Zero-Click Marketing คืออะไร? อยากรู้อะไร ไม่ต้องคลิก ได้คำตอบเลยทันที!

Zero-Click Marketing

Zero-Click Marketing – ในยุคที่ผู้คนต้องการคำตอบของคำถามอย่างรวดเร็ว อยากรู้อะไรแค่เข้า Google แล้วพิมพ์ถามเพียงไม่กี่คำก็มีคำตอบที่ต้องการปรากฎขึ้นให้อ่านทันทีโดยไม่จำเป็นต้องคลิกเข้าไปหาคำตอบจากที่ไหนให้เสียเวลา สิ่งนี้เรียกว่า”การตลาดแบบไม่ต้องคลิก” ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์การตลาดที่น่าจับตาในปี 2025 ว่าเมื่อผู้คนได้คำตอบเร็วขึ้น คลิกน้อยลง จะเกิดอะไรขึ้นในโลกของธุรกิจและการตลาด เรียกได้ว่ามีเรื่องท้าทายให้ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องคอยปรับตัวให้ทันเทรนด์อยู่ตลอด ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องนี้กันในหลากหลายประเด็นที่น่าสนใจครับ  

Zero-Click Marketing คืออะไร?

Zero-Click Marketing คืออะไร?

ทำความเข้าใจ Zero-Click Marketing คืออะไร?

Zero-Click Marketing คือ กลยุทธ์ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบริการได้ทันที โดยไม่ต้องคลิกไปยังเว็บไซต์หรือแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การแสดงผลข้อมูลในหน้าผลการค้นหาของ Google ที่ให้คำตอบทันทีโดยไม่ต้องคลิกเข้าไปยังเว็บไซต์ต้นทาง แนวทางนี้ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยากและทำให้ผู้บริโภคสามารถได้รับข้อมูลที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

 
แนวคิดของการตลาดแบบไม่ต้องคลิกมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบัน เนื่องจากพฤติกรรมการค้นหาของผู้คนที่เปลี่ยนแปลงไป เมื่อไม่นานมานี้ SparkToro แพลตฟอร์มวิจัยเทรนด์ชื่อดัง ได้เผยแพร่ผลการวิจัยว่า การค้นหาเกือบ 60% นั้นสิ้นสุดลงโดยที่ผู้ใช้ไม่ได้คลิกลิงก์ใดๆ เลย นี่คือเหตุผลที่ การตลาดแบบ Zero-Click เน้นไปที่การให้ข้อมูลที่สำคัญและคำตอบที่ผู้ใช้ต้องการได้ทันทีในหน้าผลการค้นหา เช่น การแสดงผล Rich Snippet หรือข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการโดยตรงในหน้า Google Search
 
คงไม่ผิดนักหากเราจะพูดว่า การตลาดแบบไม่ต้องคลิกนั้นเป็นกลยุทธ์ที่เหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่ต้องการข้อมูลที่ตรงประเด็นด้วยวิธีที่สะดวกรวดเร็ว ซึ่งในท้ายที่สุด การปรับตัวให้ทันเทรนด์นี้ จะช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้อย่างแข็งแกร่ง

หลักการของ Zero-Click Marketing

หลักการของ Zero-Click Marketing
Zero-Click Marketing มีหลักการสำคัญ คือ การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและให้ข้อมูลครบถ้วนภายในแพลตฟอร์มเดียว เพื่อให้ผู้ใช้งานไม่ต้องคลิกไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม แนวคิดนี้มีต้นกำเนิดจาก Amanda Natividad รองประธานฝ่ายการตลาดของบริษัท SparkToro ที่สังเกตว่า Google พยายามรักษาผู้ใช้ให้อยู่บนแพลตฟอร์มของตัวเอง โดยการแสดงคำตอบที่สั้นกระชับและตรงประเด็นบนหน้าผลการค้นหาโดยตรงนั่นเอง ซึ่งหลักการและแนวคิดของการตลาดแบบ Zero-Click ที่สำคัญ ประกอบด้วย
 

1. Zero-Click Content

การสร้างเนื้อหาที่มีคุณภาพและตอบคำถามของผู้ใช้ได้อย่างครบถ้วนบนแพลตฟอร์มเดียว ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องคลิกเพื่ออ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากที่อื่น ตัวอย่างเช่น หากแบรนด์จัดทำคอนเทนต์ให้ความรู้เรื่อง “เสื้อผ้าผู้หญิงในฤดูร้อน” บน Facebook Page ข้อมูลควรรวบรวมทุกแง่มุมที่ผู้ใช้งานอยากรู้ไว้ในโพสต์เดียวโดยไม่ต้องแนบลิงก์ไปยัง YouTube หรือเว็บไซต์อื่น ๆ เป็นต้น 

 

2. Customer Experience ที่ดี

การให้ข้อมูลที่ครบถ้วนและเข้าใจง่าย ช่วยลดความหงุดหงิดของผู้ใช้ที่ต้องคลิกไปยังหลายแหล่งข้อมูล การสร้างประสบการณ์ที่ราบรื่นและน่าพึงพอใจให้กับลูกค้าโดยการให้ข้อมูลที่ต้องการอย่างครบถ้วนและรวดเร็วภายในแพลตฟอร์มเดียวโดยที่ผู้ใช้งานไม่จำเป็นต้องคลิกไปยังเว็บไซต์อื่นๆ เพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติม ถือเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในยุคที่ต้องการความรวดเร็วและสะดวกสบาย ทำให้พวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ต้องการได้อย่างง่ายดายซึ่งถือเป็นประสบการณ์ดีๆ ที่พวกเขาได้รับจากแบรนด์

 

3. ภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพ

การนำเสนอข้อมูลเชิงลึกในบทความหรือวิดีโอขนาดยาว ที่แสดงให้เห็นว่าแบรนด์มีความเชี่ยวชาญและสามารถเรียบเรียงเนื้อหาที่ซับซ้อนให้เข้าใจง่ายได้ ทำให้ผู้บริโภคมองว่าแบรนด์เป็นผู้เชี่ยวชาญ การสร้างภาพลักษณ์นี้ มีความสำคัญเนื่องจากช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ และความไว้วางใจจากผู้บริโภค การทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อย่างครบถ้วนภายในแพลตฟอร์มเดียวจะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพให้กับแบรนด์ได้ นอกจากนี้ การใช้ภาพและเสียงที่คมชัดในคอนเทนต์ยังช่วยดึงดูดความสนใจ และสร้างความประทับใจให้กับผู้รับชมอีกด้วย การที่แบรนด์สามารถตอบคำถามและข้อสงสัยของผู้คนได้มาก จะยิ่งทำให้แบรนด์ได้รับความเชื่อถือมากยิ่งขึ้น ดังนั้น การสร้าง Zero-Click Content ที่มีคุณภาพและให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์จึงเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างภาพลักษณ์ความเป็นมืออาชีพให้กับแบรนด์

 

4. ความรวดเร็ว

ผู้บริโภคในยุคปัจจุบันต้องการความรวดเร็วในการเข้าถึงข้อมูล ดังนั้นการลดขั้นตอนในการค้นหาข้อมูลจึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งความสำเร็จนั้นอยู่ที่ความสามารถในการให้ข้อมูลหรือคำตอบที่ผู้ใช้ต้องการได้ทันที โดยไม่จำเป็นต้องมีการคลิกเพิ่มเติมเพื่อเข้าให้ถึงข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งเป็นการตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ต้องการข้อมูลอย่างรวดเร็วและสะดวกสบาย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Zero-Click Content สามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า 

 

5. การปรับแต่งเนื้อหา

การใช้ข้อมูลและพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อปรับแต่งเนื้อหาและข้อเสนอให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคล กล่าวคือ เป็นกระบวนการที่ธุรกิจหรือผู้สร้างเนื้อหาใช้เพื่อทำให้เนื้อหาของตนสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ค้นหาได้อย่างรวดเร็วและตรงประเด็น โดยไม่จำเป็นต้องให้ผู้ใช้คลิกเข้าไปที่เว็บไซต์เพื่อหาคำตอบเพิ่มเติม การปรับแต่งเนื้อหานี้มุ่งเน้นไปที่การสร้างข้อมูลที่มีคุณค่าและสามารถเข้าถึงได้ทันที เช่น การจัดเตรียมคำตอบที่ชัดเจนสำหรับคำถามที่พบบ่อย หรือการนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสมกับ SERP (Search Engine Results Page) เช่น Featured Snippets, Knowledge Panels, และ Quick Answers ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ได้รับข้อมูลที่ต้องการโดยไม่ต้องคลิกไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ

 

ประโยชน์ของ Zero-Click Marketing สำหรับธุรกิจ

ประโยชน์ของ Zero-Click Marketing
การใช้กลยุทธ์ Zero-Click Marketing มีข้อดีหลายประการที่ธุรกิจสามารถได้รับ ซึ่งรวมถึงการเพิ่มโอกาสในการปิดการขายและการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ดังนี้
 

1. เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย

การตลาดแบบ Zero-Click ช่วยลดขั้นตอนที่ซับซ้อนในกระบวนการซื้อ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลหรือบริการได้ทันที การลดขั้นตอนนี้ช่วยลดอัตราการละทิ้งรถเข็นในร้านค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นปัญหาที่พบบ่อยในธุรกิจอีคอมเมิร์ซ เมื่อผู้บริโภคสามารถทำธุรกรรมได้ง่ายและรวดเร็ว โอกาสในการปิดการขายก็จะสูงขึ้น

 

2. สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า

ลูกค้าในยุคดิจิทัลมีความต้องการที่สูงขึ้นในการเข้าถึงข้อมูลอย่างรวดเร็ว การตลาดแบบ Zero-Click ตอบสนองต่อความต้องการนี้โดยการนำเสนอข้อมูลที่จำเป็นในทันที เช่น การแสดงผลข้อมูลในหน้าค้นหาโดยไม่ต้องคลิกไปยังเว็บไซต์อื่น ความสะดวกสบายนี้ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งนำไปสู่ความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์

 

3. สร้างความแตกต่างในตลาด

ธุรกิจที่สามารถนำเสนอ Zero-Click Experience จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาดที่มีตัวเลือกมากมาย การมอบประสบการณ์ที่ไร้รอยต่อช่วยให้ธุรกิจโดดเด่นและเป็นที่จดจำในใจของผู้บริโภค

 

4. เชื่อมโยงกับพฤติกรรมการค้นหาที่เปลี่ยนแปลง

ผู้บริโภคมักใช้เครื่องมือค้นหาเพื่อหาข้อมูลอย่างรวดเร็ว การตลาดแบบ Zero-Click ช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองต่อพฤติกรรมนี้ได้ โดยการปรับปรุงเนื้อหาและข้อมูลให้เหมาะสมกับผลลัพธ์การค้นหา เช่น การใช้ Google My Business เพื่อแสดงข้อมูลร้านค้าโดยตรงในหน้าผลการค้นหา นอกจากนี้ ยังช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ที่กำลังค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ธุรกิจเสนอ ด้วยเหตุนี้ การตลาดแบบ Zero-Click จึงเป็นกลยุทธ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับธุรกิจในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าและเพิ่มยอดขายอย่างยั่งยืน

เทคนิคในการสร้างเนื้อหาแบบ Zero-Click

7 เทคนิค สร้างเนื้อหา Zero-Click

เทคนิคในการสร้างเนื้อหาแบบ Zero-Click นำเสนอวิธีการและกลยุทธ์ในการสร้างเนื้อหาที่ตอบโจทย์ Zero-Click เช่น การใช้ SEO ที่เหมาะสม การออกแบบเนื้อหาให้กระชับและตรงประเด็น เป็นต้น เพื่อให้เนื้อหาของคุณตอบโจทย์ Zero-Click และดึงดูดความสนใจของผู้ใช้งาน ต่อไปนี้คือเทคนิคและกลยุทธ์ที่คุณสามารถนำไปปรับใช้ได้ครั

1. สร้างเนื้อหาที่ชัดเจนและกระชับ

  • เน้นความชัดเจนและรัดกุม : หัวใจสำคัญของ Zero-Click Content คือการสื่อสารข้อความให้กระชับและชัดเจน ทุกคำที่ใช้ต้องมีจุดประสงค์และเพิ่มคุณค่าให้กับข้อความที่ต้องการสื่อ
  • หลีกเลี่ยงศัพท์เฉพาะ : ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะทางหรือคำที่ซับซ้อนที่อาจทำให้ผู้ชมสับสน
  • นำเสนอไอเดียเดียว : นำเสนอไอเดียที่สมบูรณ์และน่าสนใจเพียงหนึ่งเดียวใน 200 คำ หรือภายใน 2 นาที เพื่อให้ผู้ชมไม่รู้สึกว่าเนื้อหามากเกินไป
  • ใช้ Bullet Points และ Lists : ใช้สัญลักษณ์ Bullet หรือลำดับเลข เพื่อให้ข้อมูลเข้าใจง่ายเเละรวดเร็ว

2. เพิ่มความน่าสนใจด้วยภาพ

  • ใช้ภาพที่ดึงดูดสายตา : ภาพที่น่าสนใจหรือกราฟิกที่สะดุดตาช่วยให้เนื้อหาของคุณโดดเด่น
  • เลือกภาพที่เสริมข้อความ : เลือกภาพที่เข้ากับข้อความและช่วยเสริมให้ข้อความนั้นชัดเจนยิ่งขึ้น

3. สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์

  • ใช้เรื่องเล่า : ผสมผสานเรื่องราว ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้อง หรือสถานการณ์ที่กระตุ้นอารมณ์ เพื่อทำให้เนื้อหาน่าจดจำและน่าสนใจยิ่งขึ้น
  • กระตุ้นอารมณ์ : ไม่ว่าจะเป็นอารมณ์ขัน แรงบันดาลใจ หรือความอยากรู้อยากเห็น การกระตุ้นอารมณ์สามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมได้อย่างมาก

4. ใช้ Call-to-Action ที่เหมาะสม

  • กระตุ้นการมีส่วนร่วม : แม้ในเนื้อหา Zero-Click คุณยังสามารถเพิ่ม Call-to-Action (CTA) ที่กระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมได้
  • ใช้คำถามที่น่าสนใจ : ตั้งคำถามที่กระตุ้นความคิดหรือเชิญชวนให้แสดงความคิดเห็น

5. ปรับปรุง SEO ให้เหมาะสม

  • ใช้ Structured Data : ใช้ Markup Schema เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาของคุณเเละนำเสนอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ตอบคำถามที่พบบ่อย : สร้างส่วน FAQ เพื่อตอบคำถามที่ผู้คนมักค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสในการแสดงผลใน Featured Snippets

6. สร้าง Content ให้ตรงกับ Platform

  • เลือก Platform ที่เหมาะสม : ออกแบบเนื้อหาให้เหมาะสมกับ Platform ที่จะเเชร์ ไม่ว่าจะเป็น LinkedIn, Instagram หรือ X (Twitter)
  • ใช้ประโยชน์จาก Long-Form Content : ในบาง Platform อย่าง LinkedIn คุณสามารถสร้าง Post ที่เป็น Long-Form หรือเเชร์เป็น Carousel ได้

7. ปรับปรุงและแก้ไขเนื้อหาอย่างสม่ำเสมอ

  • แก้ไขเนื้อหาให้กระชับ : ตรวจสอบและแก้ไขเนื้อหาอย่างละเอียด เพื่อให้ทุกคำมีความหมายและไม่เยิ่นเย้อ
  • อัปเดตเนื้อหา : ตรวจสอบให้เเน่ใจว่าเนื้อหาทันสมัยเเละถูกต้องอยู่เสมอ

การผสมผสานเทคนิคทั้ง 7 ข้อ นี้ จะช่วยให้คุณสร้างเนื้อหา Zero-Click ที่มีประสิทธิภาพ ดึงดูดความสนใจ และสร้างการมีส่วนร่วมได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ความท้าทายของ Zero-Click Marketing

ความท้าายของ Zero-Click Marketing
การนำการตลาดแบบ Zero-Click มาใช้อาจสร้างความท้าทายหลายประการสำหรับธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิทัศน์ดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว Zero-Click มีความท้าทายได้เสมอ โดยเฉพาะกับธุรกิจที่นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ซับซ้อน และต้องการคำอธิบายเพิ่มเติม นอกจากนี้ในด้าน Cyber Security หรือ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ Zero-Click Attack คือ ภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นได้จากการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในซอฟต์แวร์เพื่อโจมตีอุปกรณ์โดยไม่จำเป็นต้องมีการปฏิสัมพันธ์จากผู้ใช้งานได้เช่นกัน อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้คือภาพรวมของอุปสรรคที่อาจต้องเผชิญ พร้อมทั้งกลยุทธ์สำคัญในการปรับตัวครับ
 

1. ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ลดลง

ความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่ง คือ ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ที่อาจลดลง เมื่อผู้ใช้ค้นหาคำตอบได้โดยตรงในหน้าผลการค้นหา (SERP) พวกเขาอาจไม่รู้สึกจำเป็นต้องคลิกผ่านไปยังเว็บไซต์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อปริมาณการเข้าชมโดยรวมและระดับการมีส่วนร่วม การเปลี่ยนแปลงนี้สามารถรบกวนช่องทางการแปลงแบบเดิมและส่งผลต่อยอดขายออนไลน์
 

2. การแข่งขันที่เพิ่มขึ้น

การเพิ่มขึ้นของเนื้อหาแบบ Zero-Click ทำให้การแข่งขันเพื่อการมองเห็นบน SERP ทวีความรุนแรงมากขึ้น ด้วยธุรกิจจำนวนมากที่แข่งขันกันเพื่อสไนเป็ตที่โดดเด่นและตำแหน่งที่โดดเด่นอื่นๆ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องปรับแต่งเนื้อหาอย่างพิถีพิถันเพื่อให้โดดเด่นท่ามกลางคำตอบทันทีมากมาย การแข่งขันที่เพิ่มขึ้นนี้อาจทำให้แบรนด์ต่างๆ ดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้ยาก
 

3. ปัญหาความเป็นเจ้าของเนื้อหา

เมื่อเครื่องมือค้นหาดึงข้อมูลจากเว็บไซต์ของธุรกิจเพื่อหาข้อมูลสั้นๆ หรือคำตอบ ผู้ใช้ก็อาจไม่มีโอกาสคลิกไปที่แหล่งที่มาเดิม ส่งผลให้การมองเห็นและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ลดลง กล่าวคือ การพึ่งพาแพลตฟอร์มของบุคคลที่สามอาจบั่นทอนการควบคุมที่ธุรกิจมีต่อเนื้อหาของตน
 

4. การวัดผลตอบแทนจากการลงทุน

เมตริกแบบดั้งเดิม เช่น อัตราการคลิก (CTR) กลายเป็นสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีการคลิกเลย ทำให้ต้องเปลี่ยนมาใช้แนวทางการวิเคราะห์แบบใหม่ เพื่อวัดประสิทธิภาพของเนื้อหาและการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ธุรกิจอาจประสบปัญหาในการวัดผลกระทบที่แท้จริงของความพยายามทางการตลาดโดยไม่มีตัวบ่งชี้ที่ชัดเจน
 

5. การปรับตัวให้เข้ากับอัลกอริทึมที่เปลี่ยนแปลงไป

 
การตลาดแบบไม่มีการคลิกเลยต้องการให้ธุรกิจคอยอัปเดตอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหาและการตั้งค่าของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไป การไม่ปรับตัวอย่างรวดเร็วอาจส่งผลให้เกิดกลยุทธ์ที่ล้าสมัยและไม่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายอีกต่อไป 

 

กลยุทธ์สำคัญ ในการปรับตัว

  •  ปรับเนื้อหาให้เหมาะกับ Featured Snippets
เพื่อเพิ่มการมองเห็นในการค้นหาแบบไม่ต้องคลิก ธุรกิจควรปรับแต่งเนื้อหาของตนเพื่อตอบคำถามทั่วไปอย่างกระชับ การใช้จุดหัวข้อ คำถามที่พบบ่อย และหัวข้อที่ชัดเจนสามารถเพิ่มโอกาสในการถูกนำเสนอในสไนปเป็ตได้
 
  • มุ่งเน้นที่การรับรู้แบรนด์
แม้ว่าผู้ใช้จะไม่คลิกผ่านไปยังเว็บไซต์ การจดจำแบรนด์ที่แข็งแกร่งก็มีความสำคัญ ธุรกิจควรแน่ใจว่าแบรนด์ของตนชัดเจนในเนื้อหาแบบไม่ต้องคลิก เพื่อให้ผู้ใช้เชื่อมโยงข้อมูลที่มีค่ากับแบรนด์ของตน
 
  • เปลี่ยนไปใช้ตัวชี้วัดการมีส่วนร่วม
แทนที่จะมุ่งเน้นเฉพาะที่ปริมาณการเข้าชมเว็บไซต์ ธุรกิจควรติดตามอัตราการมีส่วนร่วม การแปลง และคุณภาพของผู้มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้า แนวทางนี้ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของผู้ชมและประสิทธิภาพของความพยายามทางการตลาดในบริบทแบบไม่ต้องคลิกได้ดีขึ้น
 
  • ใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอื่น
การขยายการมีอยู่ให้เกินขอบเขตของเครื่องมือค้นหาเป็นสิ่งสำคัญ การใช้โซเชียลมีเดีย การตลาดทางอีเมล และแพลตฟอร์มวิดีโอช่วยให้ธุรกิจสามารถมีส่วนร่วมกับผู้ชมโดยตรงและเพิ่มปริมาณการเข้าชมผ่านช่องทางอื่นๆ
 
  • นำเนื้อหาวิดีโอมาใช้
การใส่รูปภาพ อินโฟกราฟิก และวิดีโอลงในเนื้อหาสามารถทำให้เนื้อหาน่าสนใจยิ่งขึ้นและเพิ่มโอกาสในการดึงดูดความสนใจของผู้ใช้ได้ทันที องค์ประกอบวิดีโอยังช่วยเพิ่มความเข้าใจและการเก็บรักษาข้อมูลได้อีกด้วย
 
  • ให้ความสำคัญกับการเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับอุปกรณ์พกพา
เนื่องจากผู้ใช้จำนวนมากเข้าถึงข้อมูลผ่านอุปกรณ์พกพา การทำให้แน่ใจว่าเนื้อหาแบบไม่ต้องคลิกได้รับการปรับให้เหมาะสมสำหรับประสบการณ์บนอุปกรณ์พกพาจึงมีความจำเป็นในการรักษาการมีส่วนร่วมของผู้ใช้
 
ด้วยการจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ด้วยการปรับเปลี่ยนเชิงกลยุทธ์ ธุรกิจต่างๆ สามารถรับมือกับความซับซ้อนของการตลาดแบบไม่ต้องคลิกได้อย่างมีประสิทธิภาพในขณะที่ยังคงสามารถแข่งขันได้ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *