10 ขั้นตอน ทำการตลาดโรงพยาบาล ด้วยกลยุทธ์ Personalized Healthcare

Personalized Healthcare

ในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังการดูแลสุขภาพที่ตรงกับความต้องการเฉพาะบุคคล Personalized Healthcare หรือการแพทย์เชิงบุคคล ได้กลายเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับประสบการณ์ผู้ป่วย และสร้างความแตกต่างให้กับโรงพยาบาล การทำการตลาดโรงพยาบาลในวันนี้จึงไม่ใช่แค่การโฆษณาบริการทางการแพทย์ แต่ต้องนำเสนอ ความใส่ใจที่เฉพาะเจาะจงต่อผู้ป่วยแต่ละราย ในบทความวันนี้ Talka จะพาคุณไปทำความเข้าใจในกลยุทธ์ที่มีความหมายอย่างยิ่งในการทำการตลาดสำหรับธุรกิจโรงพยาบาลในปัจจุบันครับ

Personalized Healthcare คืออะไร?

Personalized Healthcare คืออะไร?

Personalized Healthcare คืออะไร?

Personalized Healthcare หรือ การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล คือ แนวคิดที่ใช้ ข้อมูลสุขภาพ พฤติกรรม และความต้องการเฉพาะรายของผู้ป่วย มาปรับการดูแลและการสื่อสารให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคลมากที่สุด ไม่ใช่การให้บริการแบบ “หนึ่งเดียวสำหรับทุกคน (One-size-fits-all)” ในเชิงการแพทย์ หมายถึง การรักษาและป้องกันโรคที่คำนึงถึง ความแตกต่างของพันธุกรรม สภาพร่างกาย ไลฟ์สไตล์ และสิ่งแวดล้อมของแต่ละบุคคล แต่ใน บริบทการตลาดโรงพยาบาล จะขยายไปถึงการออกแบบ ประสบการณ์ผู้ป่วย (Patient Experience) และ การสื่อสารทางการตลาด ที่ “ตรงใจ” และ “เจาะจง” ให้กับผู้ป่วยรายบุคคล 

Personalized Healthcare กับการทำการตลาดโรงพยาบาล

Personalized Healthcare กับการทำการตลาดโรงพยาบาล

Personalized Healthcare เมื่อนำมาประยุกต์ใช้กับการตลาดสำหรับโรงพยาบาลแล้วเป้าหมายหลักที่สำคัญของมันก็คือเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งและยั่งยืนกับผู้ป่วย ซึ่งมีแกนสำคัญ 3 ด้าน ดังนี้ครับ

1. Personalized Communication (การสื่อสารเฉพาะบุคคล)

Personalized Communication ไม่ใช่การส่งข้อความสุขภาพแบบกว้างๆ แต่คือการสื่อสารที่ตอบโจทย์ผู้ป่วยแต่ละคน ตัวอย่างเช่น

    • ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป → ส่งข้อมูลเกี่ยวกับการตรวจมะเร็งเต้านมและปากมดลูกให้
    • ผู้ชายวัยทำงาน → ส่งคอนเทนต์เรื่องการตรวจสุขภาพหัวใจและความดันโลหิตให้

การสื่อสารแบบนี้ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าโรงพยาบาล “เข้าใจ” พวกเขาจริงๆ

2. Personalized Service Offering (การนำเสนอแพ็กเกจและบริการเฉพาะบุคคล)

โรงพยาบาลสามารถออกแบบแพ็กเกจตรวจสุขภาพหรือบริการรักษา ที่แตกต่างกันตามกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้ข้อมูล Electronic Health Record (EHR) และ พฤติกรรมการใช้บริการ เพื่อแนะนำแพ็กเกจที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ตัวอย่างเช่น

    • ผู้ป่วยที่มีประวัติครอบครัวเกี่ยวกับโรคหัวใจ → เสนอแพ็กเกจตรวจหัวใจเชิงลึก
    • ผู้ป่วยที่เคยผ่าตัดเข่า → เสนอโปรแกรมฟื้นฟูการเดิน + กายภาพบำบัด 

3. Personalized Patient Experience (ประสบการณ์ผู้ป่วยเฉพาะบุคคล)

ไม่ใช่แค่การรักษา แต่ยังรวมถึง เส้นทางผู้ป่วย (Patient Journey) ตั้งแต่ค้นหาข้อมูล → การนัดหมาย → การเข้ารับบริการ → การติดตามผล  โดยโรงพยาบาลสามารถใช้เทคโนโลยี เช่น Mobile App, Chatbot, CRM ในการทำให้ประสบการณ์นี้เป็นแบบเฉพาะบุคคล ตัวอย่างเช่น 

    • แจ้งเตือนนัดหมายอัตโนมัติ + ส่งคำแนะนำสุขภาพที่ตรงกับผลตรวจ แล้วส่งผลตรวจผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมแนะนำแพทย์เฉพาะทางที่เกี่ยวข้องให้กับผู้ป่วย เป็นต้น
 

ทำไม Personalized Healthcare Marketing จึงสำคัญต่อโรงพยาบาล?

ทำไม Personalized Healthcare จึงสำคัญต่อโรงพยาบาล

กลยุทธ์ Personalized Marketing ไม่ใช่แค่ “ทางเลือก” แต่เป็น “ความจำเป็น” สำหรับโรงพยาบาลที่ต้องการรักษาความได้เปรียบในตลาดสุขภาพที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยมีเหตุผลสำคัญอย่างน้อย 4 ประการดังนี้ครับ

1. ผู้ป่วยยุคใหม่คาดหวังการดูแลเฉพาะบุคคล

การตลาดทั่วไปไม่เพียงพออีกต่อไป ผู้ป่วยในยุคดิจิทัลไม่ได้ต้องการแค่บริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ แต่ยังคาดหวังว่าโรงพยาบาลจะ เข้าใจความต้องการเฉพาะของตนเอง เช่น ความกังวลด้านสุขภาพ ไลฟ์สไตล์ ความเสี่ยงทางพันธุกรรม หรือแม้แต่ตารางชีวิตประจำวัน ถ้าโรงพยาบาลยังใช้การสื่อสารแบบ “กว้างๆ” เช่น โฆษณาแพ็กเกจตรวจสุขภาพเหมือนกันทุกคน จะไม่สามารถสร้างความประทับใจได้ เพราะผู้ป่วยจะรู้สึกว่าข้อความนั้น “ไม่เกี่ยวข้อง” กับตนเอง

ตัวอย่าง:

  • ผู้หญิงอายุ 35 ปีขึ้นไป อาจต้องการข้อมูลการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกหรือเต้านม แต่ถ้าโรงพยาบาลส่งโฆษณาแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป ก็อาจไม่ดึงดูดพอ
  • ในทางกลับกัน ถ้าสื่อสารว่า “ตรวจสุขภาพเฉพาะสำหรับผู้หญิงวัย 35+ เพื่อป้องกันโรคร้ายแรงตั้งแต่ระยะเริ่มต้น” จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าข้อความนี้ถูกสร้างขึ้นมา “เพื่อตนเองโดยเฉพาะ”

นี่คือเหตุผลว่าทำไม การตลาดทั่วไปจึงไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ป่วยได้อีกต่อไป 

2. การแข่งขันสูง

โรงพยาบาลจำนวนมากนำเสนอแพ็กเกจคล้ายกัน แต่การตลาดแบบเฉพาะบุคคลจะช่วยสร้างความแตกต่าง โรงพยาบาลแทบทุกแห่งต่างมี แพ็กเกจตรวจสุขภาพ หรือ บริการทางการแพทย์พื้นฐาน ที่คล้ายๆ กัน เช่น ตรวจหัวใจ ตรวจตา ตรวจตับ ตรวจมะเร็ง ฯลฯ ถ้าโรงพยาบาลโปรโมทด้วยข้อความแบบเดียวกัน เช่น “แพ็กเกจตรวจสุขภาพราคาเริ่มต้น 2,999 บาท” ย่อมไม่สามารถสร้างความโดดเด่นได้ เพราะผู้บริโภคจะเปรียบเทียบกันด้วย ราคาเพียงอย่างเดียว แต่ถ้าโรงพยาบาลเลือกใช้ Personalized Marketing เช่น นำเสนอแพ็กเกจตรวจสุขภาพที่แตกต่างกันตามเพศ อายุ หรือพฤติกรรม จะช่วยสร้างความแตกต่างที่ชัดเจนได้

ตัวอย่าง:

  • โรงพยาบาล A โปรโมทว่า “ตรวจสุขภาพสำหรับผู้ชายวัยทำงานที่นั่งทำงานในออฟฟิศนานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน”
  • โรงพยาบาล B โปรโมทว่า “โปรแกรมตรวจสุขภาพสำหรับคุณแม่หลังคลอด เพื่อฟื้นฟูร่างกายและตรวจเช็คฮอร์โมน” 

แม้ทั้งคู่เป็น “แพ็กเกจตรวจสุขภาพ” เหมือนกัน แต่เพราะข้อความถูกออกแบบเฉพาะบุคคล ทำให้โรงพยาบาลสามารถดึงดูดกลุ่มเป้าหมายได้มากกว่า ดังนั้นจึงไม่ต้องแข่งขันด้วยราคาเพียงอย่างเดียว

3. สร้างความภักดีระยะยาว (Patient Loyalty)  

หนึ่งในเป้าหมายหลักของการตลาดโรงพยาบาล ไม่ใช่เพียงการหาผู้ป่วยใหม่ แต่คือ การรักษาผู้ป่วยเก่าให้อยู่กับโรงพยาบาลไปนานๆ ผู้ป่วยที่รู้สึกว่าได้รับการดูแลที่ “ใส่ใจ” มักจะกลับมาใช้บริการซ้ำ การใช้ Personalized  Marketing จะช่วยสร้างความรู้สึกว่าโรงพยาบาล “จำฉันได้” และ “ใส่ใจฉันเป็นพิเศษ” ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง ความภักดี (Loyalty) ให้เกิดขึ้นอย่างแข็งแรงในใจของผู้ใช้บริการโรงพยาบาล

ตัวอย่าง:

  • โรงพยาบาลส่งข้อความเตือนผู้ป่วยเบาหวานให้มาตรวจ HbA1c (น้ำตาลสะสม) ทุก 6 เดือน พร้อมแนบคำแนะนำด้านอาหารโดยนักโภชนาการให้เฉพาะบุคคล
  • หลังผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจเสร็จ โรงพยาบาลยังส่งข้อมูลการดูแลสุขภาพระยะฟื้นฟู และชวนเข้าร่วมโปรแกรมออกกำลังกายที่เหมาะสมกับคนที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว

ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกว่า “โรงพยาบาลนี้ดูแลฉันเหมือนครอบครัว” จนยากที่จะเปลี่ยนไปใช้บริการโรงพยาบาลอื่น

4. เพิ่ม Conversion และรายได้ 

ในแง่ธุรกิจ Personalized Healthcare Marketing มีผลโดยตรงต่อการเพิ่ม Conversion และรายได้ของโรงพยาบาล เพราะการสื่อสารแบบตรงจุดจะช่วยลดความลังเลในการตัดสินใจ ผู้ป่วยมักจะรู้สึกว่าบริการที่ถูก “ออกแบบมาเพื่อเขา” มีคุณค่า และเหมาะสมกับความต้องการเฉพาะบุคคล จึงยินดีที่จะจ่ายในราคาที่สูงขึ้น การสื่อสารแบบตรงจุดทำให้ผู้ป่วยตัดสินใจง่ายขึ้น และยินดีจ่ายกับบริการที่เหมาะสมที่สุดสำหรับตัวเอง

ตัวอย่าง:

  • แทนที่จะขายแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไป 3,000 บาท โรงพยาบาลอาจขายแพ็กเกจตรวจสุขภาพเฉพาะกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจ 7,500 บาท ซึ่งผู้ป่วยที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงจะรู้สึกว่าเป็นแพ็กเกจที่คุ้มค่าและมีความจำเป็น
  • ผู้หญิงที่กังวลเรื่องการมีบุตร อาจยินดีลงทุนกับบริการตรวจฮอร์โมน + ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้าน IVF (เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์) ซึ่งราคาสูงกว่าแพ็กเกจตรวจสุขภาพทั่วไปหลายเท่า

ดังนั้น Personalized Marketing ไม่ได้ช่วยแค่ดึงดูดความสนใจ แต่ยังช่วยเพิ่ม โอกาสปิดการขาย (Conversion) และ รายได้ต่อผู้ป่วย (Revenue per Patient) อย่างชัดเจน

 

10 ขั้นตอน ทำการตลาดโรงพยาบาล ด้วยกลยุทธ์ Personalized Healthcare

10 ขั้นตอน ทำการตลาดโรงพยาบาล ด้วยกลยุทธ์ Personalized Healthcare

1. ทำความเข้าใจพฤติกรรมและข้อมูลผู้ป่วย

เริ่มต้นด้วยการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลผู้ป่วย ทั้งข้อมูลประชากร (Demographic) พฤติกรรมการใช้บริการ และข้อมูลสุขภาพ เพื่อนำไปสร้างกลยุทธ์การตลาดที่ตอบโจทย์

 
  • ใช้ Electronic Health Records (EHR) ในการเก็บข้อมูลประวัติสุขภาพ
  • วิเคราะห์ Patient Journey เช่น ผู้ป่วยค้นหาข้อมูลโรคจากช่องทางใด ก่อนตัดสินใจมาพบแพทย์
  • ใช้ Data Enrichment เพิ่มมุมมอง เช่น ไลฟ์สไตล์ การใช้โซเชียล การออกกำลังกาย

ตัวอย่าง: หากผู้ป่วยวัยทำงานมักค้นหาคำว่า “ตรวจสุขภาพประจำปี” การทำคอนเทนต์เจาะกลุ่มนี้ด้วยแพ็กเกจตรวจสุขภาพเฉพาะกลุ่ม จะตรงจุดมากขึ้น

 

2. สร้าง Segment ผู้ป่วยเฉพาะกลุ่ม

โดยการแบ่งผู้ป่วยออกเป็นกลุ่มย่อยตามปัจจัยต่างๆ เพื่อออกแบบแคมเปญให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม

 
  • แบ่งกลุ่มด้วย อายุ เพศ อาชีพ โรคประจำตัว พฤติกรรมการดูแลสุขภาพ
  • ใช้ RFM Model วิเคราะห์ความถี่และมูลค่าการใช้บริการของผู้ป่วย

ตัวอย่าง:

    • กลุ่มวัยรุ่น → เน้นบริการด้านสุขภาพผิวและสุขภาพจิต
    • กลุ่มผู้สูงอายุ → เน้นบริการตรวจหัวใจและฟื้นฟูร่างกาย

การ Segment ทำให้โรงพยาบาลสื่อสารได้อย่าง “ตรงใจ” มากกว่าการทำโฆษณาแบบกว้างๆ

 

3. วางแผน Content Marketing แบบเฉพาะบุคคล

คอนเทนต์ที่ดีต้องตอบคำถามเฉพาะของผู้ป่วย ไม่ใช่เพียงคอนเทนต์ทั่วไป เพื่อที่จะสร้างความรู้สึกว่าโรงพยาบาล “เข้าใจ” และ “ใส่ใจ” ผู้ป่วยรายบุคคล

 
  • ใช้ Question-based SEO เช่น ผู้ป่วยมักถามว่า “ตรวจสุขภาพก่อนแต่งงานต้องตรวจอะไรบ้าง?”
  • ทำ Educational Content ที่เจาะลึก เช่น วิดีโอสั้นอธิบายวิธีดูแลตับสำหรับคนที่ดื่มบ่อย
  • ใช้ Personalized Email/LINE OA ส่งข้อมูลสุขภาพตามกลุ่ม เช่น ผู้หญิงอายุ 35–40 ปี → เน้นการตรวจมะเร็งปากมดลูก

4. ใช้ระบบ CRM เชื่อมโยงความสัมพันธ์กับผู้ป่วย

CRM (Customer Relationship Management) คือหัวใจของ Personalized Healthcare Marketing ก็ว่าได้ ซึ่งแนวทางสำคัญในขั้นตอนนี้คือ 

 
  • เก็บประวัติการนัดหมาย การรักษา ความพึงพอใจ และข้อเสนอแนะ
  • ส่ง Reminder อัตโนมัติ เช่น แจ้งเตือนตรวจสุขภาพประจำปี
  • ใช้ AI Chatbot ช่วยตอบคำถามพื้นฐานของผู้ป่วยตลอด 24 ชั่วโมง

ตัวอย่าง: ผู้ป่วยที่เคยรักษาโรคเบาหวาน → CRM แจ้งเตือนให้มาตรวจ HbA1c ทุก 6 เดือน

 

5. ทำ Omni-Channel Marketing ที่สอดคล้องกัน

สื่อสารกับผู้ป่วยผ่านหลายช่องทาง แต่ต้องเชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ ยกตัวอย่าง เช่น

  • ช่องทางหลัก : Website, Social Media, LINE OA, Mobile App ของโรงพยาบาล
  • ทำ Personalized Ads ที่รีมาร์เก็ตติ้งจากพฤติกรรมผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยที่เคยอ่านบทความ “การตรวจหัวใจ” → แสดงโฆษณาแพ็กเกจตรวจหัวใจ
  • ทุกช่องทางต้องส่งสารสอดคล้องกัน เช่น สโลแกน, โปรโมชั่น, การนัดหมาย
  • Omni-Channel ช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกเชื่อมต่อกับโรงพยาบาลตลอดเวลา

6. ใช้ AI และ Predictive Analytics

เป็นขั้นตอนที่สามารถใช้ AI เข้ามาช่วยทำนายความต้องการสุขภาพของผู้ป่วยและวางแผนการตลาดล่วงหน้า โดยแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญในขั้นตอนนี้ ได้แก่

 
  • Predictive Analytics วิเคราะห์ว่าผู้ป่วยกลุ่มใดมีแนวโน้มจะกลับมาใช้บริการ
  • การใช้ AI แนะนำ แพ็กเกจสุขภาพเฉพาะบุคคล ตามประวัติสุขภาพ

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักเกินและความดันสูง → AI แนะนำแพ็กเกจตรวจหัวใจพร้อมโปรแกรมโภชนาการ ข้อดีของการใช้ AI และ Predictive Analytics คือ ทำให้การตลาด “นำหน้า” ความต้องการ ไม่ใช่รอให้ผู้ป่วยมาหาก่อน

 

7. ออกแบบประสบการณ์ผู้ป่วย (Patient Experience)

การตลาดที่ดีคือการสร้างประสบการณ์ที่ผู้ป่วยจดจำได้ ดังนั้น สิ่งที่คุณต้องทำในขั้นตอนนี้ คือ 

 
  • ออกแบบ Journey ตั้งแต่ค้นหาข้อมูล → นัดหมาย → การรักษา → การติดตามผล
  • ใช้ Digital Touchpoints เช่น Mobile App สำหรับจองคิวและรับผลตรวจออนไลน์
  • สร้าง Wellness Program เช่น โปรแกรมติดตามสุขภาพรายเดือน

ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่มาตรวจสุขภาพประจำปี → ได้รับ Personalized Report + คำแนะนำการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล

 

8. ทำการตลาดแบบ Localized & Glocalized

การสื่อสารให้ตรงกับวัฒนธรรมและความต้องการของผู้ป่วยแต่ละพื้นที่ คือ หัวใจสำคัญของขั้นตอนนี้ 

 
  • โรงพยาบาลในกรุงเทพฯ อาจเน้น Medical Tourism เช่น ศัลยกรรมหรือ IVF
  • โรงพยาบาลต่างจังหวัด → เน้นการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน เช่น ตรวจสุขภาพฟรี
  • ใช้ Glocal Marketing ผสมผสานกลยุทธ์ระดับโลกเข้ากับท้องถิ่น

ตัวอย่างเช่น : ทำแคมเปญ “ดูแลหัวใจ ดูแลครอบครัว” ในวันแม่ เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้ป่วยสูงอายุ

 

9. วัดผลด้วย KPI ที่เกี่ยวข้องกับ Personalized Healthcare

ในขั้นตอนนี้ คือ การใช้ตัวชี้วัดที่สะท้อนคุณภาพการดูแลและประสบการณ์ผู้ป่วย ได้แก่ 

 
  • Patient Retention Rate อัตราผู้ป่วยกลับมาใช้บริการซ้ำ
  • Engagement Rate บนโซเชียล/อีเมล
  • Patient Satisfaction Score (NPS, CSAT)
  • Conversion Rate จากผู้ที่อ่านคอนเทนต์ → จองแพ็กเกจ

ซึ่งการวัดผลจะช่วยให้คุณสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้ตรงจุด ไม่ใช่เพียงอาศัยแค่การดูจำนวนผู้ป่วยใหม่

 

10. พัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วย Feedback Loop 

การตลาด Personalized Healthcare ต้องอัปเดตและเรียนรู้ตลอดเวลา ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำในขั้นตอนนี้ คือ 

 
  • เก็บ Feedback จากผู้ป่วย ทุกครั้งหลังการใช้บริการ
  • ใช้ Social Listening ฟังเสียงผู้ป่วยในออนไลน์
  • ปรับปรุงบริการ → สื่อสารใหม่ → เก็บข้อมูลอีกครั้ง (วงจรไม่สิ้นสุด)
  • ตัวอย่าง: ผู้ป่วยบอกว่ารอนาน → โรงพยาบาลพัฒนา Mobile Check-in → นำไปสื่อสารในแคมเปญว่า “ไม่ต้องรอนานอีกต่อไป”

สรุป

Personalized Healthcare Marketing เป็นเสาหลักสำคัญที่ช่วยให้โรงพยาบาลตอบสนองความต้องการของผู้ป่วยยุคใหม่ สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง สร้างความภักดีในระยะยาว และเพิ่มรายได้ให้เติบโตอย่างยั่งยืน หากโรงพยาบาลใดยังพึ่งพาการตลาดแบบ “Mass Marketing” อยู่เพียงอย่างเดียว ย่อมเสี่ยงที่จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ถ้าเลือกใช้กลยุทธ์แบบ Personalized โรงพยาบาลนั้นจะกลายเป็น พันธมิตรสุขภาพที่ผู้ป่วยไว้วางใจและเลือกใช้บริการซ้ำ 

 
Personalized Healthcare ไม่ใช่เพียงแค่การใช้เทคโนโลยี แต่คือการผสมผสาน ข้อมูล + การแพทย์ + การตลาดเชิงมนุษย์ เข้าด้วยกัน เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ผู้ป่วยรู้สึกว่า “นี่คือโรงพยาบาลที่เข้าใจฉันมากที่สุด” และเมื่อผู้ป่วยรู้สึกเช่นนั้น โรงพยาบาลก็จะไม่ใช่แค่สถานพยาบาล แต่จะกลายเป็น คู่หูด้านสุขภาพ (Healthcare Partner for Life) ของผู้ป่วยในที่สุด 
 
 
แหล่งที่มา : 
 

https://liveramp.com/blog

 

 

 

บทความแนะนำ

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *