Podcast Marketing – ในอดีต “บทความ SEO” ถือได้ว่าเป็นอาวุธลับของนักการตลาดในการดันเว็บไซต์ให้ติดหน้าแรก Google แต่ในวันนี้การมาถึงของ Google AI Overviews ทำให้แนวโน้มการค้นหาถูกเปลี่ยนจากการ “คลิกเข้าเว็บไซต์” เป็นการ “อ่านคำตอบทันที” บนหน้าแรก ซึ่งหมายความว่า “คอนเทนต์ SEO อาจไม่มีใครอ่านเลย” แม้จะอยู่อันดับหนึ่งก็ตาม
จึงเกิดคำถามสำคัญขึ้นว่า…ในวันที่บทความ SEO ถูกลดบทบาทลง หรือมีคนบางกลุ่มที่เชื่อว่า SEO ถึงคราวอวสานแล้ว แบรนด์ควรลงทุนกับคอนเทนต์แบบใด? ซึ่งหนึ่งในคำตอบที่มาแรง คือการใช้พอดแคสต์เป็นสื่อกลางในการสร้างแบรนด์ เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย และทำให้ผู้ฟังกลายเป็นผู้ติดตามอย่างยั่งยืน บทความนี้จะพาคุณไปรู้จัก Podcast Marketing อย่างลึกซึ้ง พร้อมวิเคราะห์ว่าเหตุใดมันถึงตอบโจทย์ยุคที่ SEO เริ่มถูกลดทอน และเราจะใช้มันสร้างแบรนด์หรือเพิ่ม Web Traffic ได้อย่างไรด้วยกลยุทธ์นี้
Podcast Marketing คืออะไร?

Podcast Marketing คือ การนำรายการเสียงหรือ “พอดแคสต์” (Podcast) มาใช้เป็นเครื่องมือหลักในการสื่อสารภาพลักษณ์ แสดงตัวตนของแบรนด์ และเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายในเชิงลึก โดยอาศัยรูปแบบของคอนเทนต์เสียงที่ผู้บริโภคสามารถฟังได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นขณะเดินทาง ทำงานบ้าน ออกกำลังกาย หรือช่วงเวลาพักผ่อน
พอดแคสต์ไม่ได้จำกัดแค่การ “ขายของ” แต่เป็นการนำเสนอเรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ หรือแนวคิดที่มีประโยชน์ต่อผู้ฟัง พร้อมแฝงจุดยืนของแบรนด์เอาไว้อย่างแนบเนียน ซึ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกว่าแบรนด์นั้น “เข้าใจ” เขามากกว่าการพูดผ่านโฆษณาโดยตรง นี่คือเหตุผลที่หลายแบรนด์ระดับโลกเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับพอดแคสต์มากขึ้น เพราะมันสามารถสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภคในระดับที่ “ลึกและยั่งยืนกว่า” สื่ออื่น ๆ
รูปแบบของ Podcast Marketing (Expanded)
โดยทั่วไปแล้วการตลาดพอดแคสต์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีข้อดีและกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. แบรนด์สร้างพอดแคสต์เอง (Owned Podcast)
เป็นการที่แบรนด์ผลิตรายการพอดแคสต์ขึ้นมาในชื่อของตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อ:
- สร้างช่องทางสื่อสารโดยตรงกับผู้ฟัง
- นำเสนอคุณค่าหรือแนวคิดของแบรนด์
- แสดงความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรม
- สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับกลุ่มเป้าหมาย
ตัวอย่าง: แบรนด์เทคโนโลยีอาจทำพอดแคสต์เล่าเรื่องนวัตกรรมใหม่ ๆ หรือแนวโน้มของอุตสาหกรรม เพื่อให้ผู้ฟังเห็นว่าแบรนด์นี้มีความรู้จริง และเป็นผู้นำความคิด (Thought Leader) ในวงการนั้น
ข้อดีของรูปแบบนี้ :
- ควบคุมทิศทางของเนื้อหาได้ 100%
- ใช้เป็นแพลตฟอร์มต่อเนื่องในการสร้าง Brand Loyalty
- ต่อยอดเป็นคอนเทนต์รูปแบบอื่นได้ เช่น บทความ คลิปสั้น โพสต์โซเชียล
ข้อจำกัด :
- ต้องใช้เวลาและทรัพยากรในการผลิต
- ต้องมีทีมที่มีความเข้าใจเรื่อง Content + Sound Production
2. การสปอนเซอร์รายการที่มีอยู่แล้ว (Sponsorship Model)
ในรูปแบบนี้ แบรนด์จะเข้าไปเป็น “ผู้สนับสนุน” รายการพอดแคสต์ที่มีผู้ติดตามอยู่แล้ว โดยอาจมีการ:
- ให้เงินสนับสนุนเพื่อแลกกับการกล่าวถึงแบรนด์ในรายการ
- ร่วมมือในการจัดทำตอนพิเศษ หรือซีรีส์เฉพาะ
- แสดงโลโก้/ลิงก์ของแบรนด์ในคำอธิบายตอน
ข้อดีของการสปอนเซอร์ :
- ประหยัดเวลา ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์
- เข้าถึงฐานผู้ฟังเดิมของพอดแคสเตอร์ทันที
- ได้รับความน่าเชื่อถือจากความสัมพันธ์ของพอดแคสเตอร์กับผู้ฟัง
เหมาะกับใคร?
- แบรนด์ที่ยังไม่มีทีมผลิตพอดแคสต์เป็นของตัวเอง
- ผู้ที่ต้องการทำแคมเปญระยะสั้นแบบ ROI ชัดเจน
- ธุรกิจที่ต้องการ “ทดสอบตลาด” ก่อนลงทุนสร้างรายการเอง
3. การลงโฆษณาในพอดแคสต์ (Podcast Advertising)
คล้ายกับการลงโฆษณาใน YouTube หรือวิทยุ โดยมีการแทรกโฆษณาไว้ในเนื้อหารายการในช่วงต่าง ๆ เช่น:
- Pre-roll : ก่อนเริ่มเนื้อหาหลัก
- Mid-roll : ระหว่างรายการ
- Post-roll : หลังจากจบเนื้อหาแล้ว
โฆษณาเหล่านี้อาจเป็นการพูดถึงแบรนด์สั้น ๆ อ่านสคริปต์ที่เตรียมมา หรือแม้แต่พอดแคสเตอร์ “พูดจากใจ” แบบรีวิว (ซึ่งได้ผลดีมาก)
จุดเด่นของการโฆษณาในพอดแคสต์ :
- คนฟังเชื่อถือเสียงของผู้ดำเนินรายการมากกว่าโฆษณาแบบกราฟิก
- ถ้าจัดวางถูกจังหวะ จะไม่รบกวนประสบการณ์การฟัง
- CPM (Cost per Mille) ของโฆษณาในพอดแคสต์มักสูงกว่า YouTube เพราะ Engagement สูง
ตัวอย่าง: โฆษณารองเท้ากีฬาแทรกอยู่ในพอดแคสต์แนวสุขภาพและฟิตเนส ซึ่งผู้ฟังมักเป็นคนออกกำลังกาย ทำให้ Conversion สูง สรุปภาพรวมการตลาดพอดแคสต์เป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้แบรนด์:
- สร้างตัวตนให้แตกต่างด้วย “เสียง”
- เจาะลึกความสัมพันธ์กับลูกค้าในระดับที่บทความและโฆษณาไม่สามารถทำได้
- สื่อสารแบบ Human-Centered มากขึ้น
- ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเริ่มต้นเอง หรืออาศัยเครือข่ายที่มีอยู่
ในวันที่โลกของการค้นหากำลังถูกเปลี่ยนแปลงด้วย AI และการเสิร์ชแบบ Zero-Click อย่าง AI Overviews การลงทุนใน Podcast ไม่ใช่แค่ “เทรนด์” แต่คือ “ทางเลือกที่ชาญฉลาด” สำหรับแบรนด์ที่ต้องการสร้างการจดจำและความเชื่อมั่นระยะยาว
ทำไม Podcast จึงน่าลงทุนในยุคนี้

ทำไม Podcast จึงน่าลงทุนในยุคนี้
ในยุคที่การเสพคอนเทนต์เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้น นักการตลาดไม่สามารถหวังพึ่งเพียงบทความ SEO หรือโฆษณาแบบเดิมอีกต่อไป ช่องทางที่ตอบโจทย์ทั้ง “การเข้าถึง” และ “ความสัมพันธ์” อย่างลึกซึ้งจึงกลายเป็นสิ่งจำเป็น และ Podcast คือหนึ่งในเครื่องมือที่ตอบโจทย์นั้นได้ดีที่สุดในยุคนี้ต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญ 3 ข้อที่ว่า ทำไม Podcast ถึงควรเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักที่แบรนด์ควรลงทุน
1. ผู้ฟังมี Engagement สูงกว่าสื่ออื่น
พอดแคสต์ไม่ใช่คอนเทนต์ที่ถูกกดเข้าไปดูเพียงไม่กี่วินาทีแล้วปิดทิ้งเหมือนโฆษณาบน YouTube หรือเลื่อนผ่านแบบ Reels หรือ TikTok แต่เป็น คอนเทนต์ที่ผู้ฟัง “เลือก” แล้วว่าจะฟังอย่างตั้งใจ และใช้เวลาร่วมกับมันนานกว่าคอนเทนต์แบบอื่น ๆ งานวิจัยจาก Edison Research พบว่า ผู้ฟัง Podcast โดยเฉลี่ยจะฟังเนื้อหาเกิน 70-80% ของความยาวตอน นั่นหมายถึงถ้าตอนหนึ่งยาว 30 นาที ผู้ฟังจะอยู่กับคุณประมาณ 21-24 นาที ซึ่งความยาวขนาดนี้ช่วยให้แบรนด์สามารถ:
- ถ่ายทอดสารได้ลึกกว่าป้ายโฆษณาหรือแบนเนอร์
- สร้างภาพจำให้ผู้ฟังจดจำแบรนด์ในเชิงคุณค่า (Brand Value)
- เสริมความน่าเชื่อถือและความเชื่อมั่นผ่านน้ำเสียงและเนื้อหา
นอกจากนี้ ผู้ฟังมัก “เลือกฟัง” รายการที่ตรงกับความสนใจ เช่น พอดแคสต์เรื่องสุขภาพ การเงิน ธุรกิจ การพัฒนาตนเอง ฯลฯ นั่นหมายความว่า
- ผู้ฟังมีคุณภาพ (High-intent Audience)
- แบรนด์สามารถ “เข้าไปอยู่ในความสนใจ” ได้โดยไม่ต้องยัดเยียด
- คุณไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาแพงๆ เพื่อเข้าถึงคนที่อาจไม่สนใจเลย
2. พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน: ยุคของการฟังระหว่างทำอย่างอื่น
ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้ “ตั้งใจ” เสพคอนเทนต์เหมือนเดิมอีกต่อไป เพราะชีวิตเรายุ่งและต้องทำหลายอย่างพร้อมกัน การอ่านบทความต้องใช้สายตา การดูวิดีโอต้องใช้สมาธิเต็มที่ แต่พอดแคสต์เป็นคอนเทนต์ที่ฟังได้แม้มือจะไม่ว่าง และตาไม่ว่าง
ตัวอย่างพฤติกรรมยอดนิยม:
- ฟังพอดแคสต์ระหว่าง ขับรถ
- ฟังขณะ วิ่งออกกำลังกาย
- ฟังตอน ล้างจาน ทำความสะอาด
- ฟังระหว่าง เดินทางในรถไฟฟ้า
- บางคนฟังแทนเพลงก่อนนอนเพื่อ “เติมความรู้”
สิ่งเหล่านี้ทำให้ Podcast กลายเป็น “คอนเทนต์แฝงตัวในชีวิตประจำวัน” ได้อย่างแนบเนียน และยัง ใช้เวลาที่เสียเปล่า (Dead Time) ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ซึ่งสื่ออื่นทำไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ช่องว่างทางเวลาเหล่านี้ยังไม่มีการแข่งขันสูงเท่าสื่อภาพและตัวอักษร
- บทความต้องแย่งกันติดอันดับ Google
- คลิปวิดีโอต้องแข่งกับล้านคอนเทนต์ใน Feed
- แต่พอดแคสต์…มีพื้นที่เหลือเฟือ และคนพร้อมจะฟัง
3. Google และ AI ยังไม่ตีความ Podcast เป็นคำตอบทันที
ในยุคที่ Google พัฒนา AI Overviews มาแทนที่บทความ SEO ด้วยการแสดง “คำตอบทันที” บนหน้าแรกของผลการค้นหา เว็บไซต์จำนวนมากจึงประสบปัญหาว่า แม้คอนเทนต์จะติดอันดับดี แต่กลับไม่ได้คลิกหรือทราฟฟิกจริงอย่างไรก็ตาม…Podcast ยังไม่ถูกดึงมาเป็นคำตอบใน AI Overview ได้ง่าย ๆ เพราะ Podcast เป็น “ข้อมูลเสียง” ที่ AI ยังวิเคราะห์เชิงลึกได้ไม่ดีพอเท่าบทความหรือข้อมูลแบบ Text ดังนั้น Podcast จึงยังมีความเป็นมนุษย์ (Human Touch) ที่ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ทันที นอกจากนี้ ยังมีประเด็นสำคัญอีก 2 ข้อ คือ
- Google ยังไม่สามารถสรุปสาระสำคัญของ Podcast ได้แม่นยำเท่าบทความ
- Podcast ไม่ใช่ Zero-click Content เนื่องจากคนต้อง “คลิกเข้าไปฟัง” เอง
จึงเท่ากับว่า Podcast ยังคงมีโอกาสถูก “เข้าถึงจริง” มากกว่าบทความ SEO ที่อาจถูกอ่านเพียงแค่ประโยคเดียวจาก AI Overview แล้วปิดทิ้งสรุป: ทำไมต้องรีบคว้าโอกาสจาก Podcast ตอนนี้
- คนฟังพร้อมจะฟังนาน และฟังอย่างตั้งใจ
- มีช่วงเวลาหลากหลายที่ Podcast เข้าถึงได้ โดยไม่ต้องแย่งกับสื่ออื่น
- เป็นพื้นที่ที่ยังไม่ถูก AI ครอบงำ จึง “สร้างตัวตนของแบรนด์” ได้เต็มที่
- เป็นสื่อที่เหมาะกับการสร้าง Trust และ Relationship มากกว่าโฆษณา
- และที่สำคัญ…Podcast ยังไม่อิ่มตัวในตลาดไทย ที่ใครเริ่มก่อน ย่อมได้เปรียบ!
ประโยชน์ของ Podcast Marketing ต่อการสร้างแบรนด์

ในยุคที่การตลาดดิจิทัลเปลี่ยนแปลงเร็วพอ ๆ กับพฤติกรรมของผู้บริโภค แบรนด์ต่างๆ ต่างมองหาวิธีสื่อสารที่ “เข้าถึงใจ” มากกว่าแค่ “เข้าถึงตา” ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจคือ ผู้คนในปัจจุบันไม่ได้แค่ดูหรืออ่านคอนเทนต์ แต่ยัง “ฟัง” อย่างตั้งใจมากขึ้นกว่าเดิม นั่นทำให้การตลาดพอดแคสต์กลายเป็นเครื่องมือทรงพลังในการสร้างแบรนด์ยุคใหม่
เสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์และความจริงใจของผู้ดำเนินรายการ ช่วยพาแบรนด์เข้าไปอยู่ในพื้นที่ส่วนตัวของผู้ฟัง ไม่ว่าจะระหว่างขับรถ เดินทาง หรือแม้แต่ก่อนนอน Podcast จึงไม่ใช่แค่คอนเทนต์ แต่เป็นประสบการณ์ที่ผู้บริโภคมีร่วมกับแบรนด์ในแบบที่สื่ออื่นไม่สามารถทำได้ เราจะมาเจาะลึกว่า Podcast Marketing มีประโยชน์ต่อการสร้างแบรนด์อย่างไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง เจาะกลุ่มเฉพาะได้อย่างแม่นยำ หรือทำให้แบรนด์ติดอยู่ในใจผู้ฟังแบบไม่รู้ตัว ถ้าคุณกำลังมองหาวิธีสื่อสารใหม่ที่สร้าง Impact ในระยะยาว ต่อไปนี้คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม
1. สร้างความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับผู้ฟัง (Deep Connection & Emotional Bonding)
เสียงไม่ใช่แค่การสื่อสาร แต่เป็นประตูสู่ “ความรู้สึก” ของมนุษย์ การสื่อสารผ่านพอดแคสต์ทำให้ผู้ฟังรับรู้ “ตัวตน” ของแบรนด์ผ่านน้ำเสียง จังหวะการพูด และสำนวนเฉพาะตัวของผู้ดำเนินรายการ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถถ่ายทอดได้ด้วยข้อความหรือภาพนิ่ง
ลองจินตนาการ:
- คุณฟังรายการพอดแคสต์ของแบรนด์กาแฟที่คุณชอบเป็นประจำทุกเช้า
- เสียงของผู้ดำเนินรายการพูดถึงเรื่องกาแฟ ความอบอุ่น ความผ่อนคลายในช่วงเช้า
- คุณเริ่มรู้สึกว่าเสียงนี้คุ้นเคย เหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่ด้วยทุกวัน
สิ่งนี้ทำให้แบรนด์ไม่ได้เป็นแค่ “ผู้ขาย” แต่กลายเป็น “ผู้เล่าเรื่อง” ที่ผู้ฟังรู้สึกผูกพัน รู้จักตัวตน และไว้วางใจโดยไม่รู้ตัว
ผลลัพธ์: ความสัมพันธ์ในระดับ “อารมณ์” นี้ทำให้แบรนด์ได้เปรียบในการแข่งขันระยะยาว เพราะผู้คนมักจดจำสิ่งที่รู้สึกดี มากกว่าสิ่งที่เห็นผ่านตาแค่ครั้งเดียว
2. เจาะกลุ่ม Niche Market ได้อย่างแม่นยำและประสิทธิภาพสูง
หนึ่งในจุดแข็งที่สุดของ การตลาดพอดแคสต์ คือ “การเข้าถึงกลุ่มเฉพาะ” หรือ Niche Audience ได้โดยไม่ต้องพึ่งงบโฆษณาจำนวนมาก
ตัวอย่าง:
- ถ้าแบรนด์ของคุณขายเครื่องดนตรีประเภทกีตาร์
- คุณสามารถสร้างพอดแคสต์ชื่อ “Guitar Talk” พูดถึงเทคนิคการเล่น รีวิวอุปกรณ์ หรือสัมภาษณ์นักดนตรี
- คนที่ฟังรายการนี้มีแนวโน้มสูงมากที่จะเป็นกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
แทนที่คุณจะยิงแอดหว่านไปทั่ว ซึ่งอาจเข้าถึงทั้งคนที่ไม่สนใจกีตาร์เลย การทำพอดแคสต์ช่วยให้คุณ “พูดกับคนที่ใช่” ตั้งแต่ต้น
ข้อดีเพิ่มเติม: กลุ่ม Niche มักมีพฤติกรรม “จงรักภักดี” สูง พวกเขาจะติดตามและแชร์คอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจลึกๆ ของตนเองอย่างต่อเนื่อง
3. เพิ่ม Top-of-Mind ในระยะยาว
Top-of-Mind คือการที่ “ชื่อแบรนด์ของคุณ” คือสิ่งแรกที่ผู้บริโภคนึกถึงเมื่อพูดถึงสินค้าหรือบริการประเภทนั้นการสร้าง Top-of-Mind ต้องใช้ “เวลา” และ “ความถี่” ในการสื่อสาร และพอดแคสต์คือเครื่องมือที่ตอบโจทย์สิ่งนี้แบบธรรมชาติ
- พอดแคสต์ส่วนใหญ่มาในรูปแบบรายสัปดาห์ หรือบางรายการออกอากาศทุกวัน
- ผู้ฟังจะกลับมาฟังซ้ำ ๆ โดยเฉพาะถ้ารายการมีเนื้อหาน่าสนใจ สร้างแรงบันดาลใจ หรือให้ความรู้
เมื่อฟังไปนานเข้า ชื่อแบรนด์ โลโก้ หรือแม้แต่เสียงของผู้ดำเนินรายการ ก็จะฝังอยู่ในจิตใจของผู้ฟังโดยไม่รู้ตัวลองเปรียบเทียบกับการเห็นโฆษณาบน YouTube แค่ 5 วินาที ซึ่งส่วนใหญ่คนจะกด Skip — คุณจะเห็นว่า Podcast ได้เวลาคุณภาพมากกว่าหลายเท่า
เสริมความเข้าใจ: ในทางจิตวิทยาการตลาด การรับฟังด้วยความสมัครใจ (Voluntary Listening) ทำให้สมองเปิดรับแบรนด์ได้มากกว่าการถูกบังคับให้เห็นหรือได้ยิน (เช่น โฆษณาคั่นวิดีโอ)
สรุปแล้ว การตลาดพอดแคสต์ ไม่ใช่แค่การทำคอนเทนต์เพิ่มอีกช่องทางหนึ่ง แต่เป็น “การวางรากฐานความสัมพันธ์” ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคในระดับที่ลึกกว่าการตลาดแบบเดิม ๆ
ประโยชน์ | อธิบายแบบเข้าใจง่าย |
---|---|
สร้างความสัมพันธ์ | ผู้ฟังรู้สึกเหมือนรู้จักแบรนด์ในระดับ “มนุษย์” ไม่ใช่แค่แบรนด์ |
เจาะ Niche Market | พูดตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจเฉพาะทาง |
เพิ่มการจดจำ | สื่อสารซ้ำทุกสัปดาห์ ทำให้แบรนด์ “ติดหู” และ “ติดใจ” |
Podcast Marketing ช่วยเพิ่ม Web Traffic ได้อย่างไร

1. ใส่ Call-to-Action ที่มีเป้าหมายชัดเจน
Podcast ที่ดีไม่ใช่แค่เล่าเรื่อง แต่ต้อง “พาไปต่อ” นั่นคือพาผู้ฟังไปยังหน้าเว็บไซต์เพื่อทำบางสิ่งบางอย่าง เช่น อ่านบทความ กรอกแบบฟอร์ม ดาวน์โหลดของฟรี หรือดูสินค้าเพิ่มเติม
- อย่ารอถึงตอนจบค่อยพูดถึง CTA เพราะผู้ฟังบางคนอาจฟังไม่จบ ควร “แทรก” CTA อย่างเป็นธรรมชาติระหว่างเนื้อหา
- ใช้คำพูดที่กระตุ้นให้เกิดภาพ เช่น
“คุณสามารถเข้าไปดู Checklist ที่เราพูดถึงตอนต้นได้ที่ [เว็บไซต์]/checklist ตอนนี้เลยครับ”“ลองดูรูปของสินค้าที่เราเล่าถึงในเว็บได้นะ มีตัวอย่างครบเลย”
yourbrand.com/ep10
เพื่อให้ผู้ฟังจดจำได้ แม้ฟังผ่านอุปกรณ์ที่ไม่สามารถคลิกลิงก์ได้ทันที2. ทำ Show Notes ที่ไม่ใช่แค่สรุป แต่เป็น “แม่เหล็กดึงคลิก”
Show Notes หรือ “บทสรุปประจำตอน” ไม่ควรเป็นเพียงการแปะลิงก์ Spotify หรือบอกว่าในตอนนี้พูดอะไร แต่ต้องทำให้เป็น Landing Page ขนาดย่อมที่:
- มีหัวข้อ H1–H3 พร้อม Keyword เพื่อให้ Google เข้าใจและจัดอันดับ
- ใส่ข้อมูลที่ผู้ฟังอาจอยากกลับมาอ่าน เช่น ชื่อแขกรับเชิญ ประเด็นสำคัญ ทรัพยากรที่อ้างอิง
- ใส่ Internal Link ไปยังหน้าเพจที่เกี่ยวข้อง เช่น บริการของแบรนด์ หรือบล็อกอื่นที่เสริมเนื้อหา
ตัวอย่างจริง:Marie Forleo ใน Podcast “The Marie Forleo Podcast” ใช้ Show Notes เป็นบทความขนาดย่อม มี Highlight, Bullet Points, และลิงก์ไปยังผลิตภัณฑ์ออนไลน์ของเธอเต็มไปหมด
3. เปลี่ยน Podcast ให้เป็น SEO Asset
พอดแคสต์ที่ดีสามารถถูกรีไซเคิลให้กลายเป็นทรัพย์สิน SEO ได้หลายรูปแบบ:
ตัวอย่าง: Podcast ตอนเรื่อง “5 เทคนิคสร้างแบรนด์ให้ติดตลาด” → Blog: “5 เทคนิคสร้างแบรนด์ให้เป็น Top-of-Mind ที่คุณทำได้เลยวันนี้”
ตัวอย่างมืออาชีพ: Neil Patel มี Podcast ชื่อ Marketing School และหลายตอนถูกนำไปต่อยอดเป็นบทความ Blog + YouTube Video + Checklist
4. ใช้ Social Media ดัน Podcast + ลิงก์กลับเว็บไซต์
การโพสต์ Podcast บน Social Media ไม่ควรส่งตรงไป Spotify อย่างเดียว เพราะนั่นเท่ากับคุณ “เสียโอกาส” ในการเก็บ Traffic
- แชร์ตอน Podcast ผ่านหน้า Landing Page เฉพาะบนเว็บไซต์ แล้วฝัง Player จาก Spotify หรือ YouTube
- ใส่แคปชันที่บอกประโยชน์ชัด เช่น
“ฟังตอนเต็มพร้อมดูภาพประกอบและโหลดเอกสารฟรีได้ที่ yourbrand.com/ep24”
เพิ่ม Engagement: ใช้คลิปสั้นจาก Podcast (30–60 วินาที) พร้อมใส่คำบรรยาย (Subtitle) ดึงดูดคนให้คลิก “เข้าเว็บฟังต่อ”
5. ใช้ Podcast เป็นแหล่ง Lead Magnet เฉพาะกลุ่ม
Podcast เป็นเครื่องมือที่เหมาะมากกับการ แจกของฟรีเพื่อแลกอีเมล โดยเฉพาะเมื่อทำกับกลุ่ม Niche
- สร้างของแจกที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาตอนนั้น เช่น Template, Checklist, Guide หรือ E-book
- โปรโมตของแจกนี้เฉพาะใน Podcast เท่านั้น และให้ดาวน์โหลดได้จากหน้า Landing Page
ตัวอย่าง CTA:“เฉพาะผู้ฟัง Podcast เท่านั้น! โหลด eBook ฟรีเรื่อง [ชื่อ] ได้ที่ yourbrand.com/podcastbonus”
6. ทำ Email Automation จากผู้ฟัง Podcast
ถ้า Podcast มีของแจกหรือแบบฟอร์มสมัคร จะนำไปสู่การเก็บอีเมล แล้วคุณสามารถทำ Email Automation ต่อได้เลย เช่น:
- ส่งบทความที่เกี่ยวข้องกับตอนนั้น
- แนะนำตอน Podcast อื่นที่คล้ายกัน
- เสนอโปรโมชันที่ตรงกับพฤติกรรมผู้ฟัง
ยิ่งผู้ฟังเข้ามาจากหน้าเว็บมากเท่าไร Funnel ของคุณก็จะมีคุณภาพมากขึ้น
สรุป: Podcast คือเครื่องมือ Traffic และ Conversion ไม่แพ้ SEO หรือ Ads
Podcast ไม่ใช่แค่เครื่องมือเพื่อความบันเทิงหรือสร้างแบรนด์อย่างผิวเผิน แต่สามารถกลายเป็น ตัวขับเคลื่อนทราฟฟิกคุณภาพสูงสู่เว็บไซต์ ได้อย่างยั่งยืน หากใช้ร่วมกับกลยุทธ์ด้าน Content, SEO, Email และ Social Media
กลยุทธ์ | ผลที่เกิดขึ้น |
---|---|
ใส่ CTA ชัด | ผู้ฟังเข้าเว็บทันทีหลังฟัง |
ทำ Show Notes | SEO ดีขึ้น + เวลาอยู่บนเว็บเพิ่ม |
รีไซเคิลเป็น Blog | เพิ่ม Traffic แบบยั่งยืน |
แชร์ผ่านโซเชียล | คนรู้จักเว็บผ่านหลายช่องทาง |
แจกของเฉพาะ Podcast | เก็บ Leads แบบมีคุณภาพ |
หากต้องการเปลี่ยน Podcast ให้เป็น ระบบเพิ่มทราฟฟิกอย่างต่อเนื่อง ให้กับเว็บไซต์ของคุณ อย่ามองข้ามรายละเอียดเล็กน้อย เพราะทุกตอนสามารถกลายเป็นแหล่ง Conversion ที่ทรงพลังได้ หากคุณรู้วิธี “เชื่อมโยง” อย่างมีศิลปะและกลยุทธ์
สร้าง Podcast ยังไงให้ Google และ AI ชอบ

1. สร้าง “Show Notes” และสรุปประเด็นสำคัญในหน้าเว็บ
Google และ AI ไม่สามารถเข้าใจเสียงได้โดยตรง สิ่งที่พวกมันอ่านคือ “หน้าเว็บ” ที่แนบมากับ Podcast นั่นจึงทำให้ “Show Notes” หรือสรุปเนื้อหาแต่ละตอนบนเว็บไซต์ กลายเป็นจุดชี้เป็นชี้ตาย ว่าพอดแคสต์ของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาหรือไม่
เทคนิคที่ได้ผล:
- สรุปหัวข้อสำคัญในตอนอย่างเป็นลำดับ เช่น EP นี้พูดถึง 5 เรื่องอะไรบ้าง
- ใช้โครงสร้าง HTML ที่ถูกต้อง เช่น
<h2>
สำหรับชื่อหัวข้อ<p>
สำหรับเนื้อหา - ใส่ Keyword สำคัญที่เกี่ยวข้องกับตอนนั้น เพื่อให้ Google เข้าใจบริบท
ยิ่ง Show Notes มีเนื้อหาครบถ้วน ตรงกับสิ่งที่คนค้นหา Google ยิ่งให้ความสำคัญเช่น หากมีตอน Podcast ชื่อว่า “เทคนิคเพิ่มยอดขายบน TikTok” คำนี้ควรอยู่ใน Title, Description, URL และ H1 ของหน้า Show Notes ด้วย
2. แทรก FAQ ในแต่ละ EP เพื่อเพิ่มโอกาสติด AI Overview
นอกจากสรุปประเด็นแล้ว การเพิ่มส่วน “คำถามที่พบบ่อย” (FAQ) ลงใน Show Notes ยังเป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่ Google AI ชอบมาก เพราะมันสามารถดึงข้อความจาก FAQ ไปแสดงใน AI Overview ได้ทันที
วิธีการใช้:
- ใส่คำถาม–คำตอบที่เกี่ยวกับตอนนั้น เช่น TikTok ควรโพสต์เวลากี่โมงดีที่สุด? เวลาที่มีคนออนไลน์มากที่สุดคือ 19.00–21.00 น. โดยเฉพาะวันศุกร์ถึงอาทิตย์
- คำถามควรเป็นภาษาธรรมชาติ (Natural Language) คล้ายที่คนเสิร์ช เช่น “ยังไม่เคยทำ Podcast มาก่อน เริ่มยังไง?”
- ใช้
<details>
หรือ<section>
ที่เหมาะสม หรือใส่ FAQ Schema เพื่อเพิ่มโอกาสปรากฏใน SERP
Pro Tip: FAQ ช่วยให้ Google AI สรุปเนื้อหาพอดแคสต์ได้แม่นยำขึ้น เพราะเป็นการ “ป้อนคำตอบสำเร็จรูป” ให้โดยตรง
3. ใช้ Structured Data เพื่อให้ Google เข้าใจว่าเป็น Podcast
Google ไม่ได้ดูแค่เนื้อหาในหน้าเว็บเท่านั้น แต่ยังสนใจว่าเนื้อหานั้น เป็นประเภทไหน ด้วย ซึ่งเราสามารถบอกให้ Google รู้ได้ผ่านการใช้ Schema Markup หรือที่เรียกกันว่า “Structured Data”
Schema ที่ควรใช้:
PodcastEpisode
— สำหรับระบุข้อมูลของตอน เช่น ชื่อตอน, วันที่เผยแพร่, คำอธิบายAudioObject
— สำหรับบอกว่าไฟล์เสียงอยู่ที่ไหน ความยาวเท่าไหร่ มีไฟล์สำรองหรือไม่BreadcrumbList
— เพื่อให้แสดง Navigation Path ของแต่ละตอนได้
ประโยชน์ที่ได้:
- Google เข้าใจได้ทันทีว่าเนื้อหานี้เป็น Podcast และตอนที่เท่าไหร่
- มีโอกาสแสดงในรูปแบบ Rich Results เช่น ช่องเล่นเสียงตรงในหน้าผลการค้นหา
- เพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บในสายตา Search Engine
สามารถสร้าง Schema ได้ง่าย ๆ ด้วยเครื่องมือของ Google เช่น Structured Data Markup Helper
4. ทำคลิปสั้นตัดตอน + ใส่ Transcript เพื่อเพิ่มการเข้าถึงแบบ Cross-Platform
Podcast ที่อยู่ในรูปแบบ “เสียงล้วน” อาจจำกัดกลุ่มเป้าหมาย แต่ถ้าคุณนำเนื้อหานั้นไป ตัดเป็นคลิปสั้น แล้วใส่คำบรรยาย (Transcript) จะช่วยเพิ่มโอกาสในการเผยแพร่ผ่านแพลตฟอร์มอื่น เช่น Facebook, YouTube, TikTok ได้ทันที
วิธีการทำให้ได้ผล:
- เลือกประโยคเด็ดหรือช่วงที่น่าสนใจ แล้วตัดออกเป็นคลิป 30–60 วินาที
- ใส่คำบรรยายบนคลิปเพื่อให้คนดูเข้าใจ แม้ไม่เปิดเสียง
- ในคำบรรยายใต้คลิป (Caption) หรือ Comment ปักหมุด ให้ใส่ลิงก์ไปยังหน้า Show Notes
ตัวอย่างคำบรรยาย:“ดูคลิปเต็มได้ที่ yourbrand.com/podcast/ep10 พร้อมโหลดสรุปตอนนี้ฟรี!”
ข้อดี:
- ช่วยให้ Podcast เข้าถึงคนที่ไม่เคยฟัง Podcast มาก่อน
- เพิ่ม Backlink และ Web Traffic จาก Social Media กลับมาสู่เว็บไซต์
- Transcript ยังสามารถใช้เสริม SEO ได้ในหน้าเว็บหลักของตอนนั้น
5. เสริมด้วย Title และ Meta Description ที่ “ทั้ง SEO และมนุษย์ชอบ”
แม้ Podcast จะดีแค่ไหน แต่ถ้าชื่อเรื่องไม่โดดเด่น ก็อาจไม่ถูกคลิก ทั้งจากผู้ใช้และ AI
เทคนิคตั้งชื่อ Podcast + Meta:
- ใส่ Keyword ที่มีการค้นหาจริง เช่น “สอนยิงแอด Facebook” แทน “คุยเรื่องโฆษณา”
- ใช้ Format แบบ “How-to”, “5 วิธี”, “คำตอบที่คุณอยากรู้” จะดึงดูดมากขึ้น
- Meta Description ควรบอกว่ามีอะไรในตอน เช่น
“Podcast ตอนนี้จะพาคุณเข้าใจ 3 เทคนิคยิงแอดให้ยอดขายพุ่ง พร้อมตัวอย่างจริง”
ยิ่ง Meta และ Title ตรงกับคำค้นของผู้ใช้ Google AI ยิ่งดึงบทสรุปของคุณไปใช้ใน AI Overview
สรุป: Podcast ที่ดี ไม่ใช่แค่ “เล่าเก่ง” แต่ต้อง “เข้าใจระบบของ Google ด้วย”
การสร้าง Podcast ให้ประสบความสำเร็จในมุม SEO และ AI ไม่ได้อาศัยเพียงเนื้อหาที่ดี แต่ต้องเสริมด้วย “โครงสร้างหน้าเว็บ” ที่เหมาะสมตามหลักเทคนิค SEO, Schema, และ UX
กลยุทธ์ | ประโยชน์ต่อ AI & SEO |
---|---|
Show Notes ครอบคลุม | AI เข้าใจเนื้อหาและเลือกไปแสดงใน AI Overview ได้ |
ใส่ FAQ | เพิ่มโอกาสติด Featured Snippet |
Structured Data | บอกให้ Google รู้ว่าคือ Podcast โดยตรง |
คลิปเสียงตัดตอน + Transcript | เพิ่มการเข้าถึงจากหลายช่องทาง |
Title + Meta ที่ดี | เพิ่ม CTR และอันดับใน Google |
หากคุณเริ่มทำ Podcast แล้ว และอยากให้แต่ละตอน “มีชีวิตใน SEO” ได้เหมือนบทความ เทคนิคข้างต้นคือเครื่องมือที่คุณควรใช้ตั้งแต่ตอนแรก อย่ารอให้ Podcast ดังแล้วค่อยทำ SEO เพราะ AI Overview กำลังเปลี่ยนเกมตั้งแต่วันนี้แล้ว!
บทความแนะนำ