วันนี้ Talka จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Conversion ที่เชื่อว่าเป็นหนึ่งในศัพท์ด้านการตลาดที่หลายคนคงคุ้นเคยและได้ยินกันอยู่บ่อยๆ บางคนอาจเข้าใจดีแล้วว่ามันคืออะไร แต่สำหรับใครที่ยังไม่เข้าใจวันนี้เราจะมาเจาะลึกโลกของคอนเวอร์ชันไปพร้อมกันในทุกรายละเอียดและทุกแง่มุมที่ควรรู้ เพราะในยุคดิจิทัลที่การแข่งขันทางธุรกิจสูงขึ้นเรื่อยๆ การทำความเข้าใจและใช้ประโยชน์จากคอนเวอร์ชันในการตลาดดิจิทัลเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับคอนเวอร์ชันอย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย ประเภท ไปจนถึงประโยชน์ที่มีต่อการตลาด และธุรกิจของคุณครับ
Conversion คืออะไร?
Conversion หมายถึง การที่ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันของคุณทำการกระทำใดๆ ก็ตามที่คุณต้องการให้พวกเขาทำซึ่งสิ่งนั้นก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจ กล่าวคือ เป็นการเปลี่ยนแปลงจากสถานะหนึ่งไปเป็นอีกสถานะหนึ่ง ซึ่งในบริบทของธุรกิจและการตลาดมักจะ หมายถึง กระบวนการโน้มน้าวบุคคลให้ดำเนินการบางอย่างที่สอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กรนั่นเองครับซึ่งในที่นี้อาจจะเป็น การซื้อสินค้า การสมัครรับจดหมายข่าว หรือการกรอกแบบฟอร์มการติดต่อ เป็นต้น
ประเภทของ Conversion
1. Macro Conversions
คือ การกระทำที่ส่งผลโดยตรงต่อรายได้หรือเป้าหมายหลักของธุรกิจ เช่น
- การซื้อสินค้าหรือบริการ
- การสมัครสมาชิกแบบเสียค่าใช้จ่าย
- การขอใบเสนอราคา
2. Micro Conversions
เป็นการกระทำที่นำไปสู่ Macro ในอนาคต หรือเป็นตัวชี้วัดความสนใจของผู้ใช้ เช่น
- การสมัครรับจดหมายข่าว
- การสร้างบัญชีผู้ใช้
- การเพิ่มสินค้าลงในตะกร้า
- การดาวน์โหลด eBook หรือเอกสารฟรี
3. Primary Conversions
คือ เป้าหมายหลักของแคมเปญหรือหน้าเว็บนั้น ๆ เช่น
- การกรอกแบบฟอร์มติดต่อบนหน้า Landing Page
- การซื้อสินค้าจากโฆษณา Pay-Per-Click
4. Secondary Conversions
เซคอนดารี คอนเวอร์ชัน การให้คะแนนหรือรีวิวสินค้า
- การดูวิดีโอสาธิตการใช้งานผลิตภัณฑ์
ประโยชน์ของ Conversion ต่อการตลาดดิจิทัล
1. วัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด
คอนเวอร์ชัน เรท หรืออัตราการแปลง ช่วยให้คุณสามารถวัดประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาดต่างๆของคุณได้อย่างแม่นยำ โดยทำให้ทราบว่าการลงทุนในแต่ละช่องทางนั้นให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าหรือไม่ ช่วยให้สามารถวัดผลลัพธ์ที่ชัดเจนจากแคมเปญการตลาด เช่น จำนวนผู้ซื้อสินค้า จำนวนผู้สมัครสมาชิก หรือจำนวนการดาวน์โหลด ซึ่งข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถประเมินได้ว่ากลยุทธ์ใดที่ได้ผลและกลยุทธ์ใดที่ต้องปรับปรุง
2. ปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้
การปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience – UX) เป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อคอนเวอร์ชันด้านการตลาดดิจิทัล การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้สามารถเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการวิเคราะห์ คอนเวอร์ชัน พาธ หรือเส้นทางของการเปลี่ยนแปลงจะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมของผู้ใช้ และสามารถปรับปรุงประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันให้ดียิ่งขึ้นได้
3. เพิ่มประสิทธิภาพการใช้งบประมาณ
การติดตามคอนเวอร์ชัน ถือว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการจัดสรรงบประมาณการตลาด กล่าวคือ การติดตามคอนเวอร์ชันช่วยให้คุณสามารถจัดสรรงบประมาณการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อเน้นลงทุนในช่องทางที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด โดยการวัดผลการดำเนินการของผู้ใช้ที่เกิดขึ้นหลังจากคลิกโฆษณาหรือเข้าชมเว็บไซต์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำความเข้าใจถึงประสิทธิภาพของแคมเปญต่างๆ และปรับกลยุทธ์ได้อย่างเหมาะสมในที่สุด
4. ปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด
ข้อมูลจากคอนเวอร์ชัน สามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาด เช่น การปรับปรุงเนื้อหา การออกแบบโฆษณา หรือการเลือกกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งสำคัญต่อการปรับปรุงกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล โดยข้อมูลที่ได้จากการติดตามคอนเวอร์ชันช่วยให้ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5. เพิ่มยอดขายและรายได้
การเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชันอย่างต่อเนื่อง จะนำไปสู่การเพิ่มยอดขายและรายได้ของธุรกิจในที่สุด กล่าว คือ การเพิ่มอัตราของคอนเวอร์ชัน หมายถึง การเปลี่ยนผู้เข้าชมเว็บไซต์ให้กลายเป็นลูกค้าได้มากขึ้น โดยการปรับปรุงประสบการณ์ผู้ใช้ เช่น การออกแบบหน้า Landing Page ที่ดึงดูดและมีข้อมูลชัดเจน จะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจในการตัดสินใจซื้อสินค้า เมื่อมีผู้เข้าชมจำนวนมากที่กลายเป็นลูกค้า ยอดขายและรายได้โดยรวมของธุรกิจจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
เทคนิคการเพิ่ม Conversion Rate
การเพิ่ม คอนเวอร์ชัน เรท เป็นเป้าหมายสำคัญของนักการตลาดดิจิทัล ต่อไปนี้คือเทคนิคที่มีประสิทธิภาพเพื่อเพิ่มปริมาณคอนเวอร์ชัน
1. ปรับปรุง User Experience (UX)
- ออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่าย นำทางสะดวก : เน้นความเรียบง่าย ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบริการที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและไม่ยุ่งยาก หากผู้ใช้สามารถหาสิ่งที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำการซื้อหรือดำเนินการตามที่ต้องการมากขึ้น
- เพิ่มความเร็วในการโหลดหน้าเว็บ : เพราะเมื่อเว็บไซต์โหลดช้า ผู้ใช้มีแนวโน้มที่จะคลิกออกจากหน้าเว็บก่อนที่จะเห็นเนื้อหาหรือข้อเสนอที่สำคัญ การเพิ่มความเร็วในการโหลดช่วยลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) และทำให้ผู้ใช้มีโอกาสมากขึ้นในการสำรวจเว็บไซต์และทำการซื้อได้
- ทำให้เว็บไซต์รองรับการใช้งานบนอุปกรณ์มือถือ (Mobile-Friendly) : ด้วยจำนวนผู้ใช้มือถือที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว การทำให้เว็บไซต์รองรับมือถือช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่ใช้มือถือในการค้นหาข้อมูลและทำการซื้อสินค้าซึ่งการเข้าถึงลูกค้าเหล่านี้หมายถึงโอกาสในการเพิ่มยอดขายและรายได้
2. ใช้ Call-to-Action (CTA) ที่มีประสิทธิภาพ
- ออกแบบปุ่ม CTA ให้โดดเด่น สะดุดตา : ปุ่ม CTA ที่มีข้อความชัดเจนและตรงไปตรงมาช่วยให้ผู้ใช้เข้าใจว่าพวกเขาควรทำอะไรต่อไป ช่วยขจัดความสับสนและกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการตามที่ต้องการ เมื่อผู้ใช้รู้ว่าต้องทำอะไร พวกเขาย่อมมีแนวโน้มที่จะคลิกมากขึ้น
- ใช้ข้อความที่กระตุ้นการตัดสินใจ : การใช้คำที่กระตุ้น เช่น “สมัครฟรีวันนี้” “รับส่วนลดทันที” ช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับ CTA และกระตุ้นให้ผู้ใช้ดำเนินการตามที่ต้องการได้มากขึ้นคำกริยาเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นให้ผู้ชมดำเนินการมากกว่าภาษาที่ดูเฉยเมย
- วางตำแหน่ง CTA ในจุดที่เหมาะสม : การวางปุ่ม CTA ในตำแหน่งที่โดดเด่นและมองเห็นได้ง่ายช่วยให้ผู้ใช้สามารถสังเกตเห็นได้ทันที ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการค้นหาข้อมูลหรือการดำเนินการที่ต้องการ เช่น การวางปุ่มในส่วนบนสุดของหน้าเว็บหรือใกล้กับเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง จะทำให้ผู้ใช้มีโอกาสคลิกมากขึ้น
3. สร้างความน่าเชื่อถือ
- แสดงรีวิวและความคิดเห็นจากลูกค้า : การมีรีวิวจากลูกค้าเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ เมื่อผู้ใช้เห็นว่ามีลูกค้าคนอื่นที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการและพอใจกับผลลัพธ์ พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งช่วยลดความลังเลและข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้น
- แสดงเครื่องหมายรับรองความปลอดภัย (Trust Badges) : เครื่องหมายรับรองความปลอดภัยช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้ โดยเฉพาะในตลาดออนไลน์ที่ผู้ใช้มักมีความกังวลเกี่ยวกับความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลและการทำธุรกรรมทางการเงิน เมื่อผู้ใช้เห็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการรับรองจากองค์กรที่เชื่อถือได้ เช่น SSL, McAfee, หรือ PayPal พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการทำการซื้อหรือให้ข้อมูลส่วนบุคคล
- นำเสนอกรณีศึกษาหรือตัวอย่างความสำเร็จ : การแสดงกรณีศึกษาหรือความสำเร็จจากลูกค้าจริงช่วยสร้างความไว้วางใจในแบรนด์ เมื่อผู้ใช้เห็นว่ามีคนอื่นที่เคยใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการและได้รับผลลัพธ์ที่ดี พวกเขาจะรู้สึกมั่นใจมากขึ้นในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งช่วยลดความลังเลและข้อสงสัยที่อาจเกิดขึ้นได้
4. ใช้ A/B Testing
- ทดสอบองค์ประกอบต่าง ๆ ของเว็บไซต์ เช่น หัวข้อ รูปภาพ สี : การสร้างสองเวอร์ชันของหน้าเว็บ (A และ B) และสุ่มแสดงให้กับผู้เข้าชมในกลุ่มเดียวกัน จากนั้นวัดผลลัพธ์เพื่อดูว่าเวอร์ชันไหนมีอัตราคอนเวอร์ชัน สูงกว่ากัน การทดสอบเพียงหนึ่งองค์ประกอบในแต่ละครั้งช่วยให้สามารถระบุได้ว่าอะไรทำงานได้ดีที่สุดวิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้โดยอิงจากข้อมูลจริง แทนที่จะเป็นความรู้สึกหรือการคาดเดา การวิเคราะห์ผลลัพธ์จากการทดสอบช่วยให้เข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงใดที่ส่งผลต่ออัตราคอนเวอร์ชันอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงในการตัดสินใจ
- วิเคราะห์ผลและปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง : A/B Testing ช่วยให้แบรนด์สามารถปรับปรุงเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันได้ตามข้อมูลจริงจากผู้ใช้งาน การวิเคราะห์ผลและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้แบรนด์สามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้ใช้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นซึ่งนำไปสู่การเพิ่ม คอนเวอร์ชัน เรท ได้อย่างยั่งยืน
5. ปรับปรุงฟอร์มกรอกข้อมูล
- ลดจำนวนฟิลด์ให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น
- ใช้ Auto-fill เพื่อความสะดวกของผู้ใช้
- แสดงข้อความแจ้งเตือนที่ชัดเจนเมื่อกรอกข้อมูลผิดพลาด
6. ใช้ Personalization
- นำเสนอเนื้อหาและข้อเสนอที่เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย
- ใช้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้งานเพื่อปรับแต่งประสบการณ์ผู้ใช้
7. สร้าง Sense of Urgency
- ใช้ข้อความที่สร้างความเร่งด่วน เช่น “มีจำนวนจำกัด” “เหลือเวลาอีก 24 ชั่วโมง”
- แสดงนาฬิกานับถอยหลังสำหรับโปรโมชันพิเศษ
การวัดผล Conversion
1. Conversion Rate
คอนเวอร์ชัน เรท คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวนคอนเวอร์ชันกับจำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมด ซึ่งสามารถคำนวณได้จากการใช้สูตร :Conversion Rate = (จำนวน Conversion / จำนวนผู้เยี่ยมชมทั้งหมด) x 100ตัวอย่าง : หากมีผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ 1,000 คน และมีการซื้อสินค้า 50 ครั้ง อัตราคอนเวอร์ชัน จะเท่ากับ (50 / 1,000) x 100 = 5%
2. Cost Per Conversion (CPC)
CPC คือต้นทุนเฉลี่ยต่อการเกิด คอนเวอร์ชันหนึ่งครั้ง คำนวณได้จากสูตรCPC = งบประมาณทั้งหมด / จำนวน Conversionตัวอย่าง : หากใช้งบประมาณโฆษณา 10,000 บาท และได้ Conversion 100 ครั้ง CPC จะเท่ากับ 10,000 / 100 = 100 บาทต่อ Conversion
3. Return on Investment (ROI)
ROI คืออัตราผลตอบแทนจากการลงทุน คำนวณได้จากสูตรROI = ((รายได้ – ต้นทุน) / ต้นทุน) x 100ตัวอย่าง : หากลงทุนในแคมเปญการตลาด 50,000 บาท และสร้างรายได้ 100,000 บาท ROI จะเท่ากับ ((100,000 – 50,000) / 50,000) x 100 = 100%
4. Average Order Value (AOV)
AOV คือมูลค่าเฉลี่ยต่อคำสั่งซื้อ คำนวณได้จากสูตรAOV = รายได้ทั้งหมด / จำนวนคำสั่งซื้อตัวอย่าง: หากมีรายได้ทั้งหมด 100,000 บาท จากคำสั่งซื้อ 200 รายการ AOV จะเท่ากับ 100,000 / 200 = 500 บาทต่อคำสั่งซื้อ
สรุป
Conversion ถือเป็นหัวใจสำคัญของการตลาดดิจิทัลที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถวัดผลและปรับปรุงประสิทธิภาพของกลยุทธ์การตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การเข้าใจประเภทของคอนเวอร์ชัน ตลอดจน ประโยชน์ และวิธีการเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชันจะช่วยให้คุณสามารถพัฒนากลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ นำไปสู่การเพิ่มยอดขายและสร้างความสำเร็จให้กับธุรกิจในระยะยาวอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว คุณต้องการเพิ่มอัตราคอนเวอร์ชันให้กับธุรกิจของคุณหรือไม่? ติดต่อทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดดิจิทัลของ Talka วันนี้ เพื่อรับคำปรึกษาฟรีและเริ่มต้นพัฒนากลยุทธ์ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดดได้เลยครับ!