เข้าใจ Rural Marketing การตลาดในพื้นที่ภูธร “ขุมทรัพย์ลับ” ที่รอวันถูกเปิด

Rural Marketing

Rural Marketing- ในวันที่ทุกคนพูดถึง AI, Digital Marketing, Data-Driven Strategy เชื่อมโยงกับการสร้างรายได้ทางธุรกิจ แต่เชื่อมั้ยครับว่า “ตลาดภูธร” หรือ Rural Market ยังคงเป็นหนึ่งในแหล่งทำรายได้ที่เติบโตที่สุดในหลายอุตสาหกรรมทั้งยังทำเงินได้มากกว่าตลาดในเมืองเสียอีก

ดังนั้นจึงไม่ควรตัดสินหรือมองตลาดภูธรว่าเชยหรือล้าสมัย แต่ให้มองเป็นเหมือน “ขุมทรัพย์ลับ” ที่รอวันถูกเปิด เนื่องจากแบรนด์จำนวนมากยังไม่รู้วิธีที่จะเปิดมันออกมาด้วยซ้ำ ตลาดภูธรมีลักษณะเฉพาะตัว มีพฤติกรรมผู้บริโภคที่แตกต่างออกไป มีช่องว่างที่แบรนด์สามารถเข้าไปเติมเต็มได้ และที่สำคัญมีโอกาสทำกำไรแบบที่ตลาดในเมืองให้ไม่ได้

บทความนี้ Talka จะพาคุณไปทำความเข้าใจการตลาดแบบภูธรให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในหลายแง่มุมที่น่าสนใจ เหมาะสำหรับทั้ง ธุรกิจใหญ่ SMEs ไปจนถึงนักการตลาดที่ต้องการขยายตลาดไปพื้นยังที่ต่างจังหวัด หรืออำเภอเล็ก ๆ อ่านจบแล้ว คุณจะเข้าใจ “ภูธรไทย” แบบมองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแน่นอนครับ

Rural Marketing คืออะไร?

Rural Marketing คืออะไร?
Rural Marketing หรือ “การตลาดแบบภูธร” คือ แนวคิด และกลยุทธ์การทำการตลาดที่มุ่งเน้นการเข้าถึงผู้บริโภคในพื้นที่ชนบท เมืองรอง ตำบล-อำเภอ หรือจังหวัดรอบนอกทั้งหมด กล่าวง่ายๆ คือเป็นกลุ่มลูกค้าที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในเขตเศรษฐกิจใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอนแก่น หรือตัวเมืองที่มีห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ และการค้าขายคึกคักตลอดเวลา
 
หากแต่เป็นพื้นที่ที่มีวิถีชีวิตเฉพาะตัว มีความต้องการสินค้าแตกต่างจากเมืองใหญ่ และมีรูปแบบการรับข้อมูลข่าวสารที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวมากกว่าหลายธุรกิจอาจเข้าใจผิดคิดว่าตลาดภูธรนั้นมีกำลังซื้อน้อย หรือ ถ้าตั้งราคาแพงจะขายไม่ออก แต่ความจริงกลับตรงกันข้ามแบบพลิกความคิดได้เลยครับ
 
เพราะปัจจุบันประชากรจำนวนมหาศาลของประเทศไทยกว่า 60–70% อาศัยอยู่ในพื้นที่นอกเมืองใหญ่ อีกทั้งเศรษฐกิจท้องถิ่นก็เติบโตขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น กระแสการค้าขายออนไลน์ การโอนเงินจากคนเมืองกลับบ้าน เทรนด์ Work From Home ที่กระจายรายได้ออกสู่ต่างจังหวัด รวมไปถึงธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ที่เริ่มขยายสาขาเข้าสู่เมืองรองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้กำลังซื้อในตลาดภูธรนั้นสูงขึ้นอย่างชัดเจน
 
ที่สำคัญใน Rural Market ยังคราคร่ำไปด้วยกลุ่มผู้บริโภคที่มีความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) มากกว่าที่หลายคนคิด นี่จึงไม่ใช่ “ตลาดรอง” หากแต่เป็น “ตลาดใหญ่” ที่ถูกมองข้าม และถือว่ามีศักยภาพมหาศาลสำหรับแบรนด์ที่เข้าใจพฤติกรรม ความต้องการ และวิธีเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มนี้ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
 

จุดแข็งของตลาดภูธรในยุคปัจจุบัน

  • ประชากรส่วนใหญ่ของไทยอาศัยในภูธร
  • การเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ขยายตัวเร็วมาก
  • กลุ่มนี้นิยมสินค้าจำเป็น (Essential Goods) ซึ่งขายได้เรื่อย ๆ
  • มีอิทธิพลจากความสัมพันธ์ในชุมชน (Word-of-Mouth แรงมาก)
  • การแข่งขันยังไม่หนาแน่นเท่าตลาดเมือง

ทำไมโอกาสถึงใหญ่ขนาดนี้?

ลองมองภาพตามง่าย ๆ ว่า “ในเมืองใหญ่” การแข่งขันของธุรกิจแทบทุกประเภทดุเดือดมาก ร้านค้าแบบเดียวกันเปิดหลายเจ้าในพื้นที่ไม่กี่ตารางกิโลเมตร ผู้บริโภคมีตัวเลือกแทบไม่จำกัด และมักถูกแย่งความสนใจด้วยโปรโมชั่นแรง ๆ แคมเปญถล่มราคา หรือคู่แข่งที่ผุดขึ้นใหม่ทุกวัน

 
แต่เมื่อมองกลับกัน “ต่างจังหวัด” หรือพื้นที่ภูธร กลับมีผู้เล่นในตลาดน้อยกว่ามาก บางอำเภอมีร้านขายเพียงเจ้าเดียว หรือมีคู่แข่งแค่ 1–2 ราย และผู้บริโภคในพื้นที่เหล่านี้ยังต้องซื้อสินค้าพื้นฐานซ้ำทุกวันเหมือนในเมือง ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม นม ผงซักฟอก แชมพู เครื่องปรุง ของใช้ในบ้าน หรือแม้แต่เครื่องดื่มชูกำลัง นั่นหมายความว่า ลูกค้าต้องซื้อแน่ ๆ แต่มีตัวเลือกน้อยกว่า ทำให้แบรนด์ที่เข้าไปยืนเป็นตัวเลือกแรก ๆ มีโอกาสยึดตลาดได้ง่ายกว่าแบบเทียบไม่ติดกับเมืองใหญ่
 
นี่คือเหตุผลที่ตลาดภูธรถูกเรียกว่า “ตลาดที่มีความถี่ในการซื้อสูง” (High Purchase Frequency) เพราะแม้รายได้เฉลี่ยต่อหัวอาจไม่สูงเท่าเมืองใหญ่ แต่การซื้อซ้ำเกิดขึ้นทุกสัปดาห์ และกลุ่มผู้บริโภคจำนวนมากมีพฤติกรรมภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) อย่างโดดเด่น หากพวกเขาถูกใจสินค้าแบรนด์ใดแล้วก็มักใช้ต่อเนื่องยาวนานไม่เปลี่ยนง่ายเหมือนผู้บริโภคในเมืองที่มีตัวเลือกล้นตลาด
 
ด้วยเหตุผลนี้เอง ทำให้หลายบริษัท FMCG รายใหญ่ เช่น P&G, Unilever, Oishi, CP, Dutch Mill, Coca-Cola หรือแม้แต่แบรนด์น้ำดื่มท้องถิ่นเลือกใช้กลยุทธ์ Rural Marketing เป็นหัวใจสำคัญของการเติบโต เพราะพวกเขารู้ดีว่าการเข้าถึงพื้นที่ภูธรหมายถึงการเข้าถึงประชากรส่วนใหญ่ของประเทศและยังเป็นช่องทางสร้างยอดขายแบบยั่งยืนในระยะยาว เพราะความต้องการของผู้บริโภคเกิดขึ้นซ้ำอย่างต่อเนื่องทุกวันกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ตลาดเมืองใหญ่อาจจะ “ดูใหญ่” แต่มักเต็มไปด้วยการแข่งขันที่แออัด
 
ส่วนตลาดภูธรอาจจะ “ดูเงียบ” แต่เต็มไปด้วยโอกาสที่ยังไม่มีใครจับจองอย่างจริงจัง สำหรับแบรนด์ที่กล้าเข้าไปก่อน ปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับพื้นที่ และสร้างความไว้วางใจในระดับชุมชนได้ สิ่งที่รออยู่คือ โอกาสทางการเติบโตที่มหาศาลกว่าที่คิด

Insight สำคัญของผู้บริโภคภูธร ที่นักการตลาดต้องเข้าใจ

Insight ผู้บริโภคภูธร
การจะตีตลาดภูธรให้แตกแบบทะลุปรุโปร่งจำเป็นต้องเริ่มที่การทำความเข้าใจผู้คนในพื้นที่ ผู้บริโภคในพื้นที่นี้มีชุดรูปแบบความคิด ตลอดจนพฤติกรรมการซื้อและอิทธิพลทางสังคมที่แตกต่างจากผู้บริโภคในเมืองค่อนข้างมาก โดยสามารถสรุปเป็น Insight ที่สำคัญๆ ได้ดังนี้ครับ
 

1. ความเชื่อถือ = ความสำคัญที่สุด

พวกเขาให้ความสำคัญกับ “ความน่าเชื่อถือ” สูงมาก โดยมักจะคำนึงว่า ใครพูด? มาจากไหน? ใช้จริงหรือไม่? คนในหมู่บ้านเคยใช้ไหม? นี่คือเหตุผลที่ word-of-mouth รีวิวจากคนใกล้ตัว และการทดลองใช้จริงมีผลลัพธ์มากกว่าการโฆษณาแพง ๆ ในเมืองอย่างไม่ต้องสงสัย

 

2. กลุ่มผู้นำความคิดในพื้นที่ (Key Local Influencers) แรงกว่าดารา

กลุ่มคนที่มีอิทธิพลสูงหรือเรียกได้ว่าเป็นผู้นำทางความคิดในพื้นที่ภูธร ได้แก่ อสม. ผู้ใหญ่บ้าน คุณครู เจ้าของร้านขายของชำ และคลินิกหรืออนามัยในชุมชน เนื่องจากคนเหล่านี้ถูกมองว่าจริงใจ และไว้ใจได้

 

3. ความคุ้มค่า สำคัญกว่าแบรนด์หรู

ผู้ซื้อไม่ได้มองว่าสินค้านั้นถูกหรือแพงเพียงอย่างเดียว แต่พวกเขาจะดูด้วยว่าสินค้านั้น

 
  • ใช้ได้นานไหม
  • ซ่อมง่ายไหม
  • คุ้มค่าไหม
  • คนอื่นในบ้านใช้ได้หรือไม่

ถ้าสินค้าของคุณสร้างความรู้สึกว่า “คุ้มค่า” ก็ถือว่าคุณชนะครึ่งหนึ่งแล้ว

 

4. ชอบทดลองสินค้า ต่อหน้าตัวแทน

ตลาดภูธรประทับใจการขายแบบเห็นของจริง เช่น ทดลองสินค้าหน้าบ้าน เดโม่ล้างคราบ ให้ลองกิน ลองใช้  “ให้เห็นกับตา” สำคัญมาก

 

5. สื่อดิจิทัลเข้าถึงแล้ว แต่ยังผสมพฤติกรรมออฟไลน์อยู่

ตอนนี้คนภูธรเล่น Facebook TikTok YouTube LINE OA แต่ขั้นตอนตัดสินใจยังต้องมีการคุยกับคนในพื้นที่ เช่น ถามเพื่อนบ้าน ถามแม่ค้า ถามร้านชำ นี่คือ Hybrid Journey แบบ “ออนไลน์ + ออฟไลน์” ที่นักการตลาดต้องเข้าใจอย่างยิ่ง

ทำไม Rural Marketing ถึงเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ทำไม Rural Marketing ถึงเติบโตแบบก้าวกระโดด

ตลาดภูธรไม่ได้เหมือนในยุคเมื่อ 10 ปีที่แล้วอีกต่อไป  เรากำลังอยู่ในจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ของเศรษฐกิจภูมิภาค และบทบาทของผู้บริโภคในต่างจังหวัดก็ทรงพลังขึ้นมากอย่างชัดเจนกว่าที่เคย ด้วยปัจจัยหลายด้านที่เปลี่ยนแปลงพร้อมกัน ทั้งเทคโนโลยี โครงสร้างพื้นฐาน รายได้ครัวเรือน และพฤติกรรมการซื้อที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

ทำให้ “ตลาดภูธรยุคใหม่” ไม่ใช่ตลาดที่ต้องใช้แค่การตลาดแบบตั้งโต๊ะ หรือป้ายหน้าร้านอีกต่อไป แต่เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยโอกาสสำหรับแบรนด์ทุกขนาดที่พร้อมเข้าถึงผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ที่ถูกต้องต่อไปนี้คือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดภูธรในวันนี้ “น่าสนใจมากกว่าที่เคย”

1.  อินเทอร์เน็ตครอบคลุม 90% ของประเทศ — คนภูธรออนไลน์มากขึ้นแบบก้าวกระโดด

งานวิจัยจาก สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) ระบุว่าการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในชนบทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงเข้าถึงได้เท่านั้น แต่ยังมี “จำนวนชั่วโมงออนไลน์ต่อวัน” ที่สูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง Facebook , TikTok , YouTube , และ LINE ซึ่งกลายเป็นช่องทางรับข่าวสารหลักของคนต่างจังหวัดไปแล้ว

สิ่งที่น่าสนใจคือ คนภูธรในปัจจุบัน ใช้โซเชียลในการค้นหาสินค้า รีวิวสินค้า และเปรียบเทียบราคาไม่ต่างจากคนเมือง และหลายครั้งยังมี Engagement สูงกว่า เพราะมีความไว้วางใจในคอนเทนต์จากคนจริง ร้านจริง และผู้ขายที่มีปฏิสัมพันธ์ด้วย ดังนั้น แนวคิดที่ว่า “การตลาดภูธร = การตลาดแบบออฟไลน์” จึงไม่เป็นจริงอีกต่อไป ปัจจุบันควรตีความใหม่ว่า “การตลาดภูธร = ดิจิทัลมาแรงไม่แพ้เมือง แถมบางพื้นที่ยังแรงกว่าด้วยซ้ำ”

2. การเติบโตของตลาด Social Commerce — ยุคที่บ้านหลังเดียวเปิดไลฟ์ขายของได้ทั้งหมู่บ้าน

ช่องทาง Social Commerce เติบโตในเขตชนบทแบบก้าวกระโดด และยังมีความหลากหลายมากกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ โดยช่องทางยอดนิยมคือ

  • Facebook Marketplace — พื้นที่ซื้อขายที่คนภูธรใช้บ่อยที่สุด
  • ไลฟ์ขายของบน Facebook และ TikTok — มีตั้งแต่เสื้อผ้า อาหารสด ไปจนถึงของใช้ในบ้าน
  • TikTok Shop — ยิ่งมีระบบ COD (เก็บเงินปลายทาง) ยิ่งทำให้คนภูธรรู้สึกซื้อได้ง่าย และปลอดภัย
  • LINE กลุ่มหมู่บ้าน / LINE OA ร้านท้องถิ่น — ใช้สั่งของ ส่งของ ซื้อขายในชุมชนแบบ real-time

ความจริงที่หลายธุรกิจไม่รู้คือ คนภูธรซื้อของออนไลน์บ่อยกว่าที่คิด และมูลค่าต่อการสั่งซื้อสูงกว่าหลายพื้นที่ในเมืองด้วยซ้ำ เพราะผู้บริโภคในชนบทมีเวลาที่ยืดหยุ่นกว่า ใช้โซเชียลเป็นประจำ และยังนิยมซื้อผ่าน “คนรู้จัก / ร้านที่ไว้ใจได้” ซึ่งทำให้ Social Commerce มีบทบาทสำคัญมากในตลาดนี้

3. โครงสร้างพื้นฐานดีขึ้นอย่างมาก — ลดช่องว่างเมืองกับชนบทแบบก้าวกระโดด

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา พื้นที่ภูธรหลายแห่งพัฒนาเร็วมาก โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวกับการขนส่งสินค้าและค้าปลีก ได้แก่

  • ถนนคุณภาพดีขึ้น ทำให้ขนส่งสะดวกและเร็วกว่าเดิม
  • บริการขนส่งพัสดุ เช่น Flash, Kerry, J&T กระจายทั่วอำเภอ
  • เซเว่นอีเลฟเว่น และร้านสะดวกซื้อเปิดครอบคลุมทั้งจังหวัด
  • โลตัส โก เฟรช แม็คโครฟู้ดเซอร์วิส ห้างท้องถิ่น ร้านค้าชุมชน มีให้เลือกมากขึ้น
  • ระบบเก็บเงินปลายทาง (COD) ช่วยให้ผู้ซื้อรู้สึกสบายใจและกล้าซื้อออนไลน์มากขึ้น

ทั้งหมดนี้ส่งผลให้สินค้า “เข้าถึงง่ายขึ้นมาก” ทั้งจากออนไลน์และออฟไลน์ ทำให้แบรนด์สามารถขยายตลาดสู่พื้นที่ภูธรได้เร็วกว่าในอดีตหลายเท่า

4. รายได้ชนบทฟื้นตัว — พลังซื้อเพิ่มขึ้นด้วยแรงหนุนจากภาคเกษตรและเศรษฐกิจท้องถิ่น

รายงานจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่ารายได้ของเกษตรกรและแรงงานในภูมิภาคเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากปัจจัยสำคัญ เช่น:

  • ราคาสินค้าเกษตรที่ปรับตัวดีขึ้น
  • ความต้องการสินค้าเกษตรส่งออกเพิ่ม
  • ตลาดออนไลน์ช่วยให้เกษตรกรขายเองได้ตรงถึงผู้บริโภค
  • โครงการภาครัฐและเงินอุดหนุนที่กระจายสู่ต่างจังหวัด
  • เศรษฐกิจท้องถิ่นขยายตัว เช่น โรงงานใหม่ ร้านอาหารใหม่ ตลาดนัดใหญ่ และโลจิสติกส์ที่เติบโต

ผลลัพธ์คือ กำลังซื้อของคนภูธรสูงขึ้นกว่าที่เคยอย่างชัดเจน ไม่ใช่ตลาดรายได้ต่ำแบบในอดีตอีกต่อไป แต่เป็นตลาดที่พร้อมจ่าย หากได้สินค้าที่ตอบโจทย์ คุ้มค่า และเข้าถึงง่าย

6 ประเภท สินค้าขายดี ในตลาดภูธร

6 ประเภทสินค้าที่ขายดี ในตลาดภูธร
ทุกวันนี้ ใช่ว่าสินค้าทุกประเภทจะเวิร์กหรือได้รับความนิยมใน Rural Market อย่างไรก็ตามก็มีสินค้าหลายประเภทที่มักจะขายดีเป็นพิเศษในตลาดภูธรได้แก่ 
 

1.  สินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG)

ยาสระผม ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน เครื่องดื่ม ขนม ของใช้ประจำวันต่าง ๆ สินค้า FMCG คือ สินค้ากลุ่มที่คน “ซื้อบ่อย หมดเร็ว และซื้อซ้ำสูงมาก” ที่สำคัญในพื้นที่ชนบทจะมีลักษณะเฉพาะเพิ่มขึ้นอีก เช่น ต้องการของที่ “ราคาคุ้มจริง ใช้ได้นาน” ทำให้แบรนด์ที่ตั้งราคาเหมาะสม หรือขายแพ็กประหยัดมีโอกาสโตได้ดีมาก แม้ว่าตลาดจะดูเหมือนถูกยึดโดยแบรนด์ใหญ่ แต่ในความเป็นจริงยังมีช่องว่างอย่างน้อย 3 จุด ที่แบรนด์เล็กยังสามารถเข้าไปตีตลาดได้ คือ

 
  • ราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า  สินค้าซอง 5–10 บาท ยังขายดีมาก เพราะเป็นราคาที่คนทั่วไปตัดสินใจได้ทันที
  • ขายแบบแกลลอน/แพ็กใหญ่ : ร้านโชห่วยและครอบครัวใหญ่ชอบซื้อขนาดประหยัด ลดรอบการซื้อ
  • รส/กลิ่นที่เข้ากับพื้นที่ : เช่น น้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นดอกไม้ไทย น้ำยาล้างจานสูตรผสมมะนาวเข้มข้น ฯลฯ

ถ้าใครเข้าใจกำลังซื้อ ภูมิศาสตร์ และพฤติกรรมการซื้อซ้ำของผู้บริโภคภูธร จะชนะเกม FMCG ได้ไม่ยากนัก

 

2. สินค้าเกษตร และ บ้านสวน

ปุ๋ย อาหารสัตว์ อุปกรณ์พ่นยา เครื่องมือช่าง รถไถและอะไหล่ เรียกได้ว่าสินค้ากลุ่มนี้ คือหนึ่งใน “ตลาดทองคำ” ของภูธร เพราะผู้คนจำนวนมากมีพื้นที่ทำเกษตร หรือมีบ้านสวนเล็ก ๆ ที่ต้องซื้อของดูแลต้นไม้–สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ จุดเด่นของตลาดนี้คือ ใหญ่ มูลค่าสูง และขายซ้ำได้เรื่อย ๆ อย่างยาวนาน โดยมีรายละเอียดสำคัญดังนี้

 
  • ปุ๋ยและอาหารสัตว์ : เป็นสินค้าที่มีความจำเป็นต่อเนื่อง ไม่ว่าจะฤดูกาลไหน เกษตรกรต้องใช้ตลอด ใช้หมดแล้วต้องซื้อใหม่ทันที
  • อุปกรณ์พ่นยาและเครื่องมือช่าง : แม้ไม่ได้ซื้อบ่อย แต่ราคาต่อชิ้นสูง และมีโอกาสขายอะไหล่/บริการซ่อมต่อเนื่องได้อีก
  • รถไถและอะไหล่ : กลุ่มนี้เป็นลูกรักของเกษตรกร เพราะเป็น “เครื่องมือทำมาหากิน” หากมีบริการดี–อะไหล่พร้อม–การันตีหลังการขาย จะเกิดความจงรักภักดีสูงมาก

ตลาดนี้สามารถเติบโตได้ทั้งแบบหน้าร้านและออนไลน์ โดยเฉพาะหากใช้ Influencer ท้องถิ่น เช่น เกษตรกร YouTuber รีวิวใช้งานจริง ความน่าเชื่อถือจะพุ่งขึ้นทันที

 

3. สินค้าความงาม

ครีม สบู่ โลชั่น น้ำหอม ยาแต้มสิว ตลาด Beauty ในต่างจังหวัดใหญ่กว่าที่หลายคนคิดมาก เพราะผู้หญิงแถบภูธรมีค่านิยมดูแลตัวเองสูง อีกทั้งยังได้รับอิทธิพลจาก “รีวิวปากต่อปากในชุมชน” อย่างเข้มแข็ง เช่น เพื่อนบ้านใช้แล้วดีบอกต่อกันทั้งหมู่บ้าน หรือแม่ค้าตลาดสดแนะนำให้ลูกค้าซื้อ สิ่งสำคัญของกลุ่มนี้คือ

 
  • ราคาเอื้อมถึง : 59–199 บาท ขายง่ายที่สุด
  • เห็นผลไว อธิบายง่าย : เช่น “สบู่ลดสิวที่หลัง” หรือ “โลชั่นผิวใสใน 7 วัน”
  • แพ็กเกจต้องสวย แต่ไม่ต้องหรู : เรียบง่าย ใช้งานง่าย ดูคุ้มราคา

ถ้าผลิตสินค้าแบบ OEM แล้วให้แม่ค้าตัวแทนท้องถิ่นขาย จะปิดการขายได้ไวมาก เพราะความไว้ใจกันสูงกว่าการเห็นโฆษณาจากช่องทางออนไลน์

 

4. โทรศัพท์มือถือ ราคากลาง–ประหยัด

กลุ่มผู้บริโภคภูธรมักต้องการมือถือที่ “คุ้มค่า–ทน–ใช้ได้นาน” มากกว่าเครื่องสเปกสูงราคาแพง โดยสเปกที่นิยมที่สุดคือ

 
  • แบตอึด (5,000–6,000 mAh) ใช้ทั้งวันโดยไม่ต้องชาร์จบ่อย
  • หน้าจอใหญ่ ใช้ไลฟ์สด ขายของออนไลน์ หรือดูคลิปสอนอาชีพ
  • ตัวเครื่องทน ไม่พังง่าย เพราะหลายคนใช้ทำงานกลางแจ้ง
  • ราคาไม่แรง อยู่ในช่วง 3,000 – 7,000 บาท ถือว่าเป็น sweet spot

แบรนด์ที่ทำโปรโมชั่นผ่อน 0% หรือมีศูนย์ซ่อมท้องถิ่นที่พร้อมให้บริการมักได้ใจกลุ่มนี้เป็นพิเศษ

 

5. เสื้อผ้า และรองเท้าแฟชั่น

ในตลาดภูธร แบรนด์ดังไม่ใช่สิ่งจำเป็น แต่ “ความสวยและความคุ้ม” คือปัจจัยตัดสินใจ No.1 ตัวอย่างสินค้าที่ขายดีมาก เช่น

 
  • เสื้อผ้าลายดอกแบบไทยๆ สไตล์ภูธร
  • เสื้อยืด Oversize ราคาประหยัด
  • รองเท้าแตะทน ใช้ได้ทั้งงานบ้านและงานสวน
  • ชุดทำงานพนักงานออฟฟิศในจังหวัด

ผู้บริโภคต้องการสินค้าแฟชั่นที่ “ใส่แล้วสวยจริง” ไม่ใช่แบรนด์หรู และมักจะซื้อจากร้านประจำ หรือแม่ค้าออนไลน์ที่รู้สัดส่วนลูกค้าเป็นอย่างดี ทำให้การตลาดแบบ “ลองใส่จริง–โชว์จริง” ขายดีมาก

 

6. อาหารและเครื่องดื่มท้องถิ่น

ตัวอย่างสินค้าในกลุ่มนี้ ได้แก่ น้ำสมุนไพร ขิง กระเจี๊ยบ เก๊กฮวย กาแฟ 3-in-1 ผลิตภัณฑ์สุขภาพพื้นบ้าน เช่น น้ำผึ้ง ยาหม่องไพล น้ำมันเหลือง จุดขายของกลุ่มนี้คือ “เข้ากับรสนิยมท้องถิ่น และราคาเข้าถึงได้ง่าย” โดยมีลักษณะสำคัญดังนี้

 
  • น้ำสมุนไพร : ขายดีเป็นพิเศษเพราะชุมชนไทยนิยมเครื่องดื่มหวานสดชื่น ราคาถูก เช่น ขวดละ 10–20 บาท
  • กาแฟ 3-in-1 : เป็นสินค้าประจำบ้านของหลายครอบครัว ซื้อซ้ำทุกเดือน
  • ผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน : คนภูธรเชื่อใจสินค้าแบบดั้งเดิม เช่น ยาหม่องสมุนไพร น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็น น้ำผึ้งป่า แบรนด์ที่เล่าเรื่องดีจะได้ใจลูกค้ามาก

สินค้าอาหารท้องถิ่นยังสามารถต่อยอดด้วย Packaging ที่ดูสะอาด–น่าเชื่อถือ เพิ่มโอกาสวางขายในร้านสะดวกซื้อชุมชนหรือขายส่งให้ร้านของฝาก

8 กลยุทธ์ Rural Marketing ที่ทำแล้วได้ผลจริง

8 กลยุทธ์ Rural Marketing ที่ทำแล้วได้ผลจริง
ด้วยพฤติกรรมการซื้อและความเชื่อใจของกลุ่ม Rural Market นั้นไม่เหมือนคนในเมือง การตลาดแบบนี้ไม่ใช่เรื่องซับซ้อน เพียงแต่ต้อง “เข้าใจคนในพื้นที่จริง ๆ” ซึ่งการเข้าถึงด้วยวิธีที่ใช่ จะทำให้แบรนด์ถูกยอมรับได้ไวมาก และเกิดยอดขายแบบปากต่อปากที่ทรงพลัง ซึ่งต่อไปนี้ คือกลยุทธ์เด็ดที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีในตลาดภูธรครับ
 

1.  ทำให้สินค้า “จับต้องได้จริง” Demo – Trial – Sample คือหัวใจ

ในตลาดภูธร “ความเชื่อใจ” ไม่ได้เกิดจากโฆษณาออนไลน์อย่างเดียว แต่เกิดจากการได้เห็นด้วยตา ได้ลองด้วยตัวเอง หรือมีเพื่อนบ้านลองก่อนแล้วบอกต่อว่าใช้ดี โดยเหตุผลที่เวิร์กก็เพราะว่า

 
  • ผู้บริโภคส่วนใหญ่ต้องการ “หลักฐาน” ก่อนจ่ายเงิน
  • หากสินค้าดีจริง เมื่อได้ลองเพียงครั้งเดียว จะเกิด Conversion สูงมาก
  • การสาธิตแบบใกล้ชิดทำให้รู้สึกคุ้นเคยเหมือนคนขายเป็นคนรู้จักมักคุ้น

วิธีทำให้จับต้องได้จริง คือ

 
  • ส่งทีมขายไปโชว์ “ผลลัพธ์แบบเรียลไทม์” เช่น ล้างคราบ ขจัดสนิม ทำความสะอาดครัว
  • ให้ลองดื่ม ลองชิมที่ร้านค้าในหมู่บ้าน
  • แจกสินค้าทดลองในร้านชำให้ชาวบ้านนำกลับไปลอง
  • เปิดบูธที่วัด ตลาดนัด หน้าร้านทอง หน้าร้านมือถือ ซึ่งมักเป็นจุดที่มีคนเยอะ
  • ทำถุงทดลองราคา 10–20 บาท เพื่อให้คนเริ่มลองได้ง่าย

คีย์สำคัญ :  Rural Marketing = ต้องให้ “เห็นกับตา” และ “ลองได้จริง” พอเห็นผลลัพธ์ต่อหน้า ความเชื่อใจจะสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด

 

2. ใช้ Local Influencers หรือผู้นำชุมชน ให้ “คนพื้นที่” เป็นผู้แนะนำ

ในพื้นที่ต่างจังหวัด คำพูดของคนดังไม่ค่อยมีผลเท่ากับ “คนที่เขาเห็นหน้าทุกวัน” เช่น อสม. ผู้ใหญ่บ้าน ครู พระ ร้านชำ หรือหัวหน้าชมรม เหตุผลที่ส่งเสริมให้กลยุทธ์นี้ได้ผล คือ

 
  • ความเชื่อถือสร้างจากประวัติส่วนตัว ไม่ใช่ภาพลักษณ์ออนไลน์
  • ชาวบ้านเชื่อใจคนในชุมชนมากกว่าโฆษณา
  • คำแนะนำจากคนมีบทบาทเสมือน “ตรารับรองคุณภาพแบบบ้าน ๆ”

ตัวอย่างกลยุทธ์ที่ใช้ได้จริง :

 
  • ให้ อสม. ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์สุขภาพ และถ้าดีจริง เขาจะเล่าต่อเอง
  • ให้ผู้ใหญ่บ้านช่วยประกาศใน LINE กลุ่มหมู่บ้าน
  • ให้ร้านชำเป็นตัวแทนขาย พร้อมแนะนำลูกค้าจากประสบการณ์จริง
  • เชิญคนในหมู่บ้านมารีวิวสั้น ๆ แบบถ่ายทำง่ายๆ ในสวนหรือหน้าบ้าน
  • ให้แม่ค้าตลาดสดรีวิวการใช้งานจริงที่ร้าน

ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ การบอกต่อในพื้นที่จะเกิดขึ้นรวดเร็วมาก และนำไปสู่การขายแบบ “คนซื้อชวนคนซื้อ” เกิดเป็นฐานลูกค้าที่แน่นและยั่งยืน

 

3. ทำคอนเทนต์แบบภูธร เน้น “จริงใจ เป็นกันเอง”

คอนเทนต์ที่เวิร์กในเมือง อาจไม่เวิร์กในต่างจังหวัด เพราะ “ความเป็นทางการมากไป” ทำให้รู้สึกไกลตัว ดังนั้นคอนเทนต์ที่เหมาะกับ Rural Marketing ต้องมีลักษณะสำคัญดังนี้ครับ

 
  • เข้าใจง่าย ไม่ใช้ศัพท์แสงวิชาการ
  • เล่าแบบสบาย ๆ คล้ายการคุยกันของคนกันเอง
  • มีอารมณ์ขันแบบบ้าน ๆ
  • ถ่ายในบรรยากาศจริง เช่น สวน ครัว หน้าบ้าน

ตัวอย่างคอนเทนต์ที่ได้ผล :

 
  • รีวิวติดดินๆ เช่น รีวิวผงซักฟอกที่ซักผ้าในกะละมัง
  • คลิปแกะกล่องแบบบ้าน ๆ พูดตรงๆ ซื่อๆ ไม่มีสคริปต์
  • รีวิวที่ถ่ายในครัวจริง ร้านชำจริง หรือในทุ่งนาจริงๆ
  • TikTok แบบเสียงดัง สดใส สไตล์แม่ค้าออนไลน์

เทคนิคสำคัญ :

 
  • ใช้คนธรรมดา ไม่ต้องถึงขั้นดารา
  • ใช้โลเคชันที่คนภูธรรู้สึกคุ้นเคย เช่น วัด ตลาดนัด บ้าน
  • ทำให้ดูเหมือน “เพื่อนมาบอกต่อ” ไม่ใช่บริษัทมาขายของ

4. Live ขายของ + Marketplace เพิ่มอัตราปิดการขาย

ผู้บริโภคต่างจังหวัดชอบดู Live มาก เพราะได้ “เห็นหน้าคนขาย” ซึ่งทำให้พวกเขารู้สึกสนิทใจและกล้าซื้อ โดยพฤติกรรมสำคัญที่น่าสนใจ คือ

 
  • ชอบฟังข้อมูลตรง ๆ
  • ชอบให้โชว์ผลจริง
  • ชอบถามคำถามหน้างาน
  • ตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็ว ถ้าคนขายตอบอย่างจริงใจ

แพลตฟอร์มที่นิยม ได้แก่  Facebook Live  TikTok Shop Shopee Live ตลอดจนการขายใน Marketplace ของจังหวัดที่การใช้วิธี Live ตอบโจทย์สำหรับคนกลุ่มนี้เพราะ?

 
  • ความสัมพันธ์ถูกสร้างแบบ Real-time
  • คนดูเห็นสินค้าถูกใช้งานจริง
  • ราคาชัดเจน ไม่มีซ่อนเร้น
  • รู้สึกเหมือนซื้อกับคนรู้จัก

เคล็ดลับสำคัญคือ ใช้คำพูดง่าย ๆ เป็นกันเอง โชว์การใช้งานจริงทุกครั้ง หรือให้โปรโมชันพิเศษ สำหรับคนดู Live โดยเฉพาะ

 

5. ทำแพ็กเกจ “คุ้มค่า” หรือแบบขนาดใหญ่ ให้เหมาะกับการใช้ของทั้งครอบครัว

ผู้บริโภคภูธรส่วนใหญ่ซื้อแบบ “ใช้ทั้งบ้าน” เช่น สบู่ คราบน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก ขนม เครื่องดื่ม ฯลฯ เพราะอะไร?

 
  • ซื้อครั้งเดียวใช้หลายคน
  • ราคาต่อหน่วยถูกกว่า
  • รู้สึกประหยัดและคุ้มค่า

สินค้าที่ขายดีเมื่อทำไซซ์ใหญ่ ได้แก่  แกลลอนน้ำยาต่าง ๆ ถุงผงซักฟอก 2–3 กก. น้ำมันพืชขนาดใหญ่ เครื่องดื่มแพ็กครอบครัว ของใช้ในบ้านแบบแพ็ก 6–12 ชิ้น ดังนั้นกลยุทธ์ราคาที่เหมาะสม คือ ตั้งราคาให้ถูกลงต่อหน่วย ทำโปรโมชันซื้อเยอะแถมเยอะ และทำแพ็กครอบครัว “Family Pack” ทั้งหมด ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ปิดการขายง่ายที่สุดสำหรับตลาดต่างจังหวัด

 

6. ใช้ร้านชำเป็นจุดจำหน่ายหลัก “ครองร้านชำได้ = ครองพื้นที่สำเร็จ”

ร้านขายของชำ คือหัวใจสำคัญของ Rural Marketing เพราะเป็นจุดซื้อของประจำวัน เป็นแหล่งข่าวสารของชุมชน และเป็นร้านค้าที่คนในพื้นที่ไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด ดังนั้น ถ้าแบรนด์เข้าไปร้านชำได้ = ติดตลาดได้ไวที่สุด

 
กลยุทธ์ที่ควรทำ :
 
  • วางสินค้าตำแหน่งดี เช่น เคาน์เตอร์ หน้าร้าน
  • ให้โปสเตอร์ ป้าย ราคา ที่ดูง่าย
  • ให้ร้านชำทดลองใช้สินค้าเองก่อน
  • ทำโปรเฉพาะร้านชำ เช่น ซื้อ 10 แถม 1
  • ให้ร้านชำเป็นจุดแลกของรางวัล

ผลลัพธ์ ที่ได้คือ แบรนด์จะ “ติดตา” และเป็น Top-of-Mind ในหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านได้อย่างรวดเร็ว

 

7. ทำกิจกรรมในชุมชน (Community Marketing) เพื่อสร้างความผูกพัน

ยิ่งแบรนด์ไปปรากฏตัวในพื้นที่มากเท่าไร ความผูกพันระหว่างแบรนด์กับคนในชุมชนยิ่งเกิดขึ้นเร็ว ตัวอย่างกิจกรรมที่เวิร์ก เช่น

 
  • ออกร้านงานวัด งานประจำปี
  • กีฬาในหมู่บ้าน เช่น ฟุตบอล ตะกร้อ วอลเลย์บอล
  • ตลาดนัดประจำตำบล
  • แคมเปญคืนกำไรให้ชุมชน เช่น แจกของ, สนับสนุนกีฬา
  • แจกของรางวัลที่ใช้ในชีวิตจริง เช่น แก้ว แม่เหล็ก ขันน้ำ ผงซักฟอก

ที่กลกลยุทธ์นี้ได้ผลเพราะ

 
  • คนเห็นแบรนด์แบบใกล้ชิด ได้คุยกับทีมงาน
  • เกิดภาพจำว่า “แบรนด์นี้สนับสนุนชุมชนเรา”
  • เพิ่มความเชื่อใจแบบออร์แกนิก
  • เกิดการบอกต่ออย่างรวดเร็ว

เพราะ Community Marketing = ความรู้สึกว่าแบรนด์เป็น “เพื่อนของชุมชน”

 

8. ใช้กลยุทธ์ O2O – ออนไลน์สู่หน้าร้าน

กล่าวคือ ให้คนเห็นบนโลกออนไลน์ แล้วไปซื้อในพื้นที่ นี่เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลมากในต่างจังหวัด เพราะผู้บริโภคดูโฆษณาออนไลน์บ่อย แต่มักจะชอบไปซื้อของที่ “ร้านที่คุ้นเคย”

 
ตัวอย่างการทำ O2O ให้เวิร์ก :
 
  • ทำโฆษณา Facebook/TikTok ให้คนเห็นสินค้า
  • ใส่ข้อความว่า “มีขายที่ร้านชำหน้าวัด/หน้าตลาด/เจ๊นิดสโตร์”
  • คนเห็นออนไลน์ → ไปซื้อออฟไลน์ทันที

กลยุทธ์ O2O ได้ผลเพราะ :

 
  • ความเชื่อใจเกิดจาก “ร้านที่เขาซื้อทุกวัน”
  • โฆษณาสร้างความอยากรู้ → ร้านชำสร้างความมั่นใจ
  • ลดความเสี่ยงของการซื้อออนไลน์สำหรับผู้สูงอายุ

รูปแบบที่นิยม คือ ให้ร้านชำแปะ QR ไปที่เพจแบรนด์ ให้ร้านชำถ่ายรูปคู่กับสินค้าลง Facebook หมู่บ้าน พร้อมทำโปรโมชั่นเฉพาะคนซื้อที่ร้านชำ หากทำได้สำเร็จ O2O จะช่วยให้แบรนด์เข้าถึงได้เร็วขึ้น ลดต้นทุน และสร้างยอดขายแบบ Local ได้ยอดเยี่ยมมาก

 
 
 
 
 
แหล่งที่มา :
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *