รู้จัก Digital Nomad เทรนด์ไลฟ์สไตล์มาแรง ที่ได้เที่ยวได้งานได้เงิน!

Digital Nomad

Digital Nomad” คำนี้มีใครเคยได้ยินกันบ้างมั้ยครับ? หากใครยังนึกไม่ออก ผมกำลังพูดถึงไลฟ์สไตล์ที่เราสามารถทำงานหาเงินได้จากทั่วทุกมุมโลก ในแบบที่ “การเดินทางและการทำงานไม่จำเป็นต้องเป็นประสบการณ์ที่แยกออกจากกัน” แน่นอนว่ามัน คือ การทำงานจากทุกที่ที่เราสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการทำงานลักษณะนี้จะให้วิถีชีวิตที่อิสระและยืดหยุ่น แต่ที่แน่ๆ ก็มาพร้อมอุปสรรคและความท้าทายหลายประการเช่นเดียวกัน ในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกความหมายของไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลโนแมด พร้อมประโยชน์และข้อเสียหรือความท้าทาย ตลอดจนแนวทางหรือวิธีปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณได้เริ่มต้นกับไลฟ์สไตล์นี้ได้ครับ
 

Digital Nomad คืออะไร?

Digital Nomad

Digital Nomad  คือ บุคคลที่ใช้เทคโนโลยี เพื่อทำงานจากทุกที่ในโลกในแบบ Remote Work โดยอาศัยเพียงแล็ปท็อปหรือสมาร์ทโฟนและการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อสื่อสารกับลูกค้าหรือทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงานโดยไม่ต้องยึดติดอยู่กับการเข้าออฟฟิศ แต่สามารถทำงานได้จากร้านกาแฟ co-working space หรือแม้แต่เปลริมชายหาดแทน เรียกได้ว่าเป็นผู้ที่มีอิสระในการทำงานอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้นหลายคนไม่ได้เป็นเพียงผู้รับจ้างทำงานอออนไลน์ หรือฟรีแลนซ์ทั่วไป แต่มีไม่น้อยที่เป็นถึงเจ้าของกิจการที่ทำงานทุกอย่างแบบครบลูปบนโลกออนไลน์ 

อย่างไรก็ตาม มันเป็นไลฟ์สไตล์ที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีวินัยในตัวเอง มีทักษะการจัดการเวลา มีความสามารถในการปรับตัว และรู้จักการสร้างแรงจูงใจในตนเอง

ดิจิทัลโนแมด กลายเป็นเทรนด์ที่ได้รับความนิยมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาถึงแม้จะเป็นแนวคิดที่มีมานานพอสมควรแล้ว เนื่องจากมีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่แสวงหาอิสระและความยืดหยุ่นในการทำงาน ยิ่งในยุคที่อินเทอร์เน็ตไฮสปีดและสมาร์ทโฟนเฟื่องฟู หนังสือชื่อ “The 4-Hour Workweek: Escape 9-5, Live Anywhere, and Join the New Rich” ที่ตีพิมพ์ในปี 2007 ของ ทิโมธี เฟอริส ก็ได้กลายเป็นเสมือน ‘คัมภีร์’ ของผู้ที่ชื่นชอบไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลโนแมด ที่เราเห็นกันทุกวันนี้ไปโดยปริยายชาวดิจิทัลโนแมดนั้นสามารถเดินทางหรือท่องเที่ยวได้ในขณะที่ไม่เสียการเสียงาน ทำให้พวกเขามีชีวิตที่สมดุลซึ่งครั้งหนึ่งหลายคนอาจเคยคิดว่าไลฟ์สไตล์แบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ ที่สำคัญวิถีชีวิตที่มีความสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตส่วนตัวนั้นทำให้มีโอกาสในการสำรวจวัฒนธรรมและประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต  

ประโยชน์ของการเป็น ดิจิทัลโนแมด

Digital Nomad

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลโนแมดนั้นได้รับความสนใจอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ด้วยโอกาสในการทำงานและการเดินทางที่ไม่เหมือนใครนั้นช่วยให้ผู้คนได้สำรวจสถานที่ใหม่ๆ พบปะผู้คนใหม่ๆ และได้รับประสบการณ์อันมีค่าไปพร้อมกับการหาเลี้ยงชีพ หากจะพูดถึงประโยชน์ที่ชัดเจนที่สุดของไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลโนแมด ในเบื้องต้นคงตอบได้ว่ามันคือ ความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิต ด้วยอิสระในการทำงานจากทุกที่ในโลกในเวลาใดก็ได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ซึ่งหมายถึงความสามารถในการปรับตารางเวลาให้เหมาะกับความต้องการและลงมือทำงานในช่วงเวลาที่ให้ประสิทธิผลมากที่สุด อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้คือประโยชน์ของวิถีชีวิตแบบดิจิทัลโนแมดที่เห็นได้อย่างชัดเจนครับ
 

1. Digital Nomad : มีอิสระในการทำงานตามที่ต้องการ

การเป็นดิจิทัลโนแมด หมายความว่าคุณ คือผู้กำหนดวิถีชีวิตในการทำงานตามความต้องการของคุณ คุณสามารถทำงานจากทุกที่ในขณะที่คุณมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟ Co-working space หรือแม้แต่เปลริมชายหาดแทน หากจะนิยามไลฟ์สไตล์ของดิจิทัลโนแมดว่า “โลกคือที่ทำงานของฉัน และการผจญภัยคือเพื่อนร่วมงานของฉัน” ก็ดูไม่เกินเลยนัก หนึ่งในข้อดีของการเป็นดิจิทัลโนแมดคือ คุณสามารถลงมือทำงานได้เมื่อคุณพร้อม เพราะเมื่อคุณเป็นดิจิทัลโนแมดเพียงให้แน่ใจว่าคุณได้กำหนดขอบเขตระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว สุดท้ายแล้วคุณก็ไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์อยู่ตลอดเวลาทั้งกลางวันและกลางคืน
 

2. Digital Nomad : ได้ออกแบบไลฟ์สไตล์ในแบบของคุณ

การเลือกสถานที่และเวลาในการทำงานเป็นส่วนหนึ่งของประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ของไลฟ์สไตล์นี้ ด้วยอิสระในการออกแบบไลฟ์สไตล์ของคุณเอง ในฐานะดิจิทัลโนแมด คุณจะได้เป็นเจ้าของตัวเลือกสำคัญๆ ในชีวิต เช่น สถานที่ที่คุณอาศัยอยู่และการใช้จ่ายในแต่ละวันของคุณด้วยตารางการทำงานที่ยืดหยุ่น
 
นอกจากนี้ คุณสามารถหาเวลาเพื่อดื่มด่ำกับงานอดิเรกที่คุณสนใจและเป็นอาสาสมัครในสิ่งที่คุณชอบ คุณสามารถทำให้การเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ ด้วยความยืดหยุ่นในการทำงาน ทำให้คุณมีเวลามากขึ้นในตารางเพื่อสำรวจสิ่งรอบตัวและทำในสิ่งที่คุณหลงใหล รวมถึงได้ใช้เวลากับคนที่คุณรักมากขึ้น จนเกิดเป็นความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน เนื่องจากสามารถเลือกได้ว่าจะลงมือทำงานเมื่อไหร่ อย่างไร สิ่งนี้สามารถนำไปสู่ระดับความเครียดที่น้อยลงและการมีเวลาชีวิตที่มากขึ้นสำหรับงานอดิเรก การเดินทาง และกิจกรรมส่วนตัวอื่นๆ
 

3. Digital Nomad : ข้อได้เปรียบทางการเงิน

ไม่ใช่ว่าดิจิทัลโนแมดทุกคนจะร่ำรวยมหาศาล อย่างไรก็ตาม ระดับความสุขและแรงจูงใจที่เพิ่มขึ้นมักส่งผลให้เกิดผลผลิตสูงขึ้น และนำมาซึ่งความมุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น หลายคนสามารถกำหนดอัตรารายชั่วโมงของตนเองได้ ยิ่งมีจุดเด่นหรือคุณสมบัติและความสามารถที่ครอบคลุมก็ยิ่งสร้างรายได้ได้ดี นอกจากนี้ ดิจิทัลโนแมดจำนวนมากอาศัยอยู่ในประเทศที่ค่าครองชีพไม่สูงมาก ทำให้พวกเขาสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีด้วยเงินที่น้อยลง นอกจากนี้ กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดในแง่ของการอยู่อาศัยและการจัดเก็บภาษียังช่วยประหยัดเงินได้เป็นจำนวนมาก
 

4. Digital Nomad : ประสิทธิผลของงานที่ดีขึ้น

ไม่มีเวลาให้เสียเปล่าเมื่อคุณเดินทางไปยังสถานที่โปรดปรานตามใจชอบได้เกือบทุกวัน การสำรวจสภาพแวดล้อมใหม่ๆ จะช่วยกระตุ้นให้คุณทำงานให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เพราะการผจญภัยอาจเป็นหนึ่งในแรงจูงใจที่ดีที่สุด นอกจากนี้อิสระในการทำงานจากทุกที่ทุกเวลายังหมายความว่าคุณสามารถปรับตารางเวลาให้เหมาะกับความต้องการและเริ่มต้นทำงานได้เมื่อพร้อมที่ประสิทธิภาพของความคิดอ่านอยู่ในจุดที่พร้อมมากที่สุด

 

5. Digital Nomad : ความคิดสร้างสรรค์ที่ดีขึ้น

ความคิดสร้างสรรค์เกิดขึ้นเมื่อคุณผสมผสานแนวคิดที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องเข้าด้วยกันเพื่อสร้างแนวคิดใหม่ๆ นักประสาทวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า “ซินแนปติกเพลย์” ยิ่งแนวคิดดูไม่ลงรอยกันมากเท่าไหร่ ซินแนปส์ ก็ยิ่งเกิดขึ้นในสมองของคุณมากขึ้นเท่านั้น การทำงานในที่ต่างๆ ทุกวันทำให้คุณได้รับประสบการณ์ที่หลากหลาย และเมื่อสมองของคุณเต็มไปด้วยข้อมูลที่หลากหลายเหล่านี้ ความคิดของคุณก็จะสร้างสรรค์มากยิ่งขึ้น การอยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ สามารถทำลายความซ้ำซากจำเจของกิจวัตรประจำวัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่องานสร้างสรรค์ การได้เห็นสิ่งใหม่ๆ และสัมผัสกับความรู้สึกใหม่ๆ สามารถช่วยให้คุณหลีกหนีจากกิจวัตรเดิมๆ และที่สำคัญคือทำเกิดไอเดียใหม่ๆ ได้อย่างไม่ยากเย็น

 

6. Digital Nomad : สร้างทักษะความยืดหยุ่นให้ชีวิต

การเดินทางไปยังสถานที่ใหม่ๆ ตลอดเวลา ทำให้คุณต้องออกจาก Comfort Zone โดยปริยาย และเพื่อที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ทุกวัน คุณต้องเต็มใจที่จะมีส่วนร่วมกับผู้คนและวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน สิ่งนี้ทำให้คุณต้องเปิดรับประสบการณ์ใหม่ๆ ใใที่ท้าทายนอนาคตมากขึ้นการเดินทางยังช่วยปรับปรุงปฏิกิริยาของสมองต่อการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากเมื่อคุณเดินทาง ความเครียดในการท่องไปในสถานที่ต่างแดนจะทำให้ เดนไดรต์ (Dendrite) หรือ แขนงประสาทประเภทหนึ่งของเซลล์ประสาท (neuron) ที่ยื่นออกมาจากส่วนที่เป็นตัวเซลล์ (soma) ที่ทำหน้าที่นำกระแสประสาทเข้าสู่เซลล์ประสาทนั้นแตกหน่อในสมองของคุณ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความสามารถและความเอาใจใส่ของสมองในสถานการณ์ใหม่ๆ ที่ท้าทาย

 

7. Digital Nomad : รับแรงบันดาลใจจากสภาพแวดล้อมใหม่

การเดินทางไม่เพียงช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของคุณเท่านั้น แต่ยังทำให้คุณเป็นมืออาชีพที่สร้างสรรค์และสร้างผลงานได้มากขึ้นอีกด้วย การได้อยู่ในสภาพแวดล้อมใหม่สามารถให้มุมมองใหม่ หรือการมองโลกในมุมมองที่แตกต่างออกไป ดิจิทัลโนแมดอาจพบกับวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม และผู้คนใหม่ๆ ซึ่งสามารถเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้นและกระตุ้นความคิดของพวกเขา

นอกจากนี้ คุณอาจพบว่าตัวเองกำลังทำการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดหรือค้นพบโอกาสทางอาชีพใหม่ๆ ที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน หากคุณเคยต้องใช้เวลาอยู่ในห้องเล็ก ๆ เป็นเวลานาน คุณรู้ว่าการจ้องมองที่ผนังห้องวันแล้ววันเล่าอาจทำให้จิตใจห่อเหี่ยว แต่ด้วยการเติมเต็มประสาทสัมผัสของคุณด้วยภาพ เสียง และสีสันใหม่ๆ คุณจะพบแรงบันดาลใจใหม่ๆ ที่ยอดเยี่ยมในแต่ละวัน
 

8. Digital Nomad : ได้พบปะผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก

ไม่เพียงแต่คุณจะได้พบกับผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่คุณอาศัยอยู่เท่านั้น แต่คุณยังจะได้พบกับเพื่อนร่วมทางดิจิทัลที่มาจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลกอีกด้วย คุณจะได้รับโอกาสในการสร้างมิตรภาพกับคนที่คุณไม่เคยพบเจอมาก่อนหากคุณอยู่บ้าน คุณสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวัฒนธรรม ภาษา และวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน นอกจากนี้ การพัฒนาทักษะการสื่อสารข้ามวัฒนธรรมอาจทำให้คุณประสบความสำเร็จในอาชีพการงานมากขึ้นหากคุณทำงานกับลูกค้าต่างประเทศ
 

9. Digital Nomad : สามารถสร้างมิตรภาพที่ดี

การผจญภัยและประสบการณ์อันน่าจดจำก่อให้เกิดสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างผู้คน เมื่อคุณออกเดินทาง คุณจะได้พบกับดิจิทัลโนแมดคนอื่นๆ ยิ่งถ้าคุณเดินทางกับเพื่อนหรือคนสำคัญ ความสัมพันธ์ของคุณก็จะยิ่งแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม นอกจากนี้การได้พบปะผู้คนจากภูมิหลังและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันสามารถช่วยพวกเขาสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืนได้
 
ที่สำคัญ ผู้ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ ดิจิทัลโนแมด มักมีความสนใจร่วมกันในเรื่องการเดินทางและการทำงานจากระยะไกล ซึ่งสามารถเป็นรากฐานที่แข็งแกร่งสำหรับการสร้างมิตรภาพ พวกเขาอาจเข้าร่วมกิจกรรมหรือมีการพบปะสำหรับบรรดาดิจิทัลโนแมดโดยเฉพาะซึ่งพวกเขาสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่นที่มีความสนใจและประสบการณ์คล้ายกันได้
 
นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นดิจิทัลโนแมด มักจะใช้เวลาในสถานที่เดิมเป็นเวลานาน ซึ่งช่วยให้พวกเขาสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับคนในท้องถิ่นและนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ ได้ เมื่ออาศัยอยู่ในสถานที่เป็นเวลานานขึ้น พวกเขามีโอกาสที่จะดื่มด่ำกับชุมชนท้องถิ่นและสร้างสายสัมพันธ์ที่แท้จริง เรียกได้ว่าเป็นไลฟ์สไตล์ที่มีความยืดหยุ่นในการพบปะผู้คนใหม่ๆ และสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืน ด้วยการเชื่อมต่อกับผู้อื่นที่มีความสนใจและประสบการณ์ร่วมกัน ก็สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายซึ่งคงอยู่แม้เมื่อพวกเขาเดินทางต่อไปยังจุดหมายต่อไป
 

อุปสรรคของการเป็น ดิจิทัลโนแมด

Digital Nomad
แม้ว่าวิถีชีวิตแบบ ดิจิทัลโนแมด จะน่าตื่นเต้นและเติมเต็ม แต่ก็ย่อมที่จะมีอุปสรรคบางประการ ที่คุณควรพิจารณา ได้แก่
 

1. ชีวิตที่ไม่แน่นอน

ดิจิทัลโนแมดส่วนใหญ่ไม่มีสัญญาถาวร รายได้ของพวกเขาไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าพวกเขาสามารถหาลูกค้าใหม่ได้สำเร็จเพียงใดและทำงานมากน้อยเพียงใด รายได้แต่ละเดือนอาจแตกต่างกันไปและต้องพร้อมเสมอกับการที่รายได้อาจลดลงอย่างกะทันหัน เช่นเดียวกับที่พัก คุณต้องหาที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง สถานที่ใหม่พร้อม WIFI ที่ดี สถานที่ใหม่ที่จะกินและหาเพื่อนใหม่ๆ ไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะสามารถรับมือได้อย่างราบรื่นในระยะยาว ที่สำคัญ หากไม่มีรายได้ที่แน่นอนหรือไม่มีสภาพแวดล้อมการทำงานที่มั่นคง การวางแผนสำหรับอนาคตหรือกำหนดเป้าหมายระยะยาวอาจเป็นเรื่องยาก
 

2. การปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตใหม่

แม้ว่าบางครั้งไลฟ์สไตล์แบบดิจิทัลโนแมดอาจเหมือนการได้ท่องเที่ยวไปยังที่ใหม่ๆ แต่การเป็นดิจิทัลโนแมดไม่ใช่การได้วันหยุดพักผ่อนยาวๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเริ่มต้นมันเป็นงานที่หนักมาก คุณต้องทำงานหลายชั่วโมงเพื่อปรับตัวเข้ากับชีวิตใหม่และประสบความสำเร็จกับมัน ไม่มีวันหยุดชดเชยหรือวันลาป่วย วันหยุดสุดสัปดาห์มักไม่มีอยู่จริง คุณต้องรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้อยู่ในระดับสูง แม้ว่าคุณจะทำงานใกล้กับชายหาดสวรรค์ที่งดงามน่ารื่นรมย์แต่บางครั้งการทำงานให้มีประสิทธิภาพอาจยากกว่าที่คุณคิดก็ได้ นอกจากนี้ การทำงานร่วมกับผู้คนจากวัฒนธรรมที่แตกต่างกันอาจเป็นประสบการณ์ที่ท้าทายได้เช่นกัน อาทิ อุปสรรคด้านภาษา วัฒนธรรมการทำงานที่แตกต่างกัน และบรรทัดฐานทางสังคม ทั้งหมดล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพของงานและการสื่อสารกับผู้อื่น
 

3. ชีวิตทางสังคมของคุณอาจขาดตอน

การเดินทางรอบโลกนั้นสนุกและคุณได้พบกับผู้คนที่น่าสนใจมากมายระหว่างทาง แต่ในขณะเดียวกันคุณก็ต้องบอกลาพวกเขาอีกครั้งในเร็วๆ นี้ หากคุณต้องการเป็นดิจิทัลโนแมด คุณจะต้องรู้จักเพื่อนใหม่ตลอดเวลา ซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่มีนิสัยเก็บตัว ที่สำคัญคุณไม่สามารถเจอเพื่อนเก่าและครอบครัวได้บ่อยเหมือนเมื่อก่อน อาจจะเพียงปีละไม่กี่ครั้งหรือน้อยกว่านั้นด้วยซ้ำ คุณจะพลาดกิจกรรมทางสังคมที่สำคัญเพราะตัวคุณอยู่อีกฟากหนึ่งของโลก
 

4. ความกังวลด้านความปลอดภัย

การเดินทางไปยังสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยและการทำงานในสภาพแวดล้อมใหม่ ๆ อาจทำให้เกิดปัญหาด้านความปลอดภัยได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น คุณอาจเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมหรือการฉ้อโกง หรือคุณอาจอยู่ในประเทศที่มีความไม่มั่นคงทางการเมืองหรือความไม่สงบของพลเมือง
 

5. การจัดการเวลา

การจัดการเวลาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพอาจเป็นความท้าทายที่สำคัญเมื่อคุณใช้ชีวิตแบบดิจิทัลโนแมด เพราะหากไม่มีตารางเวลาที่แน่นอนก็อาจตกหลุมพรางของการทำงานที่มากเกินไปหรือน้อยเกินไปได้ง่ายๆ นอกจากนี้ ในบางกรณีที่อาจเกิดขึ้นได้ การเดินทางอาจมีส่วนรบกวนกิจวัตรประจำวันของคุณและทำให้ยากต่อการจัดตารางการทำงานได้ตามปกติ
 

6. การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและปลอดภัย

อุปสรรคทั่วไปอีกประการหนึ่งที่ดิจิทัลโนแมดอาจต้องเผชิญ คือ ความยากลำบากในการค้นหาอินเทอร์เน็ตที่เสถียรและปลอดภัย นี่อาจเป็นปัญหาหลักหากคุณต้องพึ่งพาอินเทอร์เน็ตในการทำงาน แม้ว่าปัจจุบันหลายประเทศจะมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง แต่ก็ยังมีสถานที่หลายแห่งที่การเชื่อมต่อช้า ไม่เสถียร หรือใช้งานไม่ได้จริง

หนทางสู่การเป็น ดิจิทัลโนแมด

Digital Nomad

ด้วยการเพิ่มขึ้นของการทำงานแบบ Work from Anywhere หรือ Remote Work และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้คนจำนวนมากขึ้นตระหนักถึงศักยภาพของการใช้ชีวิตแบบพึ่งพาสถานที่ อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนไปสู่วิถีชีวิตเร่ร่อนทางดิจิทัลอาจเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่เคยทำงานนอกออฟฟิศมาก่อน  อย่างไรก็ตามต่อไปเป็นแนวทางบางประการสู่การเป็นดิจิทัลโนแมดได้อย่างที่คุณต้องการครับ

1. ค้นหาลู่ทางหรือความเชี่ยวชาญของคุณ

ก่อนเริ่มการเดินทางครั้งใหม่ในชีวิต สิ่งสำคัญคือ ต้อง รู้จักความถนัดในสาขาความเชี่ยวชาญของคุณ ไม่ว่าจะเป็นงานเขียน การออกแบบกราฟิก การเขียนโปรแกรม หรือการตลาดดิจิทัล การมีทักษะเฉพาะด้านจะช่วยให้คุณหางานจากระยะไกลได้ง่ายขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การมีช่องทางเผยแพร่ผลงานส่วนตัวจะช่วยให้คุณโดดเด่นกว่าในตลาดที่มีผู้คนหนาแน่น

 

2. สร้างสถานะออนไลน์ที่แข็งแกร่ง

ในฐานะดิจิทัลโนแมด การแสดงตนทางออนไลน์ของคุณคือทุกสิ่ง เว็บไซต์และบัญชีโซเชียลมีเดียของคุณจะเป็นเครื่องมือหลักในการสร้างเครือข่าย การตลาด และการหางาน ดังนั้น การลงทุนเวลาและความพยายามในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์จึงเป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งรวมถึงการมีเว็บไซต์ที่ดูเป็นมืออาชีพ บัญชีโซเชียลมีเดียที่ใช้งานอยู่ และพอร์ตโฟลิโอที่แข็งแกร่งซึ่งแสดงผลงานของคุณ

 

3. สร้างกิจวัตรที่แน่นอน

หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของการเป็นดิจิทัลโนแมด คือการรักษาสมดุลระหว่างการทำงานและชีวิตที่ดี หากไม่มีกิจวัตรที่ตายตัว คุณจะวอกแวกหรือหมดไฟได้ง่ายๆ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสร้างกิจวัตรที่เหมาะกับคุณ ซึ่งรวมถึงการจัดสรรเวลาเฉพาะสำหรับการทำงาน การหยุดพัก และรวมกิจกรรมการออกกำลังกายเข้ากับกิจวัตรประจำวันของคุณ

 

4. สร้างคอนเน็คชันที่ดี

ในฐานะดิจทัลโนแมด คอนเนคชันที่ดีเป็นกุญแจสำคัญในการหางานและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญคนอื่นๆ ในอุตสาหกรรมของคุณ ควรเข้าร่วมการประชุมและการมีตติ้งต่างๆ เข้าร่วมชุมชนออนไลน์ และติดต่อกับดิจิทัลโนแมดคนอื่นๆ เพื่อขอคำแนะนำและการสนับสนุน เพราะจะช่วยให้คุณค้นหาโอกาสในการเปิดประตูใหม่ๆ สำหรับอาชีพของคุณ

 

5. พร้อมรับความยืดหยุ่น

ข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของการเป็นชาวดิจิทัลโนแมด คือ อิสระในการทำงานจากทุกที่ในโลก อย่างไรก็ตาม นี่ก็หมายความว่าคุณต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวได้ ซึ่งรวมถึงความสามารถในการทำงานในเขตเวลาที่แตกต่างกัน การรับมือกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม และการปรับตารางเวลาของคุณเพื่อรองรับกิจกรรมการเดินทางและการพักผ่อน

 

6.จัดระเบียบอยู่เสมอ

ในฐานะดิจิทัลโนแมด คุณมีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดการงานและตารางเวลาของคุณเอง ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดระเบียบและติดตามกำหนดเวลา การนัดหมาย และงานต่างๆ ด้วยเครื่องมือออนไลน์ต่างๆ เช่น Trello, Asana หรือ Google Calendar เพื่อควบคุมปริมาณงานและรักษาประสิทธิภาพการทำงานของคุณ

 

7. ลงทุนในอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ

อุปกรณ์ของคุณคือตัวกำหนดชีวิตของคุณ อย่าลังเลที่จะลงทุนในฮาร์ดแวร์ที่มีคุณภาพ เช่น แล็ปท็อป แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน และตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ปลอดภัยเชื่อถือได้ ยิ่งไปกว่านั้น ลองพิจารณาลงทุนในหูฟังแบบตัดเสียงรบกวน ที่ชาร์จแบบพกพา และเครื่องมืออื่นๆ ที่จะทำให้งานของคุณง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

 

8. จัดลำดับความสำคัญในเรื่องส่วนตัว

สุดท้าย สิ่งสำคัญคือต้องจัดลำดับความสำคัญของการดูแลตนเอง การเดินทางและการทำงานจากระยะไกลอาจเป็นเรื่องเครียด และเป็นเรื่องง่ายที่จะละเลยสุขภาพกายและสุขภาพจิตของคุณ ดังนั้นควรหยุดพักเมื่อร่างกายของคุณเหนื่อยล้า การนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น โยคะหรือการทำสมาธิ จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงได้
 
โดยสรุปแล้ว การเป็นดิจิทัลโนแมด ต้องอาศัยทั้งความทุ่มเท และความเต็มใจที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ๆ อยู่เสมอ เมื่อปฏิบัติตามแนวทางทั้งหมดที่กล่าวไป ก็หวังว่าคุณน่าจะพร้อมรับความสำเร็จและเพลิดเพลินกับอิสระและความยืดหยุ่นของวิถีชีวิตที่เป็นอิสระ  “เพราะดิจิทัลโนแมดไม่ได้เป็นเพียงนักเดินทาง แต่พวกเขาคือนักสำรวจโลกและนักประดิษฐ์แห่งอนาคต”
 
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *