้า พร้อมป้ายว่า “เติมความสดชื่นก่อนใคร” ทำให้คนถ่ายรูปและแชร์ต่อกันในโซเชียล หรือ ในเทศกาลสงกรานต์ แบรนด์โลชั่นกันแดดจัดกิจกรรมพ่นน้ำหน้าเซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมแคปชัน “เปียกได้ แดดไม่เผา” และแจกสินค้าทดลองให้ผู้ร่วมงานฟรี

เคล็ดลับ : อย่ารบกวนหรือแย่งซีนมากจนเกิดการต่อต้าน เพราะอาจทำให้คนมองว่าแบรนด์ไม่มีมารยาทได้

  • Hashtag Hijack เมื่อแฮชแท็กคือเวที

Hashtag Hijack เป็นการใช้แฮชแท็กที่กำลังได้รับความนิยมบนแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น Twitter, TikTok, Instagram หรือ Facebook แล้วแทรกคอนเทนต์ของแบรนด์ลงไปให้สอดคล้องกับแฮชแท็กนั้น โดยอาจไม่เกี่ยวกับสินค้าตรง ๆ แต่พยายามผูกโยงอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้คนเห็นโพสต์ของแบรนด์จากการเสิร์ชหรือคลิกดูแฮชแท็ก

วัตถุประสงค์ : เพิ่มการมองเห็น (Visibility) และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่สนใจแฮชแท็กนั้นอยู่แล้ว

ตัวอย่าง :  ช่วงที่แฮชแท็ก #เปิดกล่องสุ่ม กำลังฮิตบน TikTok แบรนด์เครื่องสำอางส่งอินฟลูเอนเซอร์เปิดกล่องสุ่มที่ภายในเป็นสินค้าของตัวเอง และแปะแฮชแท็กที่กำลังเป็นเทรนด์ หรือ เมื่อมีดราม่า #งานเข้า บน Twitter แบรนด์หมอนเพื่อสุขภาพโพสต์รูปสินค้าพร้อมแคปชัน “งานจะเข้าแค่ไหน…แต่ต้องพักให้พอ” พร้อมติดแฮชแท็ก #งานเข้า อย่างแนบเนียน

เคล็ดลับ : อย่าใช้แฮชแท็กมั่วซั่ว เพราะอาจถูกมองว่าเป็นการสแปมหรือ Hijack แบบไร้สาระ

  • Competitor Hijack เมื่อศัตรูกลายเป็นจุดเริ่มของความสนุก

Competitor Hijack คือ การทำการตลาดโดยเล่นกับแบรนด์คู่แข่ง ไม่ว่าจะเป็นการตอบโต้ด้วยอารมณ์ขัน การโฆษณาในพื้นที่เดียวกับคู่แข่ง หรือการสื่อสารที่เนียนแขวะเพื่อให้แบรนด์ของเราเด่นกว่า เป็นเทคนิคที่ต้องใช้ความระมัดระวัง แต่หากทำดี จะกลายเป็นไวรัลได้ง่ายมาก

วัตถุประสงค์ : สร้างภาพแบรนด์ที่เฉียบแหลม ทันเกม และมีบุคลิกโดดเด่น

ตัวอย่าง : Burger King ซื้อโฆษณาบน Google Search สำหรับคำว่า “McDonald’s” เพื่อให้โฆษณาตัวเองขึ้นอันดับหนึ่ง โดยเนื้อหาโฆษณา คือ “เบอร์เกอร์ย่างด้วยเปลวไฟแท้ ๆ รอคุณอยู่!” สื่อถึงคุณภาพที่แตกต่างจากคู่แข่ง หรือ เมื่อคู่แข่งเปิดตัวเมนูใหม่ แบรนด์เราโพสต์ภาพสินค้าเดิมของตัวเองพร้อมแคปชัน “ของใหม่ไม่จำเป็นต้องดีกว่าเสมอไป ของดีอยู่ตรงนี้มาตลอด :)” แบบมีลูกเล่นแต่ไม่แขวะแรง เป็นต้น

เคล็ดลับ : ต้องเข้าใจบุคลิกแบรนด์ตนเองและความสัมพันธ์กับคู่แข่งดี เพราะหากเล่นผิดจังหวะ อาจกลายเป็นภาพลบแทน การตลาดแบบไฮแจ็ค เป็นศาสตร์และศิลป์ของการ “เล่นกับจังหวะ” และ “จับกระแสให้แม่น” ซึ่งแต่ละรูปแบบมีเทคนิคและโทนการสื่อสารที่ต่างกัน แบรนด์ควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับจุดประสงค์และอัตลักษณ์ของตนเอง ไม่ใช่แค่เพื่อสร้างยอดวิวหรือไวรัล แต่เพื่อยืนหยัดในใจผู้บริโภคอย่างยั่งยืน

2. ขั้นตอนการสร้าง Hijack Marketing ให้สำเร็จ

  • สังเกตและวิเคราะห์กระแสอย่างไว

หัวใจของการตลาดแบบไฮแจ็ค คือ “ความเร็ว” นักการตลาดต้องตามทันกระแสและวิเคราะห์ได้อย่างรวดเร็วว่าเทรนด์ไหนเหมาะจะใช้กับแบรนด์ของตน เช่น ใช้เครื่องมืออย่าง Google Trends, X (Twitter) Trending, TikTok Discover มีทีมคอยจับกระแสตลอดเวลา (real-time content team) พิจารณากระแสที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและภาพลักษณ์ของแบรนด์

 
  • วางกลยุทธ์เชิงสร้างสรรค์

การ Hijack ที่ได้ผลไม่ใช่แค่การโพสต์ตามเทรนด์ แต่ต้อง “บิด” ให้มีมุมมองใหม่และสร้างสรรค์ เช่น หาจุดเชื่อมโยงระหว่างกระแสกับแบรนด์เล่าเรื่องด้วยน้ำเสียง (tone) ที่ตรงกับบุคลิกของแบรนด์ สร้างคอนเทนต์ที่มีอารมณ์ร่วม เช่น ตลก ซึ้ง ดราม่า หรือเหนือความคาดหมาย

 
  • ลงมืออย่างรวดเร็ว

Hijack ที่ช้าเท่ากับพลาด แบรนด์ต้องเตรียมเครื่องมือและทีมให้พร้อม ระบบออกแบบคอนเทนต์ฉับไว (Templates, Fast Approval) ใช้ Social Media เป็นช่องทางหลัก เพราะกระจายได้เร็ว หากเป็นอีเวนต์ ควรมีทีมลงพื้นที่พร้อมประสานงานแบบ Realtime

 
  • วัดผลและเรียนรู้

ทุกแคมเปญ Hijack ควรมีการวัดผล เช่น ยอด Reach และ Engagement ยอดขายที่เกิดขึ้น (ถ้ามีลิงก์หรือโค้ดเฉพาะ) การกล่าวถึงแบรนด์ในแง่บวก/ลบ (Sentiment Analysis) เรียนรู้ข้อผิดพลาดและสิ่งที่เวิร์ก เพื่อปรับใช้ในอนาคต

 

3. เคล็ดลับการทำ Hijack Marketing ให้ได้ผลจริง

  • จงกล้าพอ แต่ไม่ล้ำเส้น

การตลาดแบบไฮแจ็ค ที่ดีต้องกล้าเล่นในพื้นที่ที่คนกำลังสนใจ แต่ต้องไม่ไปเหยียบเส้นทางจริยธรรมหรือความอ่อนไหว เช่น ศาสนา การเมือง หรือเหตุการณ์เศร้าสลด

 
  • ใส่ความเป็น “ตัวตนแบรนด์” ลงไป

ต่อให้แย่งกระแสเก่งแค่ไหน ถ้าแบรนด์ไม่มีความชัดเจนก็จะไม่ยั่งยืน คอนเทนต์ทุกชิ้นควรสะท้อนบุคลิกของแบรนด์ เช่น แบรนด์ตลก = ใช้ความขบขันเบา ๆ แบรนด์หรู = เสนอความคิดในเชิงลึกหรือมุมมองเฉพาะ แบรนด์เพื่อสังคม = เชื่อมโยงกับประเด็นที่มีความหมาย

 
  • ใช้มีม (Meme) อย่างมีชั้นเชิง

มีมคือเครื่องมือยอดฮิตในการทำการตลาดแบบไฮแจ็ค เพราะเข้าใจง่าย แพร่กระจายเร็ว และเข้าถึงคนรุ่นใหม่ได้ดี แต่ต้อง อัปเดตมีมใหม่ ๆ เสมอ และปรับให้เข้ากับสินค้า/บริการ อย่าทำให้ดูพยายามเกินไป หรือฝืนความจริง

 

4. เครื่องมือเสริมช่วยให้ Hijack สำเร็จ

การทำการตลาดแบบไฮแจ็คให้ได้ผลนั้นไม่ได้อาศัยแค่ไอเดียสดใหม่หรือความกล้าลุยกับกระแสเท่านั้น แต่ยังต้องอาศัยเครื่องมือที่ “เร็ว-แม่น-ยืดหยุ่น” เพื่อช่วยให้ทีมสามารถผลิตคอนเทนต์ ติดตามเทรนด์ และตอบสนองต่อเหตุการณ์ได้แบบ เรียลไทม์ โดยเฉพาะในยุคที่ทุกวินาทีคือโอกาสในการเข้าถึงผู้บริโภคต่อไปนี้คือเครื่องมือสำคัญที่คนทำการตลาดแบบไฮแจ็คไม่ควรมองข้าม

  • Canva / Figma ตัวช่วยสร้างกราฟิกฉับไวแบบมืออาชีพ

ในโลกของการตลาด Hijack เวลาเป็นสิ่งสำคัญที่สุด คุณอาจมีไอเดียโพสต์ล้อเทรนด์ได้ภายในไม่กี่นาที แต่ถ้าไม่มีกราฟิกสวย ๆ ที่ดึงดูดสายตา โพสต์นั้นก็อาจหลุดโอกาสกลายเป็นไวรัลได้เช่นกัน

Canva : เหมาะสำหรับทีมการตลาดที่ไม่ใช่กราฟิกดีไซเนอร์ มีเทมเพลตมากมายที่พร้อมใช้ ไม่ว่าจะเป็น Instagram Post, Story, Facebook Ads หรือ TikTok Thumbnails ฟีเจอร์ Drag & Drop ทำให้สามารถสร้างภาพได้ในเวลาไม่กี่นาที รองรับการแก้ไขร่วมกันแบบเรียลไทม์

Figma : เหมาะกับทีมที่ต้องการความแม่นยำเรื่องดีไซน์มากขึ้น ทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์บนคลาวด์ เหมาะสำหรับการสร้างกราฟิกที่ซับซ้อน หรือการออกแบบ UI / UX ที่ต้องใช้หลายเลเยอร์ ใช้ได้ดีทั้งในระดับทีมเล็กและองค์กรขนาดใหญ่

ตัวอย่างการใช้งาน : เมื่อมีข่าวดราม่าซีรีส์ดังในคืนนี้ ทีมการตลาดสามารถใช้ Canva สร้างภาพล้อเลียนหรือ Meme ทันทีในเช้าวันรุ่งขึ้น แล้วโพสต์พร้อมแคปชันโดนใจเพื่อเข้ากับกระแสนั้นทันเวลา

  • ChatGPT / Copy.ai  ตัวช่วยคิดแคปชัน คอนเทนต์ และไอเดียแบบด่วนจี๋

ในหลายกรณี การจะ Hijack เทรนด์ให้ทันเวลา ไม่ได้มีเวลามานั่งคิด Copy หรือแคปชันนานเป็นชั่วโมง เครื่องมืออย่าง ChatGPT หรือ Copy.ai จะเข้ามาช่วยเสริมทีมครีเอทีฟให้คิดคำโฆษณา ข้อความ หรือไอเดียคอนเทนต์ได้ไวขึ้นหลายเท่า

ChatGPT : ช่วยร่างแคปชันหลายสไตล์ เช่น ขำขัน ดราม่า หรืออินฟอร์มอล สรุปประเด็นกระแสดังให้ง่ายต่อการสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย ใช้สร้าง Call-to-Action และคำโปรโมตแบบเร่งด่วนได้

Copy.ai : เหมาะกับการสร้าง Copy โฆษณาสำเร็จรูปโดยใช้ AI มีเทมเพลตสำหรับเขียนโพสต์โซเชียล, แคปชัน Instagram, สโลแกน, หัวข้อบทความ ฯลฯ ช่วยร่นเวลาคิดคอนเทนต์และลดภาระของทีม Creative

ตัวอย่างการใช้งาน : เมื่อเกิด Hashtag #แฟนคลับดราม่า บน Twitter แบรนด์สามารถใช้ ChatGPT เพื่อให้ร่างแคปชันที่แซวเบา ๆ ได้หลายแนว เช่น “เมื่อคุณอยู่ตรงกลางระหว่าง #ทีมพระเอก กับ #ทีมพระรอง แต่เราเลือกอยู่ทีมลูกค้าตลอดไป” เพียงคัดลอก ตัดแต่งเล็กน้อย แล้วโพสต์ประกบกับกราฟิกที่ทำไว้ด้วย Canva หรือ Figma

  • Google Trends / Talkwalker ตัวช่วยล่ากระแสก่อนใคร

เครื่องมือประเภท “วิเคราะห์กระแส” หรือ Trend Monitoring คือหัวใจของการตลาดแบบไฮแจ็คที่แท้จริง เพราะถ้าคุณรู้ช้ากว่าคนอื่น แคมเปญที่เตรียมไว้อาจกลายเป็น “ข่าวเก่า” ไปทันที

Google Trends : วิเคราะห์คำค้นหายอดนิยมตามประเทศ จังหวัด หรือช่วงเวลา ช่วยระบุว่าเทรนด์ไหนกำลังมาแรง และกำลังขึ้นหรือลง เหมาะสำหรับการหาคีย์เวิร์ดกระแสมาเล่นในคอนเทนต์ เช่น ช่วงบอลโลก, ข่าวดารา, เทรนด์สุขภาพ

Talkwalker : เครื่องมือ Social Listening ระดับมืออาชีพ ติดตามเทรนด์บนโซเชียลมีเดียหลายแพลตฟอร์ม เช่น Facebook, Twitter, Instagram, YouTube วิเคราะห์คำที่ถูกพูดถึงบ่อย, เซนติเมนต์ของคอนเทนต์ (บวก/ลบ/กลาง) ระบุอินฟลูเอนเซอร์ที่มีอิทธิพลในกระแสนั้น ๆ ได้

ตัวอย่างการใช้งาน : เมื่อเห็นว่า “คำว่า โซจูแตงโม” มีการค้นหาเพิ่มขึ้นผิดปกติใน Google Trends ทีมมาร์เก็ตติ้งของแบรนด์เครื่องดื่มสามารถรีบผลิตคอนเทนต์เกี่ยวกับสูตรโซจูแตงโมจากสินค้าของตัวเอง พร้อมโพสต์ภายในวันเดียว สร้างกระแสแบบ ride-on ได้ทันที

  • Sprout Social / Hootsuite ตัวช่วยจัดการโซเชียลมีเดียแบบทันเหตุการณ์ 

ต่อให้คอนเทนต์ดีขนาดไหน ถ้าลงผิดเวลา หรือจัดการการโพสต์ไม่ทัน ก็อาจพลาดโอกาสสำคัญ เครื่องมืออย่าง Sprout Social และ Hootsuite จะช่วยให้แบรนด์สามารถวางแผน ปรับแคมเปญ และตอบโต้แบบ “เรียลไทม์” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Sprout Social : วางแผนคอนเทนต์ล่วงหน้าได้ พร้อมระบบจัดตารางโพสต์อัตโนมัติ วิเคราะห์ข้อมูลอินไซต์เชิงลึก เช่น engagement, best time to post ตอบกลับข้อความคอมเมนต์ หรืออินบ็อกซ์หลายแพลตฟอร์มจากแดชบอร์ดเดียว

Hootsuite : รองรับการจัดการหลายบัญชีโซเชียลพร้อมกัน (Facebook, Instagram, Twitter, LinkedIn ฯลฯ) เหมาะสำหรับการตั้งเวลาโพสต์แบบรวดเร็ว มีระบบแจ้งเตือนหากมีแฮชแท็กหรือชื่อแบรนด์ถูกพูดถึงในโลกโซเชียล

ตัวอย่างการใช้งาน : หากทีมเห็นว่าเทรนด์ #Saveชาวนา กำลังถูกพูดถึงใน Twitter ทีมสามารถสร้างโพสต์สนับสนุนแคมเปญนี้ และใช้ Hootsuite ตั้งเวลาให้โพสต์ไปยังทุกช่องทางภายใน 15 นาที พร้อมตอบคอมเมนต์แบบรวดเร็วเพื่อสร้าง Engagement ต่อเนื่อง

สรุปแล้ว อาจกล่าวได้ว่าหากแบรนด์ไหนมีเครื่องมือดีก็สามารถมีชัยไปกว่าครึ่ง อย่างไรก็ตามการตลาดแบบไฮแจ็คต้องอาศัยทั้ง “ความเร็ว” และ “ความคิดสร้างสรรค์” แต่เบื้องหลังทุกแคมเปญที่สำเร็จมักมีเครื่องมือดิจิทัลที่ช่วยซัพพอร์ตอย่างแข็งแรง ไม่ว่าจะเป็นด้านการผลิตคอนเทนต์ ติดตามกระแส หรือวางแผนการโพสต์อย่างมีประสิทธิภาพ หากแบรนด์สามารถบูรณาการเครื่องมือเหล่านี้เข้ากับการทำงานของทีมได้อย่างลงตัว โอกาสที่คอนเทนต์จะไวรัลหรือสร้างยอดขายจาก Hijack Marketing ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อควรระวังในการทำ Hijack Marketing

ข้อควรระวังในการทำ Hijack Marketing
แม้ว่าการตลาดแบบไฮแจ็คจะเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ทรงพลัง มีศักยภาพในการเปลี่ยนกระแสสังคมให้กลายเป็นโอกาสของแบรนด์ได้ในชั่วข้ามคืน แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็น “ดาบสองคม” ที่สามารถย้อนกลับมาทำร้ายแบรนด์ได้อย่างรุนแรง หากนำมาใช้อย่างไม่ระมัดระวัง หรือขาดความเข้าใจในธรรมชาติของกระแสที่กำลังถูก hijack อยู่ ดังนั้นนักการตลาดและเจ้าของแบรนด์ควรตระหนักถึงข้อควรระวังดังต่อไปนี้ก่อนจะลงมือเล่นกับกระแสใด ๆก็ตาม
 

 1. เข้าใจในเจตนาของกระแสผิดไป

หลายครั้งที่กระแสในโลกออนไลน์ดูเหมือนเป็นโอกาสที่ดีในการเกาะกระแสเพื่อดึงความสนใจของผู้บริโภค แต่หากแบรนด์เข้าใจผิดใน “เจตนารมณ์ที่แท้จริง” ของกระแสนั้น อาจกลายเป็นการเข้าไปทำลายความรู้สึกของผู้คนโดยไม่ตั้งใจ โดยเฉพาะในกรณีของกระแสที่เกี่ยวข้องกับเรื่อง **อ่อนไหวและละเอียดอ่อน** เช่น:

 
  • ประเด็นเกี่ยวกับเชื้อชาติ สีผิว หรือชาติพันธุ์
  •  การเหยียดเพศ หรือกลุ่ม LGBTQIA+
  • ศาสนา ความเชื่อ และวัฒนธรรมท้องถิ่น
  • ปัญหาสังคม เช่น ความรุนแรง ความยากจน หรือการล่วงละเมิดสิทธิมนุษยชน

ถ้าแบรนด์นำประเด็นเหล่านี้มาเล่นโดยไม่มีความเข้าใจบริบทอย่างลึกซึ้ง หรือไม่ใส่ใจถึงความรู้สึกของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็อาจถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจนกลายเป็น **ดราม่าที่ยากจะควบคุม** และนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างรุนแรงในระยะยาวตัวอย่าง : แบรนด์แฟชั่นระดับโลกบางแห่งเคยนำลวดลายหรือสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมพื้นเมืองมาใช้ในแคมเปญโฆษณาโดยไม่อธิบายหรือให้เครดิตอย่างเหมาะสม จนถูกกล่าวหาว่า “ขโมยวัฒนธรรม” หรือ “Cultural Appropriation”

 

2. ขาดการวางแผน หรือเตรียมความพร้อมไม่พอ

แม้ลักษณะของการตลาดแบบไฮแจ็ค จะดูเหมือนเป็นการเล่นกับกระแสแบบเฉพาะหน้า “ตามน้ำ” แต่ความจริงแล้ว เบื้องหลังของความสำเร็จ มักมาจากการวางแผนที่รอบคอบและยืดหยุ่น** หากแบรนด์เข้าสู่กระแสโดยไม่มีแผนรองรับ อาจนำไปสู่ความล้มเหลวที่คาดไม่ถึง เช่น

 
  • ไม่มีแผนสำรองในกรณีที่แคมเปญถูกต่อต้าน
  • ไม่มีทีมงานที่พร้อมรับมือกับการวิพากษ์วิจารณ์หรือดราม่าที่อาจเกิดขึ้น
  • ขาดความสามารถในการจัดการวิกฤตอย่างทันท่วงที
  • ไม่สามารถควบคุมการตีความของสื่อและผู้บริโภคได้

การ Hijack ที่ดีควรมี **แผนงานรองรับที่ชัดเจน** ตั้งแต่กระบวนการอนุมัติข้อความหรือคอนเทนต์ ไปจนถึงการจัดเตรียมโฆษกหรือผู้เชี่ยวชาญด้าน PR ที่จะออกมาชี้แจงเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ทั้งนี้เพื่อให้สามารถควบคุมสถานการณ์ และกู้ภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ทันท่วงที ทุกการ Hijack ควรมีการประเมินความเสี่ยงล่วงหน้า (Risk Assessment) และจำลองสถานการณ์ล่วงหน้าในกรณีที่เกิดปัญหา (Crisis Simulation)

 

3. สร้างความขัดแย้งกับคู่แข่งแบบไม่มีชั้นเชิง

การ Hijack กระแสจากแบรนด์คู่แข่ง หรือการตอบโต้แบรนด์อื่นด้วยวิธี “บลัฟกลับ” (Brand Banter) เป็นกลยุทธ์ที่เห็นได้บ่อยโดยเฉพาะในวงการอาหารจานด่วน แฟชั่น หรือโทรคมนาคม อย่างไรก็ตาม หากการโจมตีนี้

 
  • ขาดความสร้างสรรค์
  • เป็นการพูดจาหยาบคาย ดูหมิ่น หรือเหน็บแนมเกินพอดี
  • หรือจงใจใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม

ก็อาจกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาทำลายแบรนด์ของคุณเองได้เช่นกัน เพราะผู้บริโภคยุคใหม่ให้ความสำคัญกับ “ทัศนคติของแบรนด์” และ “ความมีจริยธรรม” มากขึ้น การโจมตีที่ไม่สร้างสรรค์อาจทำให้แบรนด์ของคุณถูกมองว่าใจแคบไร้คลาส หรือขาดความเคารพต่อผู้อื่น

 
ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์หนึ่งโพสต์ภาพเปรียบเทียบสินค้าตัวเองกับคู่แข่งพร้อมข้อความเสียดสีแบบตรง ๆ โดยไม่มีอารมณ์ขันหรือบริบทแฝง อาจโดนมองว่า “พยายามลดค่าคู่แข่งเพราะตัวเองไม่มีอะไรโดดเด่น” แทนที่จะทำให้ดูดีขึ้น
 
สรุปแล้วการตลาดแบบไฮแจ็ค เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังมากในการดึงความสนใจจากสาธารณชน แต่ก็ต้องใช้ อย่างมีชั้นเชิง มีแผนรองรับ และมีความเข้าใจในจริยธรรมของสังคม หากคุณต้องการสร้างความแตกต่างโดยไม่สร้างความเสียหาย จงจำไว้ว่าการ hijack อย่างมีศิลปะไม่ใช่แค่เกาะกระแส แต่ คือการเสริมสร้างภาพลักษณ์แบรนด์อย่างมีกลยุทธ์และความรับผิดชอบในเวลาเดียวกัน
 
การสร้าง การตลาดแบบไฮแจ็คที่ทรงพลัง ต้องอาศัย “หัวไว + ใจกล้า + มีจรรยาบรรณ” เพราะไม่ใช่เรื่องของดวงหรือความตลกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัย “เซนส์ของนักการตลาด” ที่เข้าใจบริบท รู้จังหวะ และมีความสร้างสรรค์ในการเปลี่ยนโอกาสเล็กๆ ให้เป็นกระแสใหญ่ได้ ถ้าแบรนด์ของคุณสามารถสร้างการตลาดแบบไฮแจ็ค ได้อย่างชาญฉลาด ก็จะเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ามหาศาล ทั้งในแง่การรับรู้และความสัมพันธ์กับผู้บริโภค
 
 
 
 
 
 
แหล่งที่มา : 
 
 
 

 

 

 

บทความแนะนำ

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *