ดนตรีเป็นมากกว่าศิลปะ เสียงดนตรีมีพลังในการปลุกเร้าอารมณ์ ช่วยนำเราไปสู่ความทรงจำและทำให้ผู้คนจากหลากหลายวัฒนธรรมเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านเสียงเพลง นอกจากนี้ ในแง่ของการตลาด เราจะเห็นได้ว่ามีแบรนด์จำนวนไม่น้อยที่อาศัยพลังของเสียงดนตรีเพื่อสร้างการรับรู้และการจดจำให้แก่แบรนด์ที่เรียกว่าการใช้กลยุทธ์ Music Marketing นั่นเอง ในโลกของธุรกิจและการตลาด การสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ให้แข็งแกร่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความสำเร็จในระยะยาวที่มากกว่าแค่โลโก้หรือสโลแกน มันเกี่ยวกับการปลูกฝังความสัมพันธ์ทางอารมณ์กับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งในเนื้อหาของบทความวันนี้เราจะมาสำรวจไปพร้อมกันว่าการตลาดทางเสียงดนตรีนั้นจะสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการยกระดับความพยายามในการสร้างแบรนด์ได้อย่างไร ตลอดจนช่วยสร้างการผสมผสานที่กลมกลืนซึ่งสอดคล้องกับลูกค้าและทำให้ธุรกิจของคุณแตกต่างจากคู่แข่งได้อย่างไรครับ
ทำความเข้าใจสมองกับดนตรี
สมองกับเสียงดนตรี
จิตวิทยาเบื้องหลังเสียงดนตรี
- จังหวะ คือ จังหวะที่เคลื่อนไหว เมื่อเพลงเล่นในจังหวะเร็ว เราจะเคลื่อนไหวเร็วขึ้น หากจังหวะของเพลงช้า เราจะเคลื่อนไหวช้าลง การศึกษาแสดงให้เห็นว่าผู้ซื้อจะจับคู่จังหวะการเล่นเพลงในซูเปอร์มาร์เก็ต เมื่อมีการเปิดเพลงจังหวะเร็ว ผู้บริโภคจะใช้เวลาน้อยลงในการค้นหาเพราะพวกเขาเคลื่อนที่ผ่านร้านค้าได้เร็วกว่า แต่เมื่อเล่นเพลงช้าลง ลูกค้าจะใช้เวลาค้นหามากขึ้น ซึ่งในที่สุดอาจนำไปสู่การซื้อได้ เมื่อรู้ในสิ่งนี้ ร้านอาหารสามารถเปิดเพลงจังหวะเร็วเพื่อให้โต๊ะว่างเร็วขึ้นเพื่อรองรับแขกได้มากขึ้น และร้านค้าปลีกสามารถเปิดเพลงช้าลงเพื่อเพิ่มเวลาในการเลือกดูของนักช้อป เป็นต้น
- ระดับเสียง คือ ระดับเอาต์พุตของเสียงเพลงตั้งแต่เสียงเงียบไปจนถึงดัง จากการศึกษาค้นพบว่าเมื่อเปิดเพลงเสียงดังในซูเปอร์มาร์เก็ต ผู้บริโภคจะใช้เวลาอยู่ในร้านน้อยลง เมื่อเปิดเพลงเบาๆ ผู้บริโภคจะใช้เวลาอยู่ในร้านนานขึ้น และระดับเสียงที่สูงขึ้นในซูเปอร์มาร์เก็ตอาจส่งผลเสียต่อการขายขั้นสุดท้าย เนื่องจากระดับเสียงที่สั่นสะเทือนโสตประสาทของมนุษย์เกินไปสามารถสร้างการตอบสนองที่ไม่พอใจในผู้ซื้อ
- แนวเพลง คือ ประเภทของเพลง เช่น ฮอลิเดย์ ซอฟต์ร็อก แร็พ แจ๊ส ป๊อป เป็นต้น แนวเพลงแต่ละรูปแบบจะส่งผลต่อผู้บริโภคเป็นรายบุคคล การศึกษาแสดงให้เห็นว่าดนตรีแจ๊สและเลานจ์สามารถเพิ่มจำนวนเงินที่ผู้บริโภคใช้จ่าย ที่น่าสนใจคือดนตรีคลาสสิกนำไปสู่การเลือกซื้อไวน์ที่มีราคาแพงกว่าในร้านไวน์ ดังนั้นบร้านค้าต่างๆ ควรเล่นแนวเพลงที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายและประสบการณ์ที่แบรนด์ต้องการทำให้เกิด (เช่น ร้านอาหารรสเลิศกับบาร์ท้องถิ่นที่มีการแสดงดนตรีสด)
- โหมดเพลง หรือท่วงทำนอง การศึกษาในปี 2554 ค้นพบว่าเมื่อโหมดและจังหวะผสมผสานกันอย่างสมบูรณ์แบบ ยอดขายในร้านจะเพิ่มขึ้น เมื่อเพลงดาวน์เทมโป (ช้าและเศร้า) คลอเบาๆ การซื้อในร้านค้าจะเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเล่นเพลงดาวน์เทมโปในเมเจอร์ (ช้าๆ และแฮปปี้) จะไม่มีการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
Music Marketing คืออะไร?
ทีนี้เรามาเข้าเรื่องเกี่ยวกับการตลาดทางดนตรีกันครับ หากคุณลองจินตนาการถึงชีวิตที่ปราศจากเสียงเพลงหรือเสียงดนตรี มันคงเป็นชีวิตที่ไม่น่ารื่นรมย์สักเท่าไหร่จริงมั้ยครับ? ที่สำคัญดนตรีสามารถสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ต่างๆ ได้ในแง่ของการตลาด
ซึ่งในบริบทของการตลาด Music Marketing นั้นหมายถึง การใช้เพลงและเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับดนตรีในเชิงกลยุทธ์ เพื่อส่งเสริมและเสริมสร้างเอกลักษณ์ของแบรนด์ เพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ มีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย และท้ายที่สุด คือ ขับเคลื่อนเป้าหมายทางธุรกิจ มันเกี่ยวข้องกับการรวมองค์ประกอบของเสียงดนตรีเข้ากับความพยายามทางการตลาดของแบรนด์เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใครและน่าจดจำสำหรับผู้บริโภค สร้างการเชื่อมต่อกับผู้บริโภค กระตุ้นความรู้สึกหรือความทรงจำที่เฉพาะเจาะจง และขับเคลื่อนการมีส่วนร่วม ตลอดจนการรับรู้ถึงแบรนด์และยอดขายในที่สุด
อย่างที่เรากล่าวไปข้างต้น เสียงดนตรีนั้นมีผลกระทบอย่างมากต่ออารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เนื่องจากความสามารถในการกระตุ้นความรู้สึกและความทรงจำที่แข็งแกร่ง มันสามารถกระตุ้นความคิดถึง ความตื่นเต้น ความผ่อนคลาย และแม้กระทั่งมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจ เพลงประเภทต่างๆ เพลงที่มีจังหวะเร็วและจังหวะที่สนุกสนานมักจะเพิ่มระดับความเร้าอารมณ์และพลังงาน ในขณะที่เพลงช้าและไพเราะจะช่วยส่งเสริมอารมณ์ผ่อนคลาย ซึ่งต่อไปนี้คือตัวอย่างวิธีการต่างๆ ที่แบรนด์จะสามรถใช้เสียงดนตรีรวมไว้ในกลยุทธ์ การตลาดทางเสียงดนตรีครับ
1. เพลงโฆษณา
2. การสร้างแบรนด์
3. เนื้อหาโซเชียลมีเดีย
4. สร้างบรรยากาศในร้านค้า
5. การทำงานร่วมกัน
6. แคมเปญเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้น
7. แคมเปญเพื่อการกุศล
ประโยชน์ของ Music Marketing
1. Music Marketing ช่วยสร้างตัวตนของแบรนด์
- เสียงสะท้อนทางอารมณ์ : ดนตรีมีความสามารถอันทรงพลังในการปลุกอารมณ์ ความทรงจำ และความรู้สึก เมื่อแบรนด์ใช้เสียงเพลงอย่างมีกลยุทธ์ในแคมเปญการตลาด แบรนด์ต่างๆ จะสามารถเข้าถึงอารมณ์ของผู้ชม และสร้างความสัมพันธ์ที่น่าจดจำและมีความหมายกับพวกเขาได้ เนื่องจากเสียงสะท้อนทางอารมณ์เหล่านี้ช่วยตอกย้ำคุณค่า บุคลิกภาพ และจุดยืนของแบรนด์ในใจผู้บริโภคได้
- ความสม่ำเสมอและการจดจำ : การใช้เพลงเฉพาะหรือเสียงเมโลดี้สั้นๆ ที่ติดหูในช่องทางการตลาดต่างๆ อย่างสม่ำเสมอ สามารถนำไปสู่การจดจำแบรนด์ได้ เมื่อผู้คนได้ยินเพลงที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ พวกเขาจะเชื่อมโยงกับบริษัท ผลิตภัณฑ์ หรือบริการในทันที ซึ่งช่วยเสริมเอกลักษณ์ของแบรนด์เมื่อเวลาผ่านไป
- การสร้างความแตกต่าง : ในตลาดที่มีผู้คนหนาแน่น ดนตรีสามารถเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์จากคู่แข่ง ด้วยการใช้ดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์หรือโดดเด่นที่สอดคล้องกับเอกลักษณ์ของแบรนด์ บริษัทสามารถสร้างความโดดเด่นและสร้างความประทับใจในใจของผู้บริโภคได้
- การกำหนดเป้าหมายตามกลุ่มประชากรเฉพาะ : การกำนหดแนวเพลงมักจะแตกต่างกันไปตามกลุ่มประชากรต่างๆ ด้วยการเลือกแนวเพลงหรือสไตล์เพลงที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จะสามารถเข้าถึงและมีส่วนร่วมกับฐานผู้บริโภคเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่กำหนดเป้าหมายไปยังคนหนุ่มสาวที่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีอาจใช้เพลงที่ทันสมัยและมีจังหวะสนุกสนาน ในขณะที่แบรนด์หรูอาจเลือกองค์ประกอบของเพลงที่ซับซ้อนและหรูหรากว่า เป็นต้น
- การเล่าเรื่อง : ดนตรีช่วยเสริมประสิทธิภาพในการเล่าเรื่องของแบรนด์ เมื่อนำเสียงเพลงไปใช้ในโฆษณาหรือวิดีโอส่งเสริมการขาย แบรนด์ต่างๆจะสามารถสร้างเรื่องราวที่เสริมข้อความและคุณค่าของแบรนด์ ทำให้น่าจดจำและมีส่วนร่วมมากขึ้นสำหรับผู้ชม
- ความเชื่อมโยงของแบรนด์ : เสียงดนตรีสามารถช่วยให้แบรนด์เชื่อมโยงกับอารมณ์ ไลฟ์สไตล์ หรือประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงของผู้บริโภคได้ ตัวอย่างเช่น แบรนด์กีฬาอาจใช้ดนตรีที่มีพลังและสร้างแรงบันดาลใจเพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ที่กระฉับกระเฉงและดีต่อสุขภาพ เป็นต้น
- การแบ่งปันทางสังคมและกระแสนิยม : เพลงที่น่าจดจำในแคมเปญการตลาดสามารถนำไปสู่การแบ่งปันทางสังคมและกระแสนิยมที่เพิ่มขึ้น ผู้คนมักแชร์เนื้อหาด้วยเพลงที่ติดหูหรือเพลงที่กระตุ้นอารมณ์ ซึ่งจะเป็นการขยายการเข้าถึงและการมองเห็นของแบรนด์ไปในตัว
- กิจกรรมและการตลาดเชิงประสบการณ์ : ดนตรีมีบทบาทสำคัญในกิจกรรมสดและการตลาดเชิงประสบการณ์ แบรนด์ต่างๆ สามารถใช้ดนตรีเพื่อสร้างบรรยากาศเฉพาะ ยกระดับประสบการณ์ของผู้เข้าร่วม และสร้างความประทับใจให้กับผู้เข้าร่วมงาน