ในโลกยุคดิจิทัลที่ข้อมูลข่าวสารและเทรนด์ต่าง ๆ กระจายอย่างรวดเร็วบนโซเชียลมีเดีย พฤติกรรมผู้บริโภคโดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z (เกิดระหว่างปี 1997–2012) ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ต่อวงการค้าปลีกและแบรนด์ต่าง ๆ หนึ่งในปรากฏการณ์ที่ถือว่าโดดเด่นมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ “Dupe Culture” ที่สะท้อนแนวคิดใหม่ของการช้อปที่ไม่ได้ยึดติดกับการซื้อของแพงเสมอไป แต่ให้ความสำคัญกับ “คุณค่า ความคุ้มค่า และการเข้าถึงได้ง่าย” มากกว่า ในบทความนี้ Talka จะพาไปเจาะลึกว่าวัฒนธรรมนี้คืออะไร ทำไมถึงเป็นที่นิยมในหมู่ Gen Z รวมถึงดูว่ามีผลกระทบต่อแบรนด์อย่างไร ตลอดจนอธิบายว่าสิ่งนี้จะนำไปต่อยอดในเชิงกลยุทธ์ได้อย่างไรบ้างครับ
Dupe Culture คืออะไร?

Dupe Culture หมายถึง สิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาเลียนแบบหรือทดแทนแบรนด์ดัง (มาจากคำว่า Duplicate) โดยมีคุณสมบัติที่ “ใกล้เคียง” แต่ไม่ใช่การทำของปลอมหรือก๊อปปี้ที่ผิดกฎหมาย หากเป็นสินค้าที่สามารถมอบทั้ง ฟังก์ชัน คุณภาพ หรือดีไซน์ที่ใกล้เคียงกับแบรนด์เนมราคาแพง ในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่า ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าคุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไป โดยไม่จำเป็นต้องควักเงินเพื่อซื้อแบรนด์หรูเสมอไป
ตัวอย่างเช่น เครื่องสำอางราคาหลักร้อย ที่มีคุณสมบัติการใช้งานใกล้เคียงกับลิปสติก Dior หรือรองพื้นจาก Charlotte Tilbury แม้จะไม่ได้หรูหราเทียบเท่า แต่ก็สร้างประสบการณ์การใช้งานที่ตอบโจทย์ได้ไม่แพ้กัน การมาของ Dupe จึงทำให้โลกการช้อปปิ้งเปลี่ยนไป เพราะผู้คนตระหนักว่า “คุณภาพที่ดีไม่จำเป็นต้องมาพร้อมกับราคาสูงเสมอไป”
ความแตกต่างระหว่าง “Dupe” กับ “ของปลอม”
การทำความเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “Dupe” และ “ของปลอม (Fake/Counterfeit)” ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะแม้ทั้งคู่จะดูเหมือนเป็นการเลียนแบบ แต่แก่นแท้ และผลกระทบกลับแตกต่างกันอย่างชัดเจน
- Dupe: คือสินค้าที่ถูกกฎหมาย มีการออกแบบ ฟังก์ชัน หรือคอนเซปต์ที่คล้ายคลึงกับสินค้าดังในตลาด แต่ไม่ได้ทำการละเมิดเครื่องหมายการค้า โลโก้ หรือชื่อแบรนด์โดยตรง จุดมุ่งหมายของ Dupe คือ “การสร้างทางเลือก” ให้ผู้บริโภคเข้าถึงสไตล์หรือฟังก์ชันที่ใกล้เคียงกับของหรูในราคาที่เข้าถึงง่ายขึ้น เช่น ลิปสติกโทนสีแดงกำมะหยี่ที่ใกล้เคียงกับ Dior แต่ราคาเพียงหลักร้อย ซึ่งกลายเป็นทางเลือกยอดนิยมสำหรับผู้ที่อยากลองของดีแต่ไม่อยากจ่ายแพง
- ของปลอม (Fake/Counterfeit): คือสินค้าที่จงใจเลียนแบบทั้งชื่อ โลโก้ แพ็กเกจจิ้ง และรายละเอียดอื่น ๆ ให้เหมือนของแท้ทุกประการ โดยมีจุดประสงค์เพื่อหลอกขายให้ผู้บริโภคเชื่อว่าเป็นสินค้าของจริง ซึ่งไม่เพียงแต่ผิดกฎหมาย แต่ยังสร้างผลเสียต่อวงการธุรกิจโดยรวม อีกทั้งยังไม่สามารถสร้างคุณค่าในระยะยาว เพราะผู้ซื้ออาจผิดหวังกับคุณภาพที่ต่ำและรู้สึกถูกหลอก
การแยกความแตกต่างนี้จึงสำคัญมาก เพราะ Dupe คือ การสร้างทางเลือกอย่างโปร่งใส ในขณะที่ ของปลอม คือ การสร้างความเข้าใจผิด และทำลายความน่าเชื่อถือ
จุดเด่นของ Dupe Culture
สิ่งที่ทำให้ Dupe Culture กลายเป็นกระแสหลัก โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Z มีจุดเด่นที่น่าสนใจหลายประการ ได้แก่
- ราคาถูกกว่ามาก แต่ยังใช้ได้จริง: จุดขายสำคัญของ Dupe คือ การที่ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าที่ให้ฟังก์ชันใกล้เคียงกับแบรนด์ดังในราคาที่ถูกกว่าหลายเท่าตัว ตัวอย่างเช่น แปรงแต่งหน้าที่มีคุณภาพใกล้เคียง Sephora แต่ราคาเพียงหนึ่งในห้า ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่าการจ่ายเงินคุ้มค่าและไม่รู้สึกเสียดายเงิน
- เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงสินค้า “สไตล์เดียวกับของหรู” ได้ง่ายขึ้น: ในอดีต การครอบครองของแบรนด์เนมถือเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม แต่วันนี้ Dupe ทำให้ทุกคนสามารถสัมผัสสไตล์เดียวกันได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีฐานะร่ำรวย ส่งผลให้แฟชั่นและความงามไม่ถูกจำกัดเฉพาะคนที่มีทุนทรัพย์สูง
- ได้รับแรงหนุนจากโซเชียลมีเดีย: กระแส Dupe ได้รับการผลักดันอย่างมากจากแพลตฟอร์มอย่าง TikTok, Instagram และ YouTube ที่เต็มไปด้วยคอนเทนต์รีวิว การเปรียบเทียบ “ของแพง vs. ของถูก” หรือคอนเทนต์ แนะนำว่า “สินค้านี้คือ Dupe ของ…” สิ่งเหล่านี้ทำให้ Dupe ถูกยอมรับในวงกว้างและถูกแชร์ต่ออย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในหมู่คนรุ่นใหม่ที่ให้ความสำคัญกับรีวิวจริงมากกว่าการโฆษณาแบบดั้งเดิม
กล่าวโดยสรุป วัฒนธรรม Dupe คือ การเปลี่ยนสมการการช้อปปิ้ง จากที่เคยเน้นแบรนด์และราคาสูง มาเป็นการมองหาทางเลือกที่คุ้มค่าและตอบโจทย์จริง ๆ ในชีวิตประจำวัน
ทำไม Gen Z ถึงหลงใหล Dupe Culture?

พฤติกรรมของ Gen Z มีความพิเศษและแตกต่างจากก่อน ๆ อย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นค่านิยม ไลฟ์สไตล์ หรือวิธีคิดในเรื่องการเงินและการใช้ชีวิต ทำให้การเกิดขึ้นของ Dupe ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลลัพธ์ที่สอดคล้องกับวิธีคิดของพวกเขาอย่างแท้จริง ต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Gen Z หลงใหลและโอบรับวัฒนธรรม Dupe อย่างกว้างขวางครับ
1. มุมมองต่อแบรนด์หรูที่เปลี่ยนไป
ในอดีต การครอบครองสินค้าราคาแพง เช่น กระเป๋าแบรนด์เนมหรือรองเท้ารุ่นลิมิเต็ด ถือเป็นเครื่องหมายแสดงถึงความสำเร็จและสถานะทางสังคม แต่สำหรับ Gen Z การบริโภคไม่ได้หมายถึงการโชว์ฐานะอีกต่อไป เพราะพวกเขามีความเชื่อว่า “การเป็นตัวเอง” สำคัญกว่าการครอบครองโลโก้หรูแทนที่จะลงทุนหลายหมื่นบาทเพื่อซื้อกระเป๋าใบเดียว Gen Z เลือกที่จะมีหลายใบที่เป็น Dupe แต่สามารถสลับใช้ได้ตามโอกาสและสไตล์การแต่งตัว พวกเขาไม่ได้รู้สึกว่าการไม่ถือของแท้ทำให้คุณค่าน้อยลง แต่กลับมองว่าเป็นการตัดสินใจที่ฉลาดและเข้ากับยุคสมัยมากกว่า ของแพงจึงไม่ได้เป็นคำตอบที่ดีที่สุดเสมอไป แต่การเลือกของที่ “สะท้อนตัวตน ใช้งานได้จริง และเข้าถึงได้” ต่างหากที่สำคัญ
2. ความฉลาดเรื่องการเงิน
Gen Z เติบโตขึ้นในยุคที่เศรษฐกิจโลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ตั้งแต่ภาวะเงินเฟ้อ การแข่งขันทางการศึกษา ไปจนถึงการเริ่มต้นทำงานที่เต็มไปด้วยความท้าทาย ทำให้พวกเขาซึมซับการใช้เงินอย่างมีสติและคำนึงถึงความคุ้มค่าเป็นหลัก พวกเขาไม่อยากเป็นหนี้หรือทุ่มงบไปกับสิ่งที่ไม่ได้สร้างคุณค่าในระยะยาวการเลือกซื้อ Dupe จึงไม่ใช่แค่เรื่องราคาถูก แต่เป็นการตัดสินใจที่สะท้อนความฉลาดทางการเงิน (Financial Literacy) ตัวอย่างเช่น การเลือกซื้อสกินแคร์ราคาหลักร้อยที่มีสารสกัดเหมือนแบรนด์หรูหลักพัน หรือการเลือกหูฟังไร้สายที่ฟังก์ชันใกล้เคียง AirPods แต่ราคาถูกกว่าหลายเท่า สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า Gen Z ให้ความสำคัญกับ Value for Money มากกว่าการซื้อเพื่อภาพลักษณ์
3. พลังของโซเชียลมีเดีย
หนึ่งในปัจจัยที่ขับเคลื่อนวัฒนธรรม Dupe อย่างมหาศาลคือพลังของแพลตฟอร์มโซเชียล โดยเฉพาะ TikTok ที่ทำให้ทุกคนสามารถสร้างคอนเทนต์รีวิวแบบสั้น ๆ และเข้าถึงผู้คนนับล้านได้ในเวลาอันรวดเร็ว แฮชแท็ก #dupe มีการเข้าชมหลายพันล้านครั้ง และแต่ละคลิปที่นำเสนอการเปรียบเทียบ “ของแพง vs. ของถูก” มักจะไวรัลในเวลาไม่นานอินฟลูเอนเซอร์หรือแม้กระทั่งผู้ใช้งานทั่วไปต่างก็ชอบแชร์การค้นพบ Dupe เช่น “เจอลิปหลักร้อยที่เหมือน Dior เลย!” หรือ “นี่คือแก้วน้ำ Dupe ของ Stanley ที่คุ้มสุด ๆ” สิ่งนี้ไม่เพียงสร้างการพูดถึงอย่างแพร่หลาย แต่ยังปลูกฝังแนวคิดให้ผู้บริโภครุ่นใหม่มองว่า การซื้อของที่คุ้มค่าไม่ใช่เรื่องน่าอาย ตรงกันข้ามกลับเป็นเรื่องที่น่าภูมิใจและน่าแชร์ต่อ
4. การให้คุณค่ากับ Authenticity
สิ่งที่โดดเด่นใน Gen Z คือความจริงใจและโปร่งใส พวกเขาไม่ได้ชื่นชมการใช้ของแพงเพื่อสร้างภาพลักษณ์หรูหราเท่านั้น แต่ให้ความสำคัญกับการเลือกสิ่งที่ตรงกับความต้องการจริง ๆ และเหมาะสมกับชีวิตตนเองมากกว่า การเลือกซื้อ Dupe จึงกลายเป็นการประกาศตัวตนอย่างหนึ่งว่า “ฉันไม่จำเป็นต้องเสียเงินเพื่อซื้อแบรนด์ แต่ฉันเลือกสิ่งที่เหมาะกับฉันและใช้แล้วโอเคจริง ๆ”
ความคิดนี้สะท้อนความเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรมอย่างชัดเจน เพราะจากเดิมที่การบริโภคของแพงถูกมองว่าเป็นความภูมิใจ ปัจจุบัน Gen Z มองว่าความภูมิใจที่แท้จริงคือ การเลือกที่ฉลาดและซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ซึ่งกระแส Dupe ก็ตอบโจทย์สิ่งนี้ได้อย่างสมบูรณ์มาถึงตรงนี้ เราจะเห็นว่าพฤติกรรมของ Gen Z มองว่า “คุณค่าที่แท้จริง” ไม่ได้ขึ้นอยู่กับราคา แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่สินค้านั้นมอบให้ เช่น คุณภาพ การใช้งาน และความเข้ากับสไตล์ส่วนตัว
แม้ว่าวัฒนธรรม Dupe อาจสนับสนุนการบริโภคแบบมากเกินไป (Overconsumption) เพราะราคาถูก แต่ในอีกด้านหนึ่งก็ช่วยลดแรงกดดันให้คนไม่ต้องดิ้นรนซื้อของแพงเพื่อรักษาภาพลักษณ์ สิ่งนี้ทำให้การแสดงออกด้านแฟชั่นและบิวตี้ไม่จำกัดอยู่เฉพาะคนที่มีฐานะ เพราะทุกคนสามารถมี “ลุคที่ใกล้เคียง” กันได้ในราคาที่เข้าถึงได้
ตัวอย่างของ Dupe Culture ในปัจจุบัน

ก่อนจะเจาะลึกลงไปว่าวัฒนธรรม Dupe นั้นแพร่หลายอยู่ในวงการไหนบ้าง สิ่งที่น่าทึ่งคือปรากฏการณ์นี้ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงสินค้าประเภทเดียว แต่กระจายตัวแทบทุกแวดวงที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ตั้งแต่การแต่งหน้า การแต่งตัว ไปจนถึงแกดเจ็ตและไลฟ์สไตล์ เพราะที่ใดมี “ของแพง” ที่ถูกยกให้เป็นมาตรฐาน ที่นั่นก็มักจะมี “Dupe” เกิดขึ้นตามมาเสมอ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคเข้าถึงสิ่งที่ใกล้เคียงได้ในราคาย่อมเยา
และหากจะพูดถึงพื้นที่ที่วัฒนธรรม Dupe เติบโตเร็วที่สุดและชัดเจนที่สุด คงหนีไม่พ้น วงการบิวตี้ เนื่องจากเครื่องสำอางและสกินแคร์เป็นสินค้าที่มีความหลากหลายสูง ทั้งแบรนด์หรูที่ราคาแรง และแบรนด์ Drugstore ที่เข้าถึงได้ง่าย ทำให้การเปรียบเทียบ “ของแพง vs. ของถูก” เป็นคอนเทนต์ที่ผู้คนให้ความสนใจอย่างมหาศาล โดยเฉพาะในหมู่ Gen Z ที่ชอบทดลองและเปิดใจยอมรับแบรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
1. บิวตี้
โลกแห่งความงามถือเป็นสมรภูมิหลักของ Dupe เพราะสินค้าประเภทเครื่องสำอางและสกินแคร์มักมีราคาที่หลากหลาย ตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหลายพันบาท แต่สิ่งที่ Gen Z ค้นพบคือ ราคาไม่ได้เป็นตัวชี้วัดคุณภาพเสมอไป
- รองพื้น & ลิปสติก : หลายครั้งแบรนด์ Drugstore อย่าง Maybelline, e.l.f. หรือ Essence กลับถูกยกย่องว่าเป็น Dupe ของสินค้าไฮเอนด์ เช่น Fenty Beauty, Dior หรือ Charlotte Tilbury ทั้งในเรื่องเฉดสี ความติดทน และฟินิชลุคที่ได้ โดยเฉพาะลิปสติกและรองพื้น ซึ่งถูกเปรียบเทียบกันในคอนเทนต์รีวิวจำนวนมากตัวอย่างเช่น ลิปกลอสของ e.l.f. ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Dupe ของ Dior Addict Lip Glow Oil เพราะให้ความชุ่มชื้น เงางาม และโทนสีใกล้เคียง แต่ราคาต่างกันเกิน 5 เท่า
- รีวิวบน TikTok : หนึ่งในพลังขับเคลื่อน Dupe ของบิวตี้คือคอนเทนต์แนว “This is a dupe for…” ที่อินฟลูเอนเซอร์และ Beauty Blogger สร้างขึ้น การนำสินค้าสองชิ้นมาเปรียบเทียบให้เห็นผลลัพธ์แบบ Before & After ทำให้ผู้ชมรู้สึกมั่นใจว่า “ของถูกก็เวิร์กเหมือนกัน” ส่งผลให้สินค้าถูกรีวิวกลายเป็นไวรัล ยอดขายพุ่งในเวลาไม่นาน
2. แฟชั่น
แฟชั่นเป็นอีกพื้นที่ที่ Dupe เบ่งบาน เพราะการครอบครองเสื้อผ้า กระเป๋า หรือรองเท้าของแบรนด์หรูอาจเกินกำลังของ Gen Z แต่พวกเขาไม่จำเป็นต้องตามกระแสแบบเสียเงินเกินตัว
- แบรนด์ Fast Fashion : แบรนด์อย่าง Zara, H&M, Shein หรือแม้แต่แบรนด์ออนไลน์เล็ก ๆ ต่างหยิบเอาสไตล์จากรันเวย์แบรนด์หรู เช่น Chanel, Prada, Gucci มาปรับให้เป็นเวอร์ชันที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ในราคาไม่กี่ร้อยถึงพันต้น ๆ ผลลัพธ์คือเสื้อผ้าที่ “ให้ฟีลเดียวกัน” แต่ไม่ผิดกฎหมาย เพราะไม่ได้ลอกโลโก้หรือรายละเอียดการออกแบบที่เป็นเครื่องหมายการค้าโดยตรง
- กระเป๋าและรองเท้า : ไอเทมอย่างกระเป๋าทรงโบว์ของ Miu Miu หรือรองเท้าแตะหรูจาก Hermes มักถูกทำออกมาเป็น Dupe โดยแบรนด์ Fast Fashion ที่ตั้งใจผลิตให้ใกล้เคียงที่สุด แต่ใช้วัสดุที่ราคาถูกกว่า ผู้บริโภคจึงสามารถ “ตามเทรนด์” ได้โดยไม่ต้องจ่ายหลักหมื่นหรือหลักแสน
3. ไลฟ์สไตล์ & แกดเจ็ต
ไม่ใช่แค่แฟชั่นหรือบิวตี้เท่านั้น Dupe ยังแทรกซึมเข้ามาในโลกของ แกดเจ็ตและไลฟ์สไตล์ ที่ Gen Z ใช้ในชีวิตประจำวัน
- หูฟังไร้สาย : AirPods ของ Apple อาจเป็นสัญลักษณ์แห่งเทคโนโลยีและสถานะ แต่ตลาดเต็มไปด้วยหูฟังไร้สายราคาหลักร้อยหรือพันต้น ๆ ที่ถูกยกให้เป็น Dupe เพราะมีฟังก์ชันพื้นฐานครบ เช่น Bluetooth 5.0, ระบบตัดเสียงรบกวน และคุณภาพเสียงที่ “ใกล้เคียงพอ” สำหรับการใช้งานทั่วไป โดยที่ราคาถูกกว่าเกือบสิบเท่า
- ขวดน้ำเก็บความเย็น : แบรนด์ดังอย่าง Yeti หรือ Stanley Cup สร้างกระแสฮิตทั่วโลกด้วยดีไซน์ที่สวยงามและคุณสมบัติการเก็บความเย็นยาวนาน แต่ขวดน้ำราคาหลักร้อยจากแบรนด์ทั่วไปกลับถูกเรียกว่าเป็น Dupe เพราะทำหน้าที่ได้แทบไม่ต่างกัน ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าพวกเขา “ได้ของดีในราคาที่ไม่ต้องเจ็บตัวมาก”
ผลกระทบของ Dupe Culture ต่อแบรนด์

เมื่อกระแส Dupe ขยายตัวอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ตามมา คือ ผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรูที่ถูกเลียนแบบหรือแบรนด์ระดับแมสที่ผลิตสินค้าทางเลือกในราคาย่อมเยา ความจริงก็คือ Dupe ไม่เพียงแค่เปลี่ยนพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภค แต่ยังท้าทายภาพลักษณ์ ความพิเศษ และกลยุทธ์ทางการตลาดของแบรนด์ดั้งเดิมไปพร้อมกัน
อย่างไรก็ตาม ปรากฏการณ์นี้อาจไม่ได้เป็น“ภัยคุกคาม” แต่อย่างใด เพราะหากมองให้ลึกขึ้น Dupe ยังสร้างโอกาสในการปรับตัวและต่อยอดสำหรับแบรนด์ใหญ่ๆ ได้ด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราจะมาวิเคราะห์ผลกระทบของ Dupe ที่มีต่อแบรนด์ใน 3 มิติหลัก ได้แก่ ผลกระทบเชิงบวก ผลกระทบเชิงลบ และโอกาสในการปรับตัว แบบพอสังเขปครับ
1. ผลกระทบเชิงบวก
1.1 เพิ่มการเข้าถึง (Accessibility):
หนึ่งในข้อดีสำคัญของ Dupe คือ การทำให้สินค้าและเทรนด์ที่เคยถูกจำกัดอยู่ในวงแคบ ๆ ของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูง กลายเป็นสิ่งที่คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะซื้อลิปสติก Dior หรือ Charlotte Tilbury ที่ราคาหลักพัน ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อลิปสติกจาก Maybelline หรือ e.l.f. ที่ราคาเพียงไม่กี่ร้อยบาท แต่ได้สีและฟินิช ที่ใกล้เคียงกัน ผลลัพธ์คือ สินค้าหรือสไตล์ที่เคยเป็น “ของหรูจับต้องยาก” กลายเป็นสิ่งที่อยู่ในกระแสหลักมากขึ้น ซึ่งยังช่วยผลักดันให้แฟชั่นหรือเทรนด์นั้น ๆ แพร่หลายเร็วขึ้นกว่าที่เคยเป็น
1. 2 สร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness):
แม้ว่าผู้บริโภคจำนวนมากจะเลือกซื้อสินค้าประเภท Dupe แทน แต่ก็อาจยังมีการพูดถึงหรือมีการรีวิวเปรียบเทียบ “แบรนด์แท้ vs. Dupe” ซึ่งมักทำให้ชื่อแบรนด์ต้นฉบับถูกเอ่ยถึงอยู่เสมอ เช่น เมื่ออินฟลูเอนเซอร์ใน TikTok ทำคลิปรีวิวว่า “รองพื้นแบรนด์ X ราคา 2,000 บาท มี Dupe จากแบรนด์ Y ราคา 400 บาท” สิ่งนี้ไม่เพียงทำให้ Dupe ได้รับความสนใจ แต่ยังช่วยย้ำเตือนผู้บริโภคถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์หรูต้นแบบอยู่เสมอ นับเป็นการสร้างการรับรู้โดยอ้อมที่เกิดขึ้นแม้ไม่ได้ลงทุนด้านการตลาดเอง
1. 3 เปิดโอกาสให้แบรนด์ขยายฐานลูกค้าในอนาคต:
2. ผลกระทบเชิงลบ
2.1 ลดแรงจูงใจในการซื้อของแท้:
2.2 ความท้าทายต่อภาพลักษณ์พรีเมียม:
2.3 ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค:
3. โอกาสในการปรับตัว
3.1 เปิดไลน์สินค้าราคาจับต้องได้ (Affordable Line):
3.2 ใช้กระแส Dupe เป็น Content Marketing:
3.3 ยกระดับประสบการณ์ที่ Dupe เลียนแบบไม่ได้:
กลยุทธ์การตลาดสำหรับแบรนด์ใหญ่ ในยุค Dupe Culture

- ของแท้แพงกว่านี้ 10 เท่า แต่คุณค่าที่ได้จริงต่างกันขนาดนั้นหรือไม่?
- ของเลียนแบบที่ราคาถูกกว่าสามารถ “ทดแทน” ได้หรือเปล่า?
- การจ่ายเงินเพื่อแบรนด์ใหญ่คือการซื้อสินค้า หรือซื้อสัญลักษณ์บางอย่างในสังคมกันแน่?
คำถามเหล่านี้ทำให้ แบรนด์ใหญ่ต้องรีเซ็ตกลยุทธ์การตลาด เพื่อคงความเกี่ยวข้อง ทรงพลัง และไม่เสียพื้นที่ให้กับสินค้าทดแทนที่มีราคาถูกกว่า
1. ยอมรับและเข้าใจ Dupe Culture อย่างแท้จริง
ก่อนที่จะวางกลยุทธ์ใดๆ แบรนด์ใหญ่ต้องเลิกมอง “Dupe” เป็นศัตรูที่ต้องทำลาย และเริ่มมองว่า Dupe เป็น ภาพสะท้อนของความต้องการตลาด
- Insight ที่ซ่อนอยู่: การที่ผู้บริโภคแห่หา Dupe ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อยากซื้อของแท้เสมอไป แต่สะท้อนถึงความต้องการ “คุณค่าที่จับต้องได้” และ “ราคาเข้าถึงได้”
- กลยุทธ์การสื่อสาร: ยอมรับว่ามีสินค้าทดแทนราคาถูกในตลาด แต่ย้ำจุดแข็งที่ทำให้แบรนด์ใหญ่แตกต่าง เช่น คุณภาพที่พิสูจน์ได้ ความทนทาน บริการหลังการขาย และประสบการณ์ระดับพรีเมียม
กลยุทธ์: ใช้ Dupe เป็น “บันไดสู่แบรนด์แท้” เช่น ทำคอนเทนต์เปรียบเทียบ “Dupe vs ของจริง” โดยไม่โจมตี แต่เน้นให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าที่เหนือกว่าของแบรนด์
2. สร้างคุณค่าใหม่เหนือการเปรียบเทียบ (Beyond Price & Product)
หนึ่งในสาเหตุที่ Dupe ขยายตลาดได้ง่าย เพราะการเปรียบเทียบมักหยุดอยู่ที่ “คุณภาพ + ราคา” ซึ่งบางครั้งผู้บริโภคอาจมองว่าใกล้เคียงกัน แบรนด์ใหญ่จึงต้อง ขยับสนามการแข่งขัน ไปในมิติที่คู่แข่งเลียนแบบได้ยาก
- สร้าง Experience: การซื้อสินค้าจากแบรนด์ใหญ่ควรเป็น “ประสบการณ์” ไม่ใช่แค่การได้สินค้า เช่น การจัดอีเวนต์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ การเปิดตัวสินค้าด้วย Immersive Experience หรือการสร้าง Loyalty Program ที่ทรงพลัง
- บริการหลังการขาย: การรับประกัน การซ่อมฟรี บริการ Personalized Care — สิ่งเหล่านี้เป็นจุดที่ Dupe ไม่สามารถเลียนแบบได้
- Brand Community: ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของคอมมูนิตี้พิเศษ เช่น Nike Run Club หรือ Sephora Beauty Insider ที่สร้างคุณค่าทางสังคมให้กับผู้ซื้อ
3. ใช้ Emotional Branding สร้างความต่าง
ในยุคที่ของเลียนแบบ “เหมือน” ได้เกือบทุกอย่าง การสร้างความผูกพันเชิงอารมณ์คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดของแบรนด์ใหญ่
- เล่าเรื่องราว (Storytelling): เน้นเล่าที่มาของแบรนด์ ประวัติ ความตั้งใจ ความเชี่ยวชาญ — สิ่งที่ Dupe ไม่มีทางลอกเลียนได้
- เชื่อมโยงคุณค่ากับ Lifestyle: เช่น Apple ที่ไม่ขายแค่ “iPhone” แต่ขายวิธีการใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และความแตกต่าง
- สร้าง Brand Purpose: ผู้บริโภครุ่นใหม่ต้องการสนับสนุนแบรนด์ที่ยืนหยัดในประเด็นที่พวกเขาสนใจ เช่น ความยั่งยืน สิทธิมนุษยชน หรือการลดขยะ
4. กลยุทธ์ Pricing ที่ชาญฉลาด
การตั้งราคาเป็นจุดเปราะบางที่สุดของแบรนด์ใหญ่เมื่อเผชิญ Dupe แต่อย่าเพิ่งรีบลดราคามาชน เพราะอาจทำให้สูญเสียภาพลักษณ์พรีเมียม ควรใช้วิธีการที่ชาญฉลาดกว่า
- ทำ Sub-Brand หรือ Line Extension: เปิดแบรนด์ย่อยราคาจับต้องได้ เช่น Zara Beauty, H&M Home หรือ Fenty Beauty ที่วางตัวเข้าถึงง่ายแต่ยังคงภาพลักษณ์เจ้าแม่แฟชั่น/ความงาม
- Limited Edition: เปิดตัวสินค้าพิเศษที่สร้างความต้องการ (Demand) แทนการลดราคา
- Tiered Pricing: ทำให้มีหลายระดับราคา เช่น Apple ที่มีทั้ง iPhone SE และ Pro Series เพื่อตอบโจทย์หลายกลุ่มลูกค้า
5. ใช้ Influencer และ UGC โต้กลับอย่างแยบยล
อินฟลูเอนเซอร์และคอนเทนต์จากผู้ใช้งาน (UGC) คือตัวขับเคลื่อนสำคัญของ Dupe Culture ดังนั้นแบรนด์ใหญ่ต้องใช้เกมเดียวกัน แต่เล่นให้เหนือกว่า
- จับมือกับ Micro-influencer: เพราะพวกเขามีความน่าเชื่อถือและเข้าถึงกลุ่ม Gen Z ได้ดีกว่า
- สร้าง Challenge หรือ Hashtag Campaign: ที่ให้ผู้ใช้รีวิวสินค้าจริง พร้อมแชร์ประสบการณ์ที่ Dupe ให้ไม่ได้
- คอนเทนต์เปรียบเทียบ: ให้ผู้ใช้ทดลองทั้ง Dupe และของจริง แล้วแชร์ผลลัพธ์อย่างตรงไปตรงมา เพื่อให้คุณค่าของแบรนด์ถูกพูดถึงเองโดยผู้บริโภค
6. สร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
แบรนด์ Dupe สามารถเลียนแบบได้เก่ง แต่สิ่งที่อาจทำได้ช้ากว่ากว่าคือ “การคิดค้นสิ่งใหม่” ดังนั้นแบรนด์ใหญ่ต้องใช้ Innovation เป็นเกราะป้องกันหลัก
- R&D ไม่หยุดนิ่ง: ออกสินค้าใหม่หรือฟีเจอร์ใหม่ตลอด เพื่อให้ Dupe ไล่ตามไม่ทัน
- ใส่เทคโนโลยีเสริม: เช่น AR/VR ในการลองสินค้า, AI ที่ช่วยเลือกสินค้าเฉพาะบุคคล, Blockchain สำหรับการยืนยันความแท้
- ขับเคลื่อนด้วย Sustainability: นวัตกรรมด้านความยั่งยืน เช่น บรรจุภัณฑ์รีไซเคิล 100% หรือสินค้าจากวัสดุรักษ์โลก
7. เล่นเกมความหรูหราแบบใหม่ (New Luxury)
Luxury ไม่ได้หมายถึง “ราคาแพง” เสมอไปอีกต่อไป ในยุค Dupe Culture ความหรูหราแบบใหม่คือ ความหายาก ความจริงใจ และการ Customize
- Rare & Unique: ทำสินค้าจำนวนจำกัดที่หายากจน Dupe ไม่สามารถผลิตได้ตาม
- Personalization: ทำให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งสินค้าได้เฉพาะตัว (Dupe ไม่สามารถเลียนแบบการ Custom ได้ในระดับเดียวกัน)
- Human Touch: เพิ่มคุณค่าของความใส่ใจจากคนจริงๆ เช่น การให้คำปรึกษาส่วนตัวจากผู้เชี่ยวชาญ
8. ใช้กลยุทธ์ Omni-channel & Phygital
ผู้บริโภคที่ซื้อ Dupe มักเข้าถึงได้ง่ายบน Online Marketplace ดังนั้นแบรนด์ใหญ่ต้องใช้ Omni-channel เพื่อสร้าง ประสบการณ์ครบวงจรทั้งออฟไลน์และออนไลน์
- Phygital Experience: ผสานประสบการณ์หน้าร้านกับโลกดิจิทัล เช่น Virtual Try-On ก่อนมาลองจริงที่สโตร์
- E-commerce Premium Store: ทำ Official Store ที่ไม่ใช่แค่ขายของ แต่สร้าง Storytelling และให้บริการสุดพิเศษ
- Click & Collect: ให้ความสะดวกสบายแบบที่ Dupe ไม่สามารถมอบได้
9. กล้าปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย
หลายแบรนด์ใหญ่ยังคงยึดติดกับความ “หรูหราแบบเก่า” ที่อาจดูห่างไกลจากชีวิตจริงของคนรุ่นใหม่ แบรนด์ที่อยู่รอดในยุค Dupe Culture ต้องกล้าปรับภาพลักษณ์
- สื่อสารแบบจริงใจ (Authentic): ลดการโฆษณาที่ดูหรูเกินจริง หันมาเล่าความจริง เบื้องหลัง และความโปร่งใส
- ร่วมมือกับศิลปิน/ครีเอเตอร์รุ่นใหม่: เพื่อทำให้แบรนด์เข้าถึงวัฒนธรรมปัจจุบันได้จริง
- ปรับโทนการตลาด: จาก “แบรนด์บนหอคอย” เป็น “เพื่อนร่วมทาง” ของผู้บริโภค
ทางรอดของแบรนด์ใหญ่ในยุค Dupe Culture ต้องเข้าใจว่า Dupe ไม่ใช่ภัยที่ต้องหวาดกลัว แต่เป็น บททดสอบให้แบรนด์ใหญ่พิสูจน์ว่าทำไมลูกค้าควรจ่ายแพงกว่าเพื่อเลือกแบรนด์แท้ แบรนด์ที่ปรับตัวได้ จะไม่เพียงแต่รอด แต่ยังสามารถ ใช้ Dupe เป็นแรงขับเคลื่อน ในการรีเฟรชตัวเอง สร้างนวัตกรรมใหม่ และสร้างความผูกพันกับผู้บริโภครุ่นใหม่ได้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม
สรุป
Dupe Culture ไม่ใช่เพียงแค่กระแสแฟชั่นชั่วคราว แต่เป็นภาพสะท้อนวิธีคิดใหม่ของผู้บริโภค Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับคุณค่า ความคุ้มค่า และความจริงใจมากกว่าภาพลักษณ์ราคาแพง แบรนด์ที่เข้าใจและปรับตัวได้ทัน จะสามารถใช้วัฒนธรรมนี้เป็นแรงขับเคลื่อนในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภครุ่นใหม่ และเปิดโอกาสทางธุรกิจที่กว้างขวางในอนาคต
บทความแนะนำ