Music Marketing อาวุธลับในการสร้างแบรนด์ ที่หลายคนมองข้าม

Music Marketing

ดนตรีเป็นมากกว่าศิลปะ เสียงดนตรีมีพลังในการปลุกเร้าอารมณ์ ช่วยนำเราไปสู่ความทรงจำและทำให้ผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านเสียงเพลง นอกจากนี้ ในแง่ของการตลาด เราจะเห็นได้ว่ามีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่อาศัยพลังของเสียงดนตรีเพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำให้แก่แบรนด์ที่เรียกว่าการใช้กลยุทธ์ Music Marketing นั่นเอง ในโลกของธุรกิจและการตลาด การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวที่มากกว่าแค่โลโก้หรือสโลแกน มันเกี่ยวกับการปลูกฝังความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในเนื้อหาของบทความวันนี้เราจะมาสำรวจไปพร้อมกันว่าการตลาดทางเสียงดนตรีนั้นจะสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับความพยายามในการสร้างแบรนด์ได้อย่างไร ตลอดจนช่วยสร้างการผสมผสานที่กลมกลืนซึ่งสอดคล้องกับลูกค้าและทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างไรครับ

ทำความเข้าใจสมองกับดนตรี

ทำความเข้าใจ สมองกับดนตรี
ก่อนจะไปเข้าเรื่องเกี่ยวกับ Music Marketing เรามาทำความเข้าใจเกี่ยวกับเสียงดนตรีที่ส่งผลต่อสมองของมนุษย์กันก่อนครับ โดยมีผลการวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าดนตรีนั้นสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของมนุษย์โดยไม่รู้ตัวที่สำคัญยังมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้คน ซึ่งตามหลักวิทยาศาสตร์ จังหวะ ท่วงทำนอง แนวเพลง และระดับเสียง นั้นถือเป็นองค์ประกอบหลักทางดนตรี 4 ประการ ที่ส่งผลต่อความต้องการซื้อของเรา ด้วยการทำความเข้าใจจิตวิทยาของดนตรีและผลกระทบของมัน แบรนด์ต่างๆ จะสามารถใช้ความรู้นี้เพื่อกระตุ้นยอดขายและปรับปรุงประสบการณ์ของผู้บริโภคได้
 

สมองกับเสียงดนตรี

สมองของมนุษย์ประมวลผลเพลงในรูปแบบของคลื่นเสียง คลื่นเสียงเดินทางจากหูชั้นนอกไปยังหูชั้นในและเคลื่อนที่ไปยังแก้วหู ซึ่งทำให้เกิดการสั่นสะเทือน คลื่นเสียงเหล่านี้เดินทางจนกว่าจะถึงหูชั้นในรูปหอยโข่ง หรือที่เรียกว่า คอเคลีย (Cochlea) ซึ่งเต็มไปด้วยของเหลวที่มีเซลล์ขนขนาดจิ๋ว (Cilia) 10,000 ถึง 15,000 เซลล์ เมื่อคลื่นเสียงกระทบกับคอเคลีย เซลล์จะปล่อยสารสื่อประสาทเพื่อกระตุ้นเส้นประสาทหูที่เชื่อมต่อกับสมอง ซึ่งสมองส่วนต่าง ๆ มีหน้าที่ประมวลผลองค์ประกอบต่าง ๆ ของดนตรีที่แตกต่างกันไป ได้แก่ สมองส่วนกลีบขมับขวาทำหน้าที่ตีความระดับเสียง สมองส่วนกลางประมวลผลเสียงต่ำ (ช่วยแยกแยะว่าเครื่องดนตรีใดกำลังเล่น) สมองน้อยประมวลผลจังหวะ และสมองส่วนหน้าตีความเนื้อหาทางอารมณ์ของดนตรี
 
 ซึ่งเสียงเพลงที่มีพลังนั้นสามารถกระตุ้นศูนย์รางวัลของสมอง ทำให้เรารู้สึกดี Andrew E. Budson อาจารย์ประจำสาขาวิชาประสาทวิทยาแห่ง Harvard Medical School กล่าวว่า ดนตรีสามารถยกระดับอารมณ์ของเราได้ หากคุณฟังเพลงที่เริ่มต้นด้วยความรู้สึกเศร้าหมองแต่ค่อยๆ คลี่คลายในตอนท้าย อารมณ์ของคุณอาจดีขึ้น Andrew ยังกล่าวอีกว่าดนตรีสามารถขับเคลื่อนเราไปข้างหน้าได้ ตัวอย่างเช่น การเล่นดนตรีที่มีความสุขและมีพลังสามารถช่วยให้เราทำงานสำเร็จลุล่วงได้ เนื่องจากร่างกายและจิตใจของเราจะตอบสนองต่อเพลงที่เราฟังโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นเอฟเฟกต์ของดนตรีจึงมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของเราในชีวิตประจำวันของเรา แม้ว่าเสียงดนตรีจะเล่นคลอเพียงเบาๆ ก็ตาม

 
ในปี 1966 Albert Mehrabian ศาสตราจารย์เกียรติคุณด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส ได้พัฒนาแบบจำลองชื่อว่า PAD (Pleasure, Dominance, and Activation) ที่แปลว่า ความสุข ความโดดเด่น และการเปิดใช้งาน เพื่ออธิบายและวัดความฉลาดทางอารมณ์ผ่านตัวแปรสามตัว ได้แก่ ความเพลิดเพลิน ความเร้าอารมณ์ และการครอบงำ ต่อมา Mehrabian ร่วมกับ James Russel ได้พัฒนาโมเดล PAD ใหม่อีกครั้ง ในปี 1974 เพื่ออธิบายว่าลูกค้าจะหลีกเลี่ยงหรือเข้าใกล้สภาพแวดล้อมอย่างไรหากมีสิ่งเร้าจากสิ่งแวดล้อม (ในกรณีนี้คือดนตรี) ในโมเดลล่าสุด ความสุขหมายถึงความรู้สึกของลูกค้า ความตื่นตัวหมายถึงระดับที่ผู้บริโภครู้สึกถูกกระตุ้น ตื่นตัวกับสถานการณ์ปัจจุบัน และการครอบงำ หมายถึงการที่แต่ละคนรู้สึกว่าถูกครอบงำหรือมีอิสระในการดำเนินการต่อสถานการณ์ต่างๆ รอบตัว
 
หากเพลงกระตุ้นการตอบรับเชิงบวก (ความเพลิดเพลิน) กระตุ้นผู้ซื้อ (ความเร้าอารมณ์) และทำให้พวกเขาต้องการสำรวจ (ความโดดเด่น) ผู้บริโภคจะใช้เวลาค้นหามากขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ยอดขายที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม หากดนตรีให้ผลตรงกันข้าม ก็อาจผลักผู้ซื้อออกไปได้ และในบางกรณี เสียงเพลงอาจทำให้พวกเขาออกจากร้านได้ ดังนั้นเพื่อปลูกฝังการตอบสนองที่ถูกต้องในผู้บริโภค ผู้ค้าปลีกควรศึกษาจิตวิทยาของดนตรีเพื่อเล่นเพลงที่สอดคล้องกับความสนใจและบุคลิกของผู้ชมเป้าหมาย
 

จิตวิทยาเบื้องหลังเสียงดนตรี

องค์ประกอบ หลัก 4 ประการทางดนตรีที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เรากล่าวไปข้างต้น ได้แก่
 
  • จังหวะ คือ จังหวะที่เคลื่อนไหว เมื่อเพลงเล่นในจังหวะเร็ว เราจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้น หากจังหวะของเพลงช้า เราจะเคลื่อนไหวช้าลง การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อจะจับคู่จังหวะการเล่นเพลงในซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อมีการเปิดเพลงจังหวะเร็ว ผู้บริโภคจะใช้เวลาน้อยลงในการค้นหาเพราะพวกเขาเคลื่อนที่ผ่านร้านค้าได้เร็วกว่า แต่เมื่อเล่นเพลงช้าลง ลูกค้าจะใช้เวลาค้นหามากขึ้น ซึ่งในที่สุดอาจนำไปสู่การซื้อได้ เมื่อรู้ในสิ่งนี้ ร้านอาหารสามารถเปิดเพลงจังหวะเร็วเพื่อให้โต๊ะว่างเร็วขึ้นเพื่อรองรับแขกได้มากขึ้น และร้านค้าปลีกสามารถเปิดเพลงช้าลงเพื่อเพิ่มเวลาในการเลือกดูของนักช้อป เป็นต้น
  • ระดับเสียง คือ ระดับเอาต์พุตของเสียงเพลงตั้งแต่เสียงเงียบไปจนถึงดัง จากการศึกษาค้นพบว่าเมื่อเปิดเพลงเสียงดังในซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้บริโภคจะใช้เวลาอยู่ในร้านน้อยลง เมื่อเปิดเพลงเบาๆ ผู้บริโภคจะใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และระดับเสียงที่สูงขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตอาจส่งผลเสียต่อการขายขั้นสุดท้าย เนื่องจากระดับเสียงที่สั่นสะเทือนโสตประสาทของมนุษย์เกินไปสามารถสร้างการตอบสนองที่ไม่พอใจในผู้ซื้อ
  • แนวเพลง คือ ประเภทของเพลง เช่น ฮอลิเดย์ ซอฟต์ร็อก แร็พ แจ๊ส ป๊อป เป็นต้น แนวเพลงแต่ละรูปแบบจะส่งผลต่อผู้บริโภคเป็นรายบุคคล การศึกษาแสดงให้เห็นว่าดนตรีแจ๊สและเลานจ์สามารถเพิ่มจำนวนเงินที่ผู้บริโภคใช้จ่าย ที่น่าสนใจคือดนตรีคลาสสิกนำไปสู่การเลือกซื้อไวน์ที่มีราคาแพงกว่าในร้านไวน์ ดังนั้นบร้านค้าต่างๆ ควรเล่นแนวเพลงที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและประสบการณ์ที่แบรนด์ต้องการทำให้เกิด (เช่น ร้านอาหารรสเลิศกับบาร์ท้องถิ่นที่มีการแสดงดนตรีสด)
  • โหมดเพลง หรือท่วงทำนอง  การศึกษาในปี 2554 ค้นพบว่าเมื่อโหมดและจังหวะผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ยอดขายในร้านจะเพิ่มขึ้น เมื่อเพลงดาวน์เทมโป (ช้าและเศร้า) คลอเบาๆ การซื้อในร้านค้าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นเพลงดาวน์เทมโปในเมเจอร์ (ช้าๆ และแฮปปี้) จะไม่มีการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

Music Marketing คืออะไร?

Music Marketing คืออะไร

ทีนี้เรามาเข้าเรื่องเกี่ยวกับการตลาดทางดนตรีกันครับ หากคุณลองจินตนาการถึงชีวิตที่ปราศจากเสียงเพลงหรือเสียงดนตรี มันคงเป็นชีวิตที่ไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่จริงมั้ยครับ? ที่สำคัญดนตรีสามารถสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ต่างๆ ได้ในแง่ของการตลาด

ซึ่งในบริบทของการตลาด Music Marketing นั้นหมายถึง การใช้เพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับดนตรีในเชิงกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ มีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย และท้ายที่สุด คือ ขับเคลื่อนเป้าหมายทางธุรกิจ มันเกี่ยวข้องกับการรวมองค์ประกอบของเสียงดนตรีเข้ากับความพยายามทางการตลาดของแบรนด์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและน่าจดจำสำหรับผู้บริโภค สร้างการเชื่อมต่อกับผู้บริโภค กระตุ้นความรู้สึกหรือความทรงจำที่เฉพาะเจาะจง และขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม ตลอดจนการรับรู้ถึงแบรนด์และยอดขายในที่สุด

อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้น เสียงดนตรีนั้นมีผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เนื่องจากความสามารถในการกระตุ้นความรู้สึกและความทรงจำที่แข็งแกร่ง มันสามารถกระตุ้นความคิดถึง ความตื่นเต้น ความผ่อนคลาย และแม้กระทั่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เพลงประเภทต่างๆ เพลงที่มีจังหวะเร็วและจังหวะที่สนุกสนานมักจะเพิ่มระดับความเร้าอารมณ์และพลังงาน ในขณะที่เพลงช้าและไพเราะจะช่วยส่งเสริมอารมณ์ผ่อนคลาย ซึ่งต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่แบรนด์จะสามรถใช้เสียงดนตรีรวมไว้ในกลยุทธ์ การตลาดทางเสียงดนตรีครับ

1. เพลงโฆษณา

บริษัทต่างๆ ใช้เพลงที่ติดหูหรือเพลงยอดนิยมเพื่อสร้างโฆษณาที่น่าจดจำและดึงดูดความสนใจจากผู้ชม เพลงที่เหมาะสมสามารถตอกย้ำข้อความของแบรนด์ เพิ่มการจดจำโฆษณา และสร้างความประทับใจให้กับผู้ชม ยกตัวอย่างเพลงโฆษณาที่เชื่อว่าหลายคนจดจำกันได้ดี อาทิ เพลงโฆษณาจากแล็คตาซอย “แล็คตาซอย 5 บาท 125 มิลลิลิตร ปริมาณคับกล่อง เต็มที่ ดื่มได้ดื่มดี”  เป็นต้น
 

2. การสร้างแบรนด์

การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ด้วยเสียงที่เป็นที่รู้จักและเป็นเอกลักษณ์จะช่วยให้บริษัทต่างๆ สร้างความแตกต่างในตลาดได้ หากนึกไม่ออกคุณลองนึกถึง เสียงเมโลดี้ติดหูสั้นๆของ “Intel Inside” ที่เป็นสัญลักษณ์ของ Intel อย่างแข็งแกร่งมานานหลายปี หรือตัวอย่างอื่นๆ เช่น แบรนด์ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกคิดถึงอดีตหรือความอบอุ่นอาจใช้ทำนองที่คุ้นเคยและไพเราะซึ่งพาผู้ฟังย้อนกลับไปสู่ความทรงจำอันล้ำค่า ในทางกลับกัน แบรนด์ที่ต้องการความสร้างสรรค์และล้ำสมัยอาจเลือกใช้ดนตรีร่วมสมัยด้วยการเลือกเพลงที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์และอารมณ์ที่ต้องการอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับผู้ชมได้
 

3. เนื้อหาโซเชียลมีเดีย

ในยุคที่โซเชียลมีเดียเฟื่องฟู ผู้คนนำเสียงเพลงมาใช้ควบคู่กับเนื้อหาสั้นๆ บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ อาทิ TikTok, Instagram หรือ YouTube เพื่อสร้างกระแสนิยม ชาเล้นจ์ต่างๆ หรือในวิดีโอที่น่าสนใจ ซึ่งเพลงที่น่าจดจำอาจกลายเป็นตัวเร่งให้เกิดกระแสไวรัลได้ ในแง่การใช้เพลงในโซเชียลมีเดียของแบรนด์ต่างๆ เมื่อเพลงที่ใช้โดนใจผู้บริโภค พวกเขามักจะแชร์เพลงนั้นบนโซเชียลมีเดีย ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมที่ขยายการเข้าถึงของแบรนด์ได้แบบทวีคูณ เพลงที่ติดหูหรือเพลงที่กระตุ้นอารมณ์สามารถแพร่ระบาดได้ในเวลาไม่นาน ช่วยนำเสนอแบรนด์ให้กับผู้ชมใหม่ๆ ที่อาจไม่เคยสัมผัสมาก่อน เอฟเฟกต์ของไวรัลนี้ช่วยขยายการเข้าถึงของแบรนด์และส่งเสริมการเติบโตแบบออร์แกนิก ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณพลังของดนตรีประกอบที่คัดสรรมาเป็นอย่างดี
 

4. สร้างบรรยากาศในร้านค้า

ผู้ค้าปลีกและธุรกิจต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าเล็ก ๆ หรือจะเป็น Official Store ของแบรนด์ใหญ่ ต่างนิยมใช้เพลงบรรเลงเบาๆ ในร้านเพื่อสร้างบรรยากาศ เพื่อโน้มน้าวพฤติกรรมของลูกค้า กระตุ้นให้เยี่ยมชมนานขึ้น และสร้างบรรยากาศที่เฉพาะเจาะจง เรียกได้ว่า เสียงเพลงนั้นอาจทำหน้าที่เป็นเครื่องมือลับทางการตลาดที่หลายคนอาจจะหลงลืมไป ร้านบูติกระดับไฮเอนด์อาจเลือกใช้เพลงคลาสสิกหรือเพลงบรรเลงเพื่อสื่อถึงความประณีตและความสง่างาม ในขณะที่ร้านเสื้อผ้านำสมัยอาจเปิดเพลงป๊อปร่วมสมัยเพื่อดึงดูดนักช้อปอายุน้อย ด้วยการสร้างสภาพแวดล้อมที่กลมกลืนกัน จะเห็นได้ว่าธุรกิจต่างๆ ล้วนมีเป้าหมายที่จะยกระดับประสบการณ์การชอปปิ้งโดยรวม และกระตุ้นให้ลูกค้าใช้เวลาอยู่ในร้านมากขึ้น
 

5. การทำงานร่วมกัน

แบรนด์ต่างๆ อาจใช้วิธีร่วมมือกับนักดนตรี หรือศิลปินเพื่อสร้างเนื้อหาที่มีแบรนด์ร่วมกันในการนำเสนอผลิตภัณฑ์รุ่นลิมิเต็ด เป็นต้น โดยใช้ประโยชน์จากฐานแฟนคลับของศิลปินเพื่อวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมการขาย
 

6. แคมเปญเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น

แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างแคมเปญสนับสนุนให้ลูกค้าสร้างเนื้อหา หรือ UGC โดยใช้ผลิตภัณฑ์และเพลงของพวกเขา เพื่อส่งเสริมชุมชนรอบ ๆ แบรนด์ให้แข็งแกร่ง
 

7. แคมเปญเพื่อการกุศล

แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้เสียงเพลงเพื่อส่งเสริมแคมเปญการกุศลหรือกิจกรรมทางสังคม โดยใช้ประโยชน์จากพลังทางอารมณ์เพื่อกระตุ้นการสนับสนุนและการรับรู้ ในแต่ละกรณีเหล่านี้ การเลือกเพลงเป็นสิ่งสำคัญ โดยจำเป็นต้องสอดคล้องกับตัวตนของแบรนด์ กลุ่มเป้าหมาย และข้อความที่ต้องการสื่อ เมื่อทำได้อย่างถูกต้อง กลยุทธ์ Music Marketing นั้นจะสามารถสร้างความสัมพันธ์ทางอารมณ์ที่แข็งแกร่งกับผู้บริโภค ช่วยเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์และยอดขายได้อย่างมาก
 
 

ประโยชน์ของ Music Marketing

ประโยชน์ของ Music Marketing
ดนตรีและเสียงเพลงเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวันของเรา ผู้บริโภคโดยเฉลี่ยจะฟังเพลงประมาณสี่ชั่วโมงทุกวัน อย่างไรก็ตามมีความเข้าใจผิดมากมายเกี่ยวกับการตลาดทางดนตรี เช่น หลายคนคิดว่ามันเป็นกลยุทธ์ที่มีค่าใช้จ่ายสูงเกินจำเป็น หรือ มองว่าลูกค้าอาจจะไม่ได้ชื่นชอบรัก นักการตลาดบางคนไม่เข้าใจวิธีใช้ประโยชน์จากเสียงเพลงในกลยุทธ์การอย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความจริงก็ คือ ดนตรีสามารถนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ได้ง่ายกว่าที่คุณคิด และอาจมีประสิทธิภาพสูงสำหรับธุรกิจของคุณอีกด้วย เพลงยังกระตุ้นการตอบสนองทางอารมณ์ของผู้บริโภค ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับแคมเปญการตลาดเพื่อสร้างฐานลูกค้าใหม่ ดังนั้นเรามาดู เหตุผลสำคัญ 5 ประการ ในการใช้เพลงในกลยุทธ์การตลาดให้เป็นประโยชน์กันครับ
 

1. Music Marketing ช่วยสร้างตัวตนของแบรนด์

การตลาดทางดนตรีสามารถมีบทบาทสำคัญในการสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์โดยการสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ที่แน่นแฟ้นกับกลุ่มเป้าหมาย และถ่ายทอดภาพลักษณ์และข้อความที่แตกต่างออกไป ต่อไปนี้เป็นวิธีการบางอย่างที่การตลาดทางดนตรีจะช่วยในการสร้างตัวตนหรือเอกลักษณ์ของแบรนด์
 
  • เสียงสะท้อนทางอารมณ์ :  ดนตรีมีความสามารถอันทรงพลังในการปลุกอารมณ์ ความทรงจำ และความรู้สึก เมื่อแบรนด์ใช้เสียงเพลงอย่างมีกลยุทธ์ในแคมเปญการตลาด แบรนด์ต่างๆ จะสามารถเข้าถึงอารมณ์ของผู้ชม และสร้างความสัมพันธ์ที่น่าจดจำและมีความหมายกับพวกเขาได้ เนื่องจากเสียงสะท้อนทางอารมณ์เหล่านี้ช่วยตอกย้ำคุณค่า บุคลิกภาพ และจุดยืนของแบรนด์ในใจผู้บริโภคได้
  • ความสม่ำเสมอและการจดจำ : การใช้เพลงเฉพาะหรือเสียงเมโลดี้สั้นๆ ที่ติดหูในช่องทางการตลาดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ สามารถนำไปสู่การจดจำแบรนด์ได้ เมื่อผู้คนได้ยินเพลงที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ พวกเขาจะเชื่อมโยงกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ หรือบริการในทันที ซึ่งช่วยเสริมเอกลักษณ์ของแบรนด์เมื่อเวลาผ่านไป
  • การสร้างความแตกต่าง : ในตลาดที่มีผู้คนหนาแน่น ดนตรีสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์จากคู่แข่ง ด้วยการใช้ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์หรือโดดเด่นที่สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ บริษัทสามารถสร้างความโดดเด่นและสร้างความประทับใจในใจของผู้บริโภคได้
  • การกำหนดเป้าหมายตามกลุ่มประชากรเฉพาะ : การกำนหดแนวเพลงมักจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มประชากรต่างๆ ด้วยการเลือกแนวเพลงหรือสไตล์เพลงที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จะสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับฐานผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่กำหนดเป้าหมายไปยังคนหนุ่มสาวที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาจใช้เพลงที่ทันสมัยและมีจังหวะสนุกสนาน ในขณะที่แบรนด์หรูอาจเลือกองค์ประกอบของเพลงที่ซับซ้อนและหรูหรากว่า เป็นต้น
  • การเล่าเรื่อง :  ดนตรีช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเล่าเรื่องของแบรนด์ เมื่อนำเสียงเพลงไปใช้ในโฆษณาหรือวิดีโอส่งเสริมการขาย แบรนด์ต่างๆจะสามารถสร้างเรื่องราวที่เสริมข้อความและคุณค่าของแบรนด์ ทำให้น่าจดจำและมีส่วนร่วมมากขึ้นสำหรับผู้ชม
  • ความเชื่อมโยงของแบรนด์ : เสียงดนตรีสามารถช่วยให้แบรนด์เชื่อมโยงกับอารมณ์ ไลฟ์สไตล์ หรือประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์กีฬาอาจใช้ดนตรีที่มีพลังและสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่กระฉับกระเฉงและดีต่อสุขภาพ เป็นต้น
  • การแบ่งปันทางสังคมและกระแสนิยม : เพลงที่น่าจดจำในแคมเปญการตลาดสามารถนำไปสู่การแบ่งปันทางสังคมและกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้น ผู้คนมักแชร์เนื้อหาด้วยเพลงที่ติดหูหรือเพลงที่กระตุ้นอารมณ์ ซึ่งจะเป็นการขยายการเข้าถึงและการมองเห็นของแบรนด์ไปในตัว
  • กิจกรรมและการตลาดเชิงประสบการณ์ : ดนตรีมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมสดและการตลาดเชิงประสบการณ์ แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้ดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศเฉพาะ ยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วม และสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน

2. Music Marketing ช่วยเพิ่มการมองเห็น

เช่นเดียวกับที่ศิลปินและวงดนตรีมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น แฟนๆ ของพวกเขาก็เป็นผู้บริโภคเช่นกัน เมื่อคุณนึกถึงวิธีที่แบรนด์โปรดของคุณใช้ประโยชน์จากดนตรีในกลยุทธ์ทางการตลาด คุณจะเข้าใจว่าสิ่งนี้สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คนได้ไม่รู้ลืม ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญทางสังคมเล็กๆ น้อยๆ หรือการสนับสนุนตลอดชีวิต การตลาดทางดนตรี คือวิธีที่ยอดเยี่ยมในการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในวงกว้าง
 

3. Music Marketing ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วม

แฟนเพลงมีความภักดีอย่างเหลือเชื่อ พวกเขาบริโภคผลงานของศิลปินคนโปรดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการสตรีมหรือดาวน์โหลดเพลง เข้าร่วมการแสดงสด นอกจากนี้ ศิลปินและวงดนตรียังมีระดับการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียสูง ส่วนใหญ่เป็นเพราะแฟน ๆ ต้องการรู้สึกเชื่อมโยงกับศิลปินที่พวกเขาชื่นชอบ ด้วยเหตุนี้การใช้เพลงในกลยุทธ์ทางการตลาดจึงเป็นประโยชน์อย่างมาก
 

4. Music Marketing เป็นกลยุทธ์ที่คุ้มค่า

การโฆษณาด้วยเพลงมีค่าใช้จ่ายเสมอ อย่างไรก็ตามตัวเลือกของคุณสามารถปรับขนาดให้เหมาะสมได้ การวางกลยุทธ์ทางการตลาดของคุณให้สอดคล้องกับศิลปินชื่อดังที่มียอดขายเปรี้ยงปร้างอาจทำให้คุณเสียเงินหลายพัน แต่การเป็นพันธมิตรกับศิลปินท้องถิ่นและภูมิภาค ซึ่งหลายคนจะกลายเป็นศิลปินที่โดดเด่นและประสบความสำเร็จในอนาคตเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม ศิลปินท้องถิ่นดาวรุ่งมีผู้ชมที่หลากหลายทั้งครอบครัว เพื่อน และแฟนเพลง นี่เป็นตัวเลือกที่คุ้มค่ากว่าที่ให้ระดับการมีส่วนร่วมและความภักดีที่สูงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
 

5. Music Marketing ไม่ซ้ำใคร

การใช้เสียงดนตรีกับการตลาดนั้นอาจเป็นวิธีที่ไม่เหมือนใครในแง่ของการสร้างการรับรู้ถึงผลิตภัณฑ์และบริการ การเลือกใช้ศิลปินหรือเพลงที่เหมาะสมจะสามารถกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภคในสิ่งที่คุณนำเสนอได้ ดังนั้นการค้นหาสิ่งที่เหมือนกันระหว่างศิลปินกับธุรกิจของคุณจึงเป็นขั้นตอนที่สำคัญ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่คุณขาย ตัวอย่างเช่น หากธุรกิจของคุณทำการตลาดผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม การจับคู่แคมเปญของคุณกับศิลปินที่หลงใหลในความยั่งยืน และมีภาพลักษณ์ของการใส่ใจสิ่งแวดล้อมย่อมเพิ่มยอดขายให้แก่ธุรกิจได้
 

6. Music Marketing นำไปสู่โอกาสใหม่ๆ

อุตสาหกรรมดนตรีเติบโตอย่างมากในปัจจุบัน ในโลกดิจิทัลทุกวันนี้ ใครๆ ก็สามารถเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จได้ในชั่วข้ามคืน แน่นอนว่ามันช่วยสร้างคุณค่าสำหรับธุรกิจด้วย สมมติว่าคุณใช้เพลงของศิลปินในวิดีโอการตลาด จากนั้นพวกเขาก็ถ่ายมิวสิกวิดีโอที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ชิ้นหนึ่งของคุณที่กลายเป็นไวรัล ในขั้นตอนนี้คุณสามารถตัดสินใจขยายความสัมพันธ์กับศิลปินโดยสร้างความร่วมมือกับแบรนด์ได้
 
มาถึงตรงนี้เห็นได้ว่ามีหลายเหตุผลที่เราควรพิจารณาใช้ดนตรีในกลยุทธ์การตลาด กล่าวคือ ดนตรีและการตลาดเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพิ่มการมองเห็น และเพิ่มการมีส่วนร่วมในหมู่ผู้ชมของคุณ การดึงการตอบสนองทางอารมณ์จากผู้ชมของคุณด้วยการทำงานร่วมกับศิลปินที่มีไลฟ์สไตล์คล้ายคลึงกันจะช่วยให้คุณสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ นอกจากนี้ การเป็นพันธมิตรกับศิลปินหน้าใหม่ยังนำไปสู่โอกาสใหม่และน่าตื่นเต้น ช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ให้เติบโตควบคู่ไปกับการทำตลาดเพลงดิจิทัล
 

วิธีสร้างกลยุทธ์ Music Marketing

วิธีสร้างกลยุทธ์ Music Marketing
การสร้างกลยุทธ์การตลาดด้วยเสียงดนตรีนั้นเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายและช่วยเพิ่มการจดจำแบรนด์ ซึ่งต่อไปนี้คือ ขั้นตอนต่างๆ ที่สำคัญในการพัฒนากลยุทธ์การตลาดด้วยเสียงเพลงที่มีประสิทธิภาพครับ
 

1. กำหนดตัวตนและวัตถุประสงค์ของแบรนด์

ระบุตัวตนและคุณค่าของแบรนด์ของคุณให้ชัดเจน ทำความเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการบรรลุด้วยแคมเปญการตลาดด้วยเสียงดนตรีของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ โปรโมตผลิตภัณฑ์ใหม่ หรือสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับผู้ชมของคุณ การมีวัตถุประสงค์ที่เฉพาะเจาะจงจะกลายเป็นแนวทางปฏิบัติที่สำคัญในกลยุทธ์ของคุณ
 

2.ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย

ทำการวิจัยตลาดเพื่อระบุความชอบ ความสนใจ และพฤติกรรมเกี่ยวกับดนตรีของกลุ่มเป้าหมายของคุณ ข้อมูลนี้จะช่วยให้คุณเลือกสไตล์เพลงและศิลปินที่เหมาะสมซึ่งโดนใจผู้ชมของคุณ
 

3. เลือกเพลงที่เหมาะสม

เลือกเพลงที่เข้ากับภาพลักษณ์ของแบรนด์และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ โดยอาจเป็นการประพันธ์ต้นฉบับ แทร็กที่มีลิขสิทธิ์ หรือการทำงานร่วมกับนักดนตรีหรือศิลปิน เพลงควรกระตุ้นอารมณ์และความรู้สึกที่คุณต้องการเชื่อมโยงกับแบรนด์ของคุณ
 

4. สร้างเนื้อหาที่น่าสนใจ

พัฒนาเนื้อหาที่สร้างสรรค์และมีส่วนร่วมซึ่งรวมเพลงที่เลือกเข้ากับความพยายามในการสร้างแบรนด์ของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงวิดีโอ โฆษณา โพสต์บนโซเชียลมีเดีย พอดคาสต์ หรือเพลย์ลิสต์ที่มีแบรนด์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเนื้อหาสามารถแชร์ได้และดึงดูดผู้ชมของคุณ
 

5. ใช้ประโยชน์จากโซเชียลมีเดีย

ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียเพื่อเผยแพร่เนื้อหาเกี่ยวกับเสียงเพลงของคุณ มีส่วนร่วมกับผู้ชมของคุณผ่านความท้าทาย การแข่งขัน หรือแคมเปญเชิงโต้ตอบ ทำงานร่วมกับผู้มีอิทธิพลหรือนักดนตรีที่มีผู้ติดตามจำนวนมากเพื่อขยายการเข้าถึงแบรนด์ของคุณ
 

6.โปรโมชั่นออฟไลน์

อย่าลืมวิธีการโฆษณาแบบเดิมๆ คุณสามารถใช้กลยุทธ์การตลาดทางดนตรีของคุณในโฆษณาทางทีวีและวิทยุ งานอีเวนต์ และการเป็นสปอนเซอร์ พิจารณาการเป็นพันธมิตรกับเทศกาลดนตรีหรือกิจกรรมในท้องถิ่นเพื่อเพิ่มการมองเห็นแบรนด์ของคุณ
 

7. สร้างเพลย์ลิสต์ 

จัดการเพลย์ลิสต์บนแพลตฟอร์มการสตรีมเพลงยอดนิยมต่างๆ เช่น Spotify, Apple Music หรือ YouTube Music สร้างเพลย์ลิสต์ที่สะท้อนถึงบุคลิกของแบรนด์และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ เพลย์ลิสต์เหล่านี้อาจรวมถึงเนื้อหาที่มีแบรนด์ของคุณด้วย
 

8. การวัดและวิเคราะห์

ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อวัดประสิทธิภาพของความพยายามทางการตลาดเพลงของคุณ ติดตามเมตริกการมีส่วนร่วม การโต้ตอบบนโซเชียลมีเดีย การเข้าชมเว็บไซต์ และความคิดเห็นต่อแบรนด์โดยรวม ใช้ข้อมูลนี้เพื่อปรับแต่งและปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณ
 

9. สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว

สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับศิลปิน นักดนตรี และผู้สร้างเนื้อหา การทำงานร่วมกันอย่างสม่ำเสมอสามารถช่วยรักษาความต่อเนื่องของแบรนด์และเสริมสร้างการเชื่อมต่อกับผู้ชมของคุณ
 

10. ติดตามเทรนด์และปรับตัว

 อุตสาหกรรมเพลงและความต้องการของผู้บริโภคมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นคุณจำเป็นต้องติดตามเทรนด์ล่าสุดและปรับใช้กับกลยุทธ์การตลาดด้วยเสียงเพลงของคุณ และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนวิธีการของคุณตามข้อเสนอแนะและโอกาสที่เกิดขึ้นใหม่
 
 
สรุป
 
ดนตรีเป็นมากกว่าเสียงที่น่าฟัง มันเป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการยกระดับความพยายามในการสร้างแบรนด์ ด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังทางอารมณ์ของดนตรี ธุรกิจต่างๆ สามารถเชื่อมต่อกับผู้ชมในระดับที่ลึกขึ้น ส่งเสริมความภักดีต่อแบรนด์ และสร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำซึ่งจะสะท้อนใจไปอีกหลายปี ตั้งแต่การสร้างเอกลักษณ์ทางเสียงที่ไม่เหมือนใครไปจนถึงการสร้างอารมณ์และการยอมรับความเกี่ยวข้องในระดับภูมิภาค ดนตรีนำเสนอความเป็นไปได้ที่ไม่มีที่สิ้นสุดสำหรับแบรนด์ต่างๆ ในการสร้างผลกระทบที่ยั่งยืน
 
ในฐานะนักการตลาด เราต้องตระหนักถึงศักยภาพของดนตรีว่าเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของเรา และปลดล็อกศักยภาพที่สอดคล้องกันเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่ทรงพลังกับผู้บริโภคทั่วโลก  กลยุทธ์การตลาดทางดนตรีที่ประสบความสำเร็จนั้นต้องการความคิดสร้างสรรค์ ความสม่ำเสมอ และความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับแบรนด์และผู้ชมของคุณ เมื่อรวมองค์ประกอบเหล่านี้เข้าด้วยกัน คุณจะสามารถสร้างแคมเปญการสร้างแบรนด์ที่ขับเคลื่อนด้วยเสียงเพลงได้อย่างน่าสนใจ ซึ่งโดนใจผู้บริโภคและยกระดับเอกลักษณ์ของแบรนด์คุณ
 
 
 
แหล่งที่มา :
 
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *