Crisis Management คืออะไร?
ทำความเข้าใจ Crisis Management คืออะไร?
Crisis Management สำคัญอย่างไร?
Crisis Management เป็นกระบวนการที่สำคัญสำหรับองค์กรทุกขนาด เนื่องจากวิกฤตสามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นจากปัจจัยภายนอกหรือปัญหาภายในองค์กร การเตรียมความพร้อมและการมีแผนการจัดการวิกฤตที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชื่อเสียงและความเชื่อมั่นของลูกค้าได้อย่างมาก เพื่อให้องค์กรต่างๆ สามารถวางตำแหน่งตัวเองให้ประสบความสำเร็จได้แม้จะเผชิญกับความยากลำบาก ซึ่งความสำคัญของการจัดการวิกฤต มีดังนี้ครับ
1. ปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์
2. ตอบสนองต่อปัญหาอย่างทันท่วงที
3. สร้างความไว้วางใจของลูกค้า
4. ความยืดหยุ่นขององค์กรที่เพิ่มขึ้น
5. กลยุทธ์การสื่อสารที่ดีขึ้น
6. โอกาสเรียนรู้เพื่อป้องกันในอนาคต
7. ปกป้องประสิทธิภาพทางการเงิน
8. การวางตำแหน่งแบรนด์ที่ดีหลังวิกฤต
4 รูปแบบ ของวิกฤตที่แบรนด์ต้องจัดการ
วิกฤตของแบรนด์สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อมีเหตุการณ์ต่างๆ ที่คุกคามต่อภาพลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์โดยรวม ซึ่งส่งผลกระทบต่อการรับรู้และความภักดีของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น
1. ปัญหาด้านการประชาสัมพันธ์
หมายถึง เหตุการณ์เชิงลบต่างๆ ที่คุกคามชื่อเสียงของแบรนด์จากการนำเสนอข่าวเชิงลบในสื่อหรือการวิพากษ์วิจารณ์ในโซเชียลมีเดียอันเนื่องมาจากข้อผิดพลาดในการสื่อสารหรือการตลาดของแบรนด์ ปัญหาหลักๆ มักเกิดจากการสื่อสารที่ล้มเหลวทั้งภายในและภายนอกจนนำไปสู่ความสับสน ข้อมูลที่ผิดพลาด และความเสียหายต่อชื่อเสียง ที่สำคัญ ในยุคดิจิทัลโซเชียลมีเดียสามารถทำให้วิกฤตนี้รุนแรงขึ้นได้อย่างรวดเร็ว ความคิดเห็นหรือเหตุการณ์เชิงลบอาจกลายเป็นไวรัล ส่งผลให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านแบรนด์ในวงกว้าง ซึ่งการจัดการปัญหาเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญในการลดความเสียหายและฟื้นฟูความไว้วางใจของสาธารณะ
2. ความล้มเหลวของผลิตภัณฑ์
หมายถึง สถานการณ์ที่เกิดจากการที่ผลิตภัณฑ์ไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังของผู้บริโภคหรือมาตรฐานที่กำหนดไว้ ส่งผลให้เกิดปัญหาที่มีความรุนแรงต่อองค์กร ซึ่งอาจนำไปสู่ผลกระทบทางการเงิน ชื่อเสียง และความเชื่อมั่นของลูกค้า เช่น ความล้มเหลวในการดำเนินงาน ที่เกิดจากความผิดพลาดในกระบวนการผลิตหรือการดำเนินงาน เช่น การใช้วัสดุที่ไม่เหมาะสมหรือเทคโนโลยีที่ล้าสมัย
ซึ่งอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณภาพต่ำ รวมไปถึง วิสัยทัศน์ที่ผิดพลาด จากการตัดสินใจทางธุรกิจที่ไม่ถูกต้อง เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ไม่ตรงกับความต้องการของตลาด หรือการประเมินแนวโน้มตลาดที่ผิดพลาด อาจส่งผลให้บริษัทประสบปัญหาขาดทุน และสูญเสีย Market Share หรือส่วนแบ่งตลาดได้ซึ่งวิกฤตต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อผลิตภัณฑ์สร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภค เช่น กรณีการเรียกคืนผลิตภัณฑ์เนื่องจากมีสารอันตรายหรือสิ่งแปลกปลอม ซึ่งจะทำให้เกิดผลกระทบทางลบต่อชื่อเสียงของแบรนด์ได้ เป็นต้น
3. เรื่องอื้อฉาวภายในองค์กร
เรื่องอื้อฉาวภายในองค์กร สามารถ หมายถึง เหตุการณ์หรือข้อกล่าวหาที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของบุคลากรในองค์กร เช่น การทุจริต การละเมิดกฎระเบียบ หรือการกระทำที่ส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ขององค์กร เรื่องอื้อฉาวนี้สามารถเกิดขึ้นจากหลายปัจจัย เช่น ความผิดพลาดในการบริหารงาน การขาดความโปร่งใส หรือการขาดมาตรการควบคุมภายในที่เหมาะสม ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องได้รับการจัดการอย่างเร่งด่วนและมีระบบ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงต่อองค์กรได้
4. ความล้มเหลวของประสบการณ์ลูกค้า
หมายถึง สถานการณ์ที่ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดีหรือไม่น่าพอใจจากการใช้บริการหรือผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อความเชื่อมั่นและความภักดีของลูกค้า ซึ่งประสบการณ์การบริการที่ย่ำแย่ที่เกิดขึ้นอาจถูกแชร์กันอย่างกว้างขวางบนโซเชียลมีเดียจนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและภาพลักษณ์ของแบรนด์ได้ แน่นอนว่าลูกค้าคาดหวังข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา หากแบรนด์ไม่สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพก็อาจทำให้เกิดความสับสนและความไม่พอใจ หรือ หากแบรนด์ไม่สามารถตอบสนองต่อปัญหาหรือข้อร้องเรียนของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ไม่ใส่ใจและไม่รับผิดชอบ
หรือแม้แต่การจัดการปัญหาที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าปัญหาของพวกเขาไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง ซึ่งอาจนำไปสู่การสูญเสียความเชื่อมั่นในแบรนด์ได้นั่นเองท้ายที่สุดแล้ววิกฤตทั้งหมดที่เกิดขึ้นนั้นจำเป็นต้องมีการการตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพเพื่อป้องกันความเสียหายระยะยาวที่อาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของแบรนด์
10 ขั้นตอนสำคัญของ Crisis Management
การจัดการวิกฤตแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการปกป้องชื่อเสียงของบริษัทและรักษาความไว้วางใจของผู้ถือผลประโยชน์ในสภาพแวดล้อมที่ผันผวนมากขึ้น วิกฤตอาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด ไม่ว่าจะเป็นการเรียกคืนสินค้า การวิพากษ์วิจารณ์บนโซเชียลมีเดีย หรือความผิดพลาดด้านการประชาสัมพันธ์ วิธีที่แบรนด์ตอบสนองต่อความท้าทายเหล่านี้สามารถส่งผลกระทบอย่างมากต่ออนาคต ทำให้การมีแนวทางที่มีโครงสร้างชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญ
1. การรับรู้วิกฤตในระยะเริ่มต้น
- เครื่องมือการรับฟังทางโซเชียล : ติดตามการสนทนาออนไลน์เกี่ยวกับแบรนด์
- การตรวจสอบสื่อ : คอยจับตาดูการกล่าวถึงข่าวและความรู้สึกของสาธารณชน
- การแจ้งเตือนจาก Google : ตั้งค่าการแจ้งเตือนสำหรับคำสำคัญเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์
การเฝ้าระวังจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
2. จัดตั้งทีมงานจัดการวิกฤต
- ทีมประชาสัมพันธ์ : เพื่อจัดการการสื่อสารกับสื่อ
- ทีมกฎหมาย : เพื่อรับมือกับผลกระทบทางกฎหมาย
- ทีมการตลาด : เพื่อจัดการการสื่อสารและการส่งข้อความของลูกค้า
- ทีมการบริการลูกค้า : เพื่อแก้ไขข้อกังวลของลูกค้าโดยตรง
3. พัฒนาแผนการสื่อสารในภาวะวิกฤต
- ข้อความหลัก : พัฒนาข้อความที่ชัดเจนและกระชับซึ่งปรับให้เหมาะกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่แตกต่างกัน
- กลุ่มเป้าหมาย : ระบุผู้ที่จำเป็นต้องได้รับแจ้ง (ลูกค้า พนักงาน นักลงทุน)
- ช่องทางการสื่อสาร : กำหนดวิธีการส่งข้อความ (ข่าวเผยแพร่ อัปเดตโซเชียลมีเดีย)
- โฆษกอย่างเป็นทางการ : กำหนดบุคคลที่ได้รับการฝึกอบรมที่จะสื่อสารในนามขององค์กร
4. รับทราบภาวะวิกฤต
5. ประเมินสถานการณ์
6. ปฏิบัติตามกลยุทธ์
- ออกแถลงการณ์ต่อสาธารณะหรือเผยแพร่ข่าว
- แจ้งข้อมูลอัปเดตผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย
- ติดต่อโดยตรงกับลูกค้าผ่านช่องทางบริการลูกค้า
7. ติดตามเสียงตอบรับและปรับตัว
- ติดตามการกล่าวถึงบนโซเชียลมีเดียและการวิเคราะห์ความรู้สึกโดยรวม
- ติดต่อลูกค้าที่แสดงความกังวลหรือต้องการคำชี้แจง
- ปรับเปลี่ยนข้อความตามข้อเสนอแนะของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
8. ดำเนินการแก้ไข
- การนำนโยบายหรือขั้นตอนใหม่ๆ มาใช้
- การจัดฝึกอบรมเพิ่มเติมให้กับพนักงาน
- การปรับปรุงคุณภาพผลิตภัณฑ์หรือมาตรการด้านความปลอดภัย
9. สร้างความไว้วางใจและชื่อเสียงขึ้นมาใหม่
- การมีส่วนร่วมในกิจกรรมเพื่อสังคม หรือความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร
- แสดงความขอโทษหรือชดเชยเมื่อเหมาะสม
- การแบ่งปันเรื่องราวความสำเร็จที่เน้นถึงการปรับปรุงที่เกิดขึ้นหลังวิกฤต
10. ดำเนินการวิเคราะห์หลังวิกฤต
- การตรวจสอบสิ่งที่ได้ผลดีและสิ่งที่ไม่ได้ผลในระหว่างการตอบสนอง การรวบรวมข้อเสนอแนะจากสมาชิกในทีมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการวิกฤต
- การอัปเดตแผนการจัดการวิกฤตตามบทเรียนที่ได้เรียนรู้