RFM Model เครื่องมือวิเคราะห์ลูกค้าที่นักการตลาดยุคใหม่ต้องรู้!

RFM Model

ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันอย่างรุนแรง การเข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งที่สุดคือหัวใจสำคัญของการทำการตลาด หากคุณเคยสงสัยว่าทำอย่างไรถึงจะรู้ว่าลูกค้าคนไหนควรให้ความสำคัญ หรือใครที่กำลังจะหลุดจากระบบของคุณ RFM Model คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์นั้นได้อย่างแม่นยำ และทรงพลัง วันนี้ Talka จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Model นี้ คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ รวมถึงวิธีใช้งาน เทคนิคการวิเคราะห์ลูกค้าแบบเชิงลึก ตลอดจนตัวอย่างการนำไปใช้จริงในธุรกิจ เพื่อให้คุณสามารถนำไปประยุกต์ ใช้ได้ทันทีครับ

RFM Model คืออะไร?

RFM Model คืออะไร

RFM Model คืออะไร?

RFM Model คือ เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในโลกของการตลาด โดยเฉพาะในยุคที่ข้อมูลกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ธุรกิจ ย่อมาจาก 3 ปัจจัยหลัก ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถ “จัดลำดับความสำคัญของลูกค้า” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่

R – Recency (ธุรกรรมล่าสุดของลูกค้า) หมายถึง ระยะเวลาที่ผ่านมาตั้งแต่ลูกค้าทำธุรกรรมล่าสุด ยิ่งลูกค้าคนใดเพิ่งซื้อสินค้าหรือใช้บริการล่าสุด ก็แสดงถึงความสนใจหรือความสัมพันธ์ที่ยังสดใหม่ ซึ่งหมายความว่าลูกค้าคนนั้นยังมีแนวโน้มจะกลับมาซื้อซ้ำหรือมี Engagement กับแบรนด์ต่อไป

F – Frequency (ความถี่ในการซื้อ) หมายถึง จำนวนครั้งที่ลูกค้าซื้อสินค้าในช่วงเวลาที่กำหนด ความถี่ในการซื้อสะท้อนถึงระดับความภักดี (Loyalty) ของลูกค้า ลูกค้าที่ซื้อซ้ำบ่อยมักจะมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับแบรนด์ และมีโอกาสสูงในการตอบสนองต่อแคมเปญหรือข้อเสนอพิเศษ

M – Monetary (มูลค่ารวมที่ลูกค้าใช้จ่าย) หมายถึง จำนวนเงินรวมที่ลูกค้าใช้จ่ายกับธุรกิจ มูลค่านี้ช่วยให้ระบุได้ว่าลูกค้าคนใดมีผลต่อรายได้ของบริษัทมากที่สุด ลูกค้าที่ใช้จ่ายสูงอาจไม่ซื้อบ่อย แต่มีมูลค่าสูงในแต่ละครั้ง จึงควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด

เป้าหมายหลัก

เป้าหมายของการใช้  Model นี้ คือ การประเมินว่า “ลูกค้าคนใดมีคุณค่ามากที่สุด” จากข้อมูลพฤติกรรมที่ผ่านมาของพวกเขา โดยการนำข้อมูลของทั้ง 3 ปัจจัย มาประมวลผลร่วมกัน ธุรกิจสามารถกำหนดระดับความสำคัญของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างแม่นยำ และนำไปสู่การแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ที่มีความชัดเจน รองรับการสื่อสารแบบเจาะจงได้ดีขึ้น ยกตัวอย่าง เช่น ลูกค้าที่เพิ่งซื้อไปไม่นาน (Recency สูง), ซื้อบ่อย (Frequency สูง) และใช้จ่ายมาก (Monetary สูง) คือ กลุ่ม ลูกค้า VIP ที่ควรได้รับสิทธิพิเศษ ขณะเดียวกัน ลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อนานแล้ว ซื้อไม่บ่อย และใช้จ่ายต่ำ อาจเป็นกลุ่มที่ต้องการแคมเปญกระตุ้นเพื่อกลับมาใช้งานอีกครั้ง

ทำไม Model นี้ถึงได้รับความนิยม?

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ Model นี้ได้รับความนิยมคือความ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงก็สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ทันที แม้แต่ธุรกิจขนาดเล็กก็สามารถเริ่มต้นวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าด้วย Excel ได้ และเมื่อธุรกิจเติบโต ก็สามารถต่อยอดโดยเชื่อมกับระบบ CRM หรือ Marketing Automation ต่างๆ ได้อย่างราบรื่นอีกทั้งยังสอดคล้องกับหลักการของ Customer Centric Marketing หรือการตลาดที่เน้นลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งเป็นแนวคิดหลักในการทำธุรกิจยุคดิจิทัล

ตัวอย่างในการใช้ RFM Model

สมมติว่าคุณมีร้านค้าออนไลน์ที่ขายเสื้อผ้า ลูกค้า A เพิ่งซื้อเมื่อ 3 วันก่อน ซื้อไปแล้ว 8 ครั้ง ใช้จ่ายรวม 5,000 บาท ลูกค้า B ซื้อครั้งล่าสุดเมื่อ 6 เดือนก่อน เคยซื้อแค่ 2 ครั้ง ใช้จ่ายรวม 800 บาท เมื่อวิเคราะห์ด้วย RFM Model คุณจะทราบได้ทันทีว่าลูกค้า A คือ กลุ่มที่ควรให้ความสำคัญมากกว่า ลูกค้า B และควรออกแบบแคมเปญ หรือข้อเสนอพิเศษเฉพาะให้ตรงกับกลุ่มนั้น เช่น ส่วนลดพิเศษสำหรับการซื้อครั้งต่อไป หรือเชิญเข้าร่วม Loyalty Program เป็นต้น

RFM Model สำคัญอย่างไร?

ความสำคัญของ RFM Model

ทำไม RFM Model จึงสำคัญกับการตลาดยุคใหม่ในยุคของ Data-Driven Marketing หรือการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล นักการตลาดไม่สามารถพึ่งพาเพียงความรู้สึก หรือประสบการณ์ส่วนตัวได้อีกต่อไป ทุกการตัดสินใจต้องมี “ข้อมูลที่แม่นยำ” มาสนับสนุน เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์ที่วางไว้จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด และหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ตอบโจทย์นี้ก็ คือ RFM Model เครื่องมือวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าที่สามารถให้ข้อมูลเชิงลึก ช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้แคมเปญการตลาดของคุณ “ตรงจุด” มากยิ่งขึ้น

1. เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเป็นระบบ

RFM Model ย่อมาจาก Recency (การซื้อครั้งล่าสุด) Frequency (ความถี่ในการซื้อ) และ Monetary (จำนวนเงินที่ใช้จ่าย) ซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลัก ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถมองเห็นภาพรวมของพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างชัดเจน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลในมุมเหล่านี้

Recency : ลูกค้าคนไหนเพิ่งซื้อไปไม่นาน ลูกค้ากลุ่มนี้ถือว่า “พร้อม” ที่จะตอบสนองต่อการตลาดมากที่สุด

Frequency : ลูกค้าคนไหนมีความถี่ในการซื้อบ่อย ชี้ให้เห็นถึงระดับของ Loyalty และ Engagement

Monetary : ลูกค้าคนไหนใช้จ่ายมากที่สุด กลุ่มนี้คือ Top Spender ที่ควรให้ความสำคัญในการดูแล

การเข้าใจพฤติกรรมแบบนี้ช่วยให้นักการตลาดสามารถวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation) ได้อย่างมีหลักการ ไม่ใช่การเดาหรือใช้ความรู้สึกอีกต่อไป

2. ประหยัดงบการตลาด เพราะยิงแคมเปญตรงกลุ่มเป้าหมาย

ในยุคที่งบประมาณเป็นสิ่งมีค่า การ “หว่านแห” หรือยิงโฆษณาไปยังกลุ่มกว้างๆ โดยหวังว่าจะมีคนตอบสนองบ้างนั้นไม่ใช่แนวทางที่ดีอีกต่อไป RFM Model ช่วยให้นักการตลาดสามารถคัดกรองกลุ่มเป้าหมายที่ “มีแนวโน้มตอบสนองสูงสุด” จากข้อมูลที่มีอยู่จริง เช่น กลุ่มลูกค้าที่เพิ่งซื้อสินค้าไปไม่นานและมีการซื้อบ่อยๆ จะมีโอกาสตอบสนองต่อแคมเปญ Cross-sell หรือ Upsell ได้ดีกลุ่มลูกค้าที่ใช้จ่ายเยอะในอดีตแต่ห่างหายไปนาน อาจเหมาะสำหรับแคมเปญกระตุ้นกลับมาซื้อซ้ำการยิงโฆษณาเฉพาะกลุ่มที่มีความเป็นไปได้สูงนี้ ทำให้สามารถ ลดต้นทุนการโฆษณาได้มาก และยังเพิ่ม ROI (ผลตอบแทนจากการลงทุน) ได้อย่างมีนัยสำคัญ

3. วางแผน Retention ได้อย่างแม่นยำ

การรักษาลูกค้าเก่า (Customer Retention) มีต้นทุนต่ำกว่าการหาลูกค้าใหม่หลายเท่า RFM Model ช่วยให้คุณเห็นชัดเจนว่าลูกค้ากลุ่มไหนกำลังเสี่ยงที่จะหลุดออกจากระบบ เช่น ลูกค้าที่เคยซื้อบ่อย แต่ช่วงหลังเริ่มเงียบหายไปลูกค้าที่เคยใช้จ่ายสูง แต่ไม่เคยกลับมาซื้ออีกเลยในช่วงหลายเดือน เมื่อสามารถระบุกลุ่มเสี่ยงเหล่านี้ได้ นักการตลาดก็สามารถออกแบบแคมเปญ Retention เช่น การส่งโปรโมชั่นพิเศษ, คูปองส่วนลด, หรือการติดต่อส่วนตัว เพื่อดึงลูกค้ากลับมาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดการสูญเสียลูกค้าระยะยาวและเพิ่ม LTV (Lifetime Value)

4. ปรับ Personalized Marketing ให้ตรงจุด

ยุคนี้การตลาดแบบแมสไม่ได้ผลอีกต่อไป ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจง กับพวกเขามากขึ้น RFM Model ช่วยให้คุณสร้างการตลาดแบบ Personalized ได้ง่ายขึ้น เพราะรู้ว่าลูกค้าแต่ละคนอยู่ในช่วงไหนของ Customer Journey  เช่น

  • กลุ่มลูกค้าที่เพิ่งเริ่มซื้อครั้งแรก : อาจต้องการการแนะนำเพิ่มเติม
  • กลุ่มลูกค้าประจำ : อาจต้องการโปรแกรมสะสมแต้ม หรือของขวัญขอบคุณกลุ่มลูกค้า
  • VIP : ควรได้รับสิทธิพิเศษ เช่น Early Access หรือบริการพิเศษ

การปรับข้อความ โปรโมชั่น หรือข้อเสนอให้เหมาะกับแต่ละกลุ่ม จะทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความใส่ใจ และช่วยเพิ่ม Conversion ได้มากกว่าการส่งข้อความแบบเดียวกันให้กับทุกคน

5. สร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบเฉพาะบุคคล (Customer Experience)

ประสบการณ์ลูกค้าที่ดีไม่ได้มาจากแค่สินค้าคุณภาพ แต่เกิดจากการที่ลูกค้ารู้สึกว่า “คุณเข้าใจเขา” RFM Model ช่วยให้คุณวาง Customer Experience ได้แบบแม่นยำและเหมาะกับแต่ละบุคคล เช่น ส่งข้อความขอบคุณหรือ Happy Birthday ไปยังลูกค้า VIP เสนอสินค้าใหม่ที่ตรงกับพฤติกรรมการซื้อเดิมของลูกค้าปรับจังหวะการติดต่อให้เหมาะสม เช่น ไม่ติดต่อถี่เกินไปสำหรับลูกค้าที่มี Frequency ต่ำ

ผลลัพธ์คือความพึงพอใจที่เพิ่มขึ้น ความภักดีที่ยั่งยืน และการบอกต่อที่เกิดขึ้นเองแบบออร์แกนิก

สรุปแล้ว RFM Model ไม่ใช่แค่เครื่องมือวิเคราะห์ แต่เป็นหัวใจของการตลาดยุคใหม่ ที่เน้นความเข้าใจในตัวลูกค้าอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้คุณวางแผนการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่ม และตอบโจทย์เป้าหมายทางธุรกิจในทุกมิติ หากคุณต้องการยกระดับกลยุทธ์การตลาดให้ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง ไม่ใช่แค่ความรู้สึก RFM Model คือ จุดเริ่มต้นที่ควรให้ความสำคัญทันที

ประโยชน์ของการใช้ RFM Model

ประโยชน์ของ RFM Model

ในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว การที่ธุรกิจจะทำการตลาดให้แม่นยำและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แค่การ “รู้จักลูกค้า” ในภาพกว้างเท่านั้น แต่ต้อง เข้าใจว่าใครคือกลุ่มที่มีมูลค่าจริง ใครควรได้รับการรักษาไว้ และใครกำลังจะหลุดมือไป การใช้ข้อมูลลูกค้า (Customer Data) มาวิเคราะห์พฤติกรรมในมิติที่จับต้องได้จริงการวิเคราะห์ RFM ช่วยให้ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ วางแผนแคมเปญการตลาดอย่างแม่นยำ และให้บริการลูกค้าได้ตรงความคาดหวังมากขึ้น ผลลัพธ์คือการ ลดต้นทุน เพิ่มยอดขาย และเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์

1. วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้ลึกและเป็นระบบ

แทนที่จะดูแค่ยอดขายรวม ธุรกิจสามารถแยกวิเคราะห์ลูกค้าแต่ละรายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ลูกค้ากลุ่ม A อาจไม่ได้ใช้จ่ายสูง แต่ซื้อบ่อย และเพิ่งซื้อเมื่อไม่นานมานี้ ลูกค้ากลุ่ม B อาจเคยใช้จ่ายสูง แต่ห่างหายไปนานแล้วการแยกแยะนี้ช่วยให้การวางกลยุทธ์กับลูกค้าแต่ละกลุ่ม “แม่นยำ” มากกว่าการส่งแคมเปญเหมือนๆ กันไปยังทุกคนตัวอย่าง : ร้านขายของออนไลน์สามารถใช้ RFM เพื่อดูว่าลูกค้าคนใดเพิ่งซื้อของเมื่อ 7 วันก่อน บ่อยครั้งในรอบเดือน และใช้จ่ายรวมสูงกว่า 5,000 บาท พวกเขา คือ “ลูกค้าระดับทอง” ที่ควรให้โปรโมชั่นพิเศษเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง

2. ช่วยแบ่งกลุ่มลูกค้า (Segmentation) อย่างมีประสิทธิภาพ

เมื่อได้คะแนน RFM ของลูกค้าแล้ว ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าออกได้หลายแบบ เช่น

Champions : ซื้อบ่อย ซื้อเยอะ และเพิ่งซื้อไปไม่นาน

Loyal Customers : ซื้อบ่อยและใช้จ่ายมาก

At Risk Customers : เคยซื้อบ่อยและเยอะ แต่ไม่ได้ซื้อในช่วงหลัง

Lost Customers : ลูกค้าที่หายไปนานและไม่ซื้ออีก

ข้อดีของการแบ่งกลุ่มนี้ คือ สามารถทำการตลาดเฉพาะเจาะจงได้ทันที เช่น กลุ่มที่หายไปนานอาจต้องกระตุ้นด้วยโปรโมชั่น ส่วนกลุ่มที่ซื้อประจำควรได้รับการตอบแทนพิเศษ เป็นต้น

3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำ Personalized Marketing

จากกลุ่มลูกค้าที่วิเคราะห์ด้วย RFM ธุรกิจสามารถส่งข้อความที่ “เหมาะกับแต่ละคน” ได้จริง ไม่ใช่เพียงแค่ชื่อหรือวันเกิด แต่ต้องรวมถึง :

  • ความถี่ในการเสนอสินค้า (เพื่อลูกค้าที่ซื้อบ่อย)
  • มูลค่าเสนอขาย (ให้เหมาะสมกับการใช้จ่ายเฉลี่ย)
  • เวลาในการส่งข้อความ (เช่น หลังจากลูกค้าซื้อไปแล้ว 20 วัน หากโดยเฉลี่ยลูกค้าซื้อทุกๆ 30 วัน)

ผลลัพธ์ : อัตราการเปิดอีเมล คลิกลิงก์ และ Conversion เพิ่มขึ้นหลายเท่าเมื่อเทียบกับการตลาดแบบ Mass

4. รักษาลูกค้าเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ (Retention Strategy)

หนึ่งในต้นทุนที่แพงที่สุดของธุรกิจ คือ ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ (Customer Acquisition Cost – CAC) ในขณะที่ลูกค้าเก่า ใช้ต้นทุนน้อยกว่าแต่มีโอกาสซื้อซ้ำสูงกว่า การใช้ RFM ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับได้ว่าใครกำลังจะ “หลุด” และวางกลยุทธ์เพื่อ เรียกกลับคืนมา (Win-back) ได้ทันก่อนจะสายเกินไป เช่น มอบส่วนลดพิเศษสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อใน 60 วัน ส่งข้อความพร้อมข้อเสนอจำกัดเวลาเพื่อเร่งการตัดสินใจ

 5. วัดมูลค่าลูกค้า (Customer Lifetime Value – CLV) ได้แม่นยำขึ้น

ข้อมูลจาก RFM สามารถนำไปคำนวณ CLV ได้ง่ายขึ้น เพราะมี 3 ปัจจัยหลักครบ ทั้ง ความถี่ในการซื้อ (F) มูลค่าต่อการซื้อ (M) ระยะเวลาการใช้งานล่าสุด (R) การประเมิน CLV ช่วยให้ธุรกิจรู้ว่าควร ลงทุนกับลูกค้ากลุ่มใดมากที่สุด เพื่อให้ได้ผลตอบแทนระยะยาว ไม่ใช่แค่ยอดขายระยะสั้น

6. ช่วยปรับปรุงกลยุทธ์ CRM (Customer Relationship Management)

เมื่อข้อมูลลูกค้าถูกแยกตาม RFM ได้ชัดเจน ทีมขายและทีมบริการลูกค้าก็สามารถติดต่อลูกค้าแต่ละกลุ่มด้วยแนวทางที่แตกต่างกัน กำหนดระดับสิทธิพิเศษ/ของขวัญ/บริการหลังการขาย ได้ตามคุณค่าของลูกค้า

ผลลัพธ์ : ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญและเข้าใจความต้องการของตน เพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำและบอกต่อแบรนด์ให้ผู้อื่น

7. ช่วยวางแผนงบประมาณการตลาดได้ตรงจุด

หากทราบว่า 20% ของลูกค้าให้รายได้ถึง 80% (หลัก Pareto’s Law) การใช้ RFM ช่วยแยกว่าลูกค้ากลุ่มนี้คือใคร แล้วโฟกัสงบประมาณการตลาดให้ “แม่นยำ” ยิ่งขึ้น ลดการสิ้นเปลืองจากการยิงแคมเปญให้คนที่ไม่ได้ตอบสนอง เพิ่มผลตอบแทนจากการโฆษณา (ROAS) และกำไรสุทธิ

8. วัดผลลัพธ์ของแคมเปญได้แบบ Data-driven

หลังจากทำแคมเปญใดไปแล้ว เช่น แคมเปญกระตุ้นลูกค้าเก่า ธุรกิจสามารถวิเคราะห์ว่า คะแนน R เพิ่มขึ้นหรือไม่? ความถี่ในการซื้อดีขึ้นแค่ไหน? มูลค่าการใช้จ่ายเฉลี่ยเปลี่ยนไปหรือไม่?สิ่งเหล่านี้ช่วยให้สามารถวัดผล ROI จากแคมเปญได้ชัดเจน และต่อยอดไปสู่แคมเปญถัดไปได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น 

9. สร้างแนวทาง Cross-sell และ Upsell ได้ตรงจุด

ลูกค้าที่มี F และ M สูง มักเป็นเป้าหมายที่เหมาะสมสำหรับการเสนอสินค้า/บริการเพิ่มเติม เช่น ลูกค้าร้านเครื่องสำอางที่ซื้อทุกเดือน อาจสนใจสมัครสมาชิกแบบรายปี ลูกค้าที่เคยซื้อกล้อง อาจสนใจเลนส์หรืออุปกรณ์เสริมเมื่อวางกลยุทธ์โดยอิงจากข้อมูลจริง ไม่ใช่คาดเดา ผลลัพธ์ของ Cross-sell / Upsell ก็จะมี Conversion ที่สูงขึ้น

10. ใช้งานง่าย เริ่มต้นได้ทันที แม้ไม่มีทีม Data

RFM Model ไม่ต้องใช้เครื่องมือซับซ้อนในการเริ่มต้น เพียงแค่  มีข้อมูลวันที่ซื้อ ความถี่ และ ยอดใช้จ่ายของลูกค้า ใช้ Excel, Google Sheets หรือ BI Tools ในการจัดอันดับคะแนน R, F, Mเหมาะทั้งสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก กลาง หรือองค์กรใหญ่ที่ต้องการเริ่มใช้ Data เพื่อขับเคลื่อนกลยุทธ์การตลาด

วิธีเริ่มต้นใช้งาน RFM Model

วิธีเริ่มต้นใช้งาน RFM Model

การเริ่มต้นใช้งาน RFM Model (Recency, Frequency, Monetary) เป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดและเจ้าของธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าได้อย่างลึกซึ้ง โดย RFM เป็นโมเดลที่ใช้วิเคราะห์มูลค่าของลูกค้าในเชิงพฤติกรรม เพื่อจัดกลุ่มลูกค้าและวางกลยุทธ์การตลาดที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่ม

ขั้นตอนที่ 1 : เตรียมข้อมูลลูกค้า (Collect Customer Data)

ก่อนจะวิเคราะห์ ต้องมีข้อมูลพื้นฐานของลูกค้าดังนี้

Customer ID : รหัสลูกค้าแต่ละราย

Transaction Date : วันที่ซื้อสินค้าแต่ละครั้ง

Transaction Amount : มูลค่าของแต่ละรายการซื้อ

แหล่งข้อมูลมักมาจากระบบ POS, CRM, หรือข้อมูลการซื้อจากเว็บไซต์/แอปพลิเคชัน

ขั้นตอนที่ 2 : คำนวณค่า R, F, M สำหรับลูกค้าแต่ละราย

  • 2.1 Recency (R) = ความใกล้เวลาซื้อครั้งล่าสุด

นิยาม : จำนวนวันที่ผ่านไปนับจากวันที่ลูกค้าซื้อครั้งล่าสุดจนถึงวันที่วิเคราะห์

วิธีคิด :`Recency = วันที่วิเคราะห์ – วันที่ซื้อครั้งล่าสุดของลูกค้า

ตัวอย่าง : หากวิเคราะห์วันที่ 30 เม.ย. 2025 และลูกค้าซื้อครั้งล่าสุดวันที่ 15 เม.ย. 2025 → Recency = 15 วัน

  • 2.2 Frequency (F) = ความถี่ในการซื้อ

นิยาม : จำนวนครั้งที่ลูกค้าทำการซื้อในช่วงเวลาที่กำหนด (เช่น 6 เดือน หรือ 1 ปี) วิธีคิด Frequency = จำนวนธุรกรรมทั้งหมดที่ลูกค้าคนนั้นทำตัวอย่าง : ลูกค้าคนหนึ่งมีการซื้อ 5 ครั้งในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา → Frequency = 5

  • 2.3 Monetary (M) = มูลค่าการใช้จ่ายรวม

นิยาม : ยอดรวมที่ลูกค้าใช้จ่ายกับธุรกิจในช่วงเวลาที่กำหนดวิธีคิด : Monetary = ผลรวมของยอดซื้อทั้งหมดของลูกค้า

ตัวอย่าง : ลูกค้าใช้จ่ายไป 10,000 บาท ในปีที่ผ่านมา → Monetary = 10,000 บาท

ขั้นตอนที่ 3 : ให้คะแนนแต่ละค่า R, F, M (Score RFM)

การให้คะแนน RFM จะช่วยแยกกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมการซื้อ วิธีที่นิยม คือ แบ่งคะแนนเป็น 1–5 (ยิ่งมากยิ่งดี ยกเว้น Recency ต้องกลับกัน)

Recency :  R = 5 → ซื้อเร็วที่สุด (ล่าสุด) R = 1 → นานมากแล้วที่ซื้อครั้งล่าสุด

Frequency : F = 5 → ซื้อบ่อยมาก F = 1 → ซื้อเพียงครั้งเดียว

Monetary : M = 5 → ใช้จ่ายสูงสุด M = 1 → ใช้จ่ายน้อยที่สุด

วิธีให้คะแนนแบบ Percentile : แบ่งลูกค้าเป็น 5 กลุ่มตามเปอร์เซ็นไทล์ของแต่ละตัวแปร

ขั้นตอนที่ 4 : รวมคะแนนเป็นรหัส RFM (RFM Code)

นำคะแนนแต่ละส่วนมารวมเป็นรหัส เช่น R=5, F=4, M=5 → RFM = 545R=2, F=1, M=1 → RFM = 211

ใช้รหัส RFM เพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้า เช่น “กลุ่ม 555” = ลูกค้ายอดเยี่ยมที่สุด

ขั้นตอนที่ 5 : แบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation)

หลังได้คะแนน RFM แล้ว สามารถนำไปจัดกลุ่มลูกค้า เช่น

กลุ่มลูกค้า เงื่อนไข RFM ลักษณะ
Champion Customers R = 5, F = 5, M = 5 ซื้อบ่อย ใช้จ่ายสูง ล่าสุด
Loyal Customers F สูง ซื้อซ้ำบ่อย
Big Spenders M สูง ใช้จ่ายเยอะ
At Risk R ต่ำ หายไปนาน
Lost R = 1, F ต่ำ, M ต่ำ หายไปนาน ซื้อไม่บ่อย

สามารถใช้การวิเคราะห์คลัสเตอร์ (เช่น K-Means) เพื่อจัดกลุ่มลูกค้าก็ได้

ขั้นตอนที่ 6: วางกลยุทธ์การตลาดตามกลุ่มลูกค้า

หลังจากจัดกลุ่มแล้ว ควรวางกลยุทธ์ให้เหมาะสม

Champion → ให้รางวัล/สิทธิพิเศษ

UpsellLoyal → โปรแกรมสะสมแต้ม, บัตรสมาชิก

Big Spenders → ส่งสินค้า/บริการพรีเมียม

At Risk → ส่งส่วนลดเรียกกลับ

RetargetingLost → หาสาเหตุที่เลิกซื้อ, ส่งแบบสอบถาม

ขั้นตอนที่ 7: ติดตามผลและปรับปรุงกลยุทธ์

วัดผลด้วย KPI เช่น Conversion Rate, Retention Rate, Average Order Value  อัปเดตข้อมูล RFM ทุกเดือน/ไตรมาส เพื่อดูการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า

สรุป

ท้ายที่สุดแล้วการใช้ RFM Model ไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลลูกค้า แต่คือการ เปลี่ยนข้อมูลให้เป็นกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำและวัดผลได้จริง ตั้งแต่การแบ่งกลุ่มลูกค้า การเพิ่มยอดขาย การรักษาฐานลูกค้า ไปจนถึงการลดต้นทุนทางการตลาดในระยะยาว ในยุคที่ธุรกิจแข่งขันกันด้วย “ข้อมูล” และ “ความเข้าใจลูกค้า” โมเดล RFM คือ อาวุธลับที่ทุกธุรกิจควรมีติดกระเป๋า

 
แหล่งที่มา :
 
 
 
 

 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *