ในโลกการตลาดยุคดิจิทัลที่ข้อมูลหลั่งไหลทุกวินาที แบรนด์ต่างๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคที่กำลังเลื่อนหน้าจออย่างรวดเร็ว หนึ่งในกลยุทธ์ที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “Curiosity Marketing” หรือการตลาดที่อาศัยพลังของ “ความสงสัย” มาเป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการคลิก อ่าน แชร์ หรือซื้อสินค้า ในบทความนี้ Talka จะพาคุณไปเข้าใจถึงนิยาม ประโยชน์ กลไก และวิธีใช้กลยุทธ์นี้อย่างได้ผล เพื่อให้คุณสามารถประยุกต์ใช้ได้กับธุรกิจของคุณ
Curiosity Marketing คืออะไร?

Curiosity Marketing คืออะไร?
Curiosity Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดที่ออกแบบเนื้อหา โฆษณา หรือแคมเปญให้กระตุ้นความสงสัยของผู้บริโภค ทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ต้องรู้ให้ได้” และจูงใจให้คลิก เปิดอ่าน หรือทำกิจกรรมต่อเนื่อง เช่น สมัครสมาชิก ดาวน์โหลด หรือซื้อสินค้า โดยใช้วิธีไม่เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดในทันที แต่ค่อยๆ เผยออกมา เพื่อดึงดูดความสนใจ
หัวใจของกลยุทธ์นี้คือ การ “ปิดบังบางส่วน” เพื่อกระตุ้นให้คนอยากรู้ การวางจังหวะเปิดเผยข้อมูลอย่างชาญฉลาด และ การใช้คำและภาพที่กระตุ้นอารมณ์สงสัย เช่น คำถาม ปริศนา ตัวเลขที่ไม่เฉลย เป็นต้น องค์ประกอบสำคัญของการทำการตลาด Curiosity ให้ได้ผล แม้ การตลาด Curiosity จะเป็นกลยุทธ์ที่ทรงพลัง แต่ต้องใช้ด้วยความเข้าใจและรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อแบรนด์ โดย 6 องค์ประกอบหลักที่ต้องมี สำหรับกลยุทธ์ Curiosity Marketing ได้แก่
- จุดเร้าอารมณ์ (Emotional Hook) – ใช้อารมณ์ เช่น ความกลัว ความสงสัย ความตื่นเต้น เป็นจุดเริ่มต้น
- การปิดบังอย่างชาญฉลาด (Strategic Omission) – ไม่ใช่การโกหก แต่เป็นการเลือก “ไม่บอกบางอย่าง” อย่างมีเจตนา เพื่อดึงให้คนอยากรู้ต่อ
- เนื้อหาที่มีคุณค่าจริง (Real Value Content) – เมื่อผู้บริโภคคลิกเข้ามา ต้องเจอกับเนื้อหาที่คุ้มค่ากับการรอ ไม่เช่นนั้นจะเกิดความรู้สึกว่าโดนหลอก
- โครงสร้างแบบ Cliffhanger – ใช้เทคนิคเดียวกับซีรีส์ คือ ตัดจบตรงจุดที่คนอยากรู้มากที่สุด และให้ติดตามตอนต่อไป
- ความสม่ำเสมอ (Consistency) – ต้องใช้กลยุทธ์นี้อย่างต่อเนื่องและพัฒนาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่แค่ใช้ครั้งเดียวแล้วจบ
- ใส่ CTA (Call to Action) ที่ชัดเจน – แม้จะสร้างความสงสัยได้แล้ว ต้องบอกคนว่า “จะรู้ได้อย่างไร” เช่น คลิกที่นี่ ดาวน์โหลดเลย หรือสมัครเลย
ทำไม Curiosity Marketing ถึงได้ผล?

Curiosity Marketing หรือการตลาดที่กระตุ้นความสงสัยอาจฟังดูเป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายไม่หวือหวาเหมือนแคมเปญไวรัลหรือโฆษณาแบบจัดเต็ม แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับน่าทึ่ง เพราะมันไม่ได้อิงแค่กลยุทธ์ทางการตลาดทั่วไปเท่านั้น หากยังเชื่อมโยงลึกไปถึง “กลไกทางจิตวิทยา” ของมนุษย์โดยตรงมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ “ไม่ชอบความไม่รู้” เราไม่สามารถวางใจได้จนกว่าจะได้รับคำตอบ นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อมีใครสักคนพูดว่า “เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทีหลัง” หรือมีพาดหัวคลุมเครือ อย่าง “5 สิ่งที่คุณยังไม่รู้เกี่ยวกับแบรนด์นี้!” เราจึงไม่อาจละสายตาได้ง่ายๆ กลยุทธ์การตลาด ที่ใช้ “ความสงสัย” เป็นตัวขับเคลื่อน จึงสามารถกระตุ้นให้คนหยุดดูคิดแล้วคลิก และมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้มากกว่าการสื่อสารแบบตรงๆ เสียอีก อย่างไรก็ตาม เรามาดู 4 เหตุผลสำคัญ ที่อธิบายว่าทำไมการใช้กลยุทธ์นี้ถึงได้ผลดีครับ
1. Zeigarnik Effect: มนุษย์จำสิ่งที่ยังไม่จบมากกว่าสิ่งที่จบแล้ว
หนึ่งในกลไกทางจิตวิทยาที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จของ การตลาด Curiosity คือ Zeigarnik Effect ซึ่งตั้งชื่อตามนักจิตวิทยาชาวรัสเซีย “Bluma Zeigarnik” โดยเธอค้นพบว่า “มนุษย์มีแนวโน้มที่จะจดจำงานที่ยังไม่เสร็จ หรือข้อมูลที่ยังไม่สมบูรณ์ มากกว่างานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว”ในทางการตลาด สิ่งนี้ถูกนำมาใช้ผ่านพาดหัวหรือภาพที่สร้าง “ช่องว่างของข้อมูล” (information gap) เช่น:
- “ลูกค้า 98% พอใจ…แต่เหตุผลที่ 2% ไม่พอใจนั้นน่าตกใจ!”
- “อย่าทำสิ่งนี้ถ้ายังไม่ได้อ่านโพสต์นี้ก่อน…”
เมื่อผู้บริโภคเห็นสิ่งเหล่านี้ สมองจะเกิดความรู้สึก “ค้างคา” ต้องการปิดวงจรให้สมบูรณ์ ส่งผลให้พวกเขาคลิก อ่านต่อ และเข้าสู่เส้นทางการมีส่วนร่วมกับแบรนด์
2. สร้าง Engagement ได้สูงขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ
เนื้อหาที่สร้างคำถาม เปิดช่องให้ถกเถียง หรือจงใจซ่อนบางส่วนของข้อมูล มักได้รับ การมีส่วนร่วม (Engagement) สูงกว่าคอนเทนต์ประเภทที่บอกทุกอย่างตรงๆ เพราะคนไม่เพียงแต่อยาก “รู้” แต่ยังอยาก “แชร์” และ “แสดงความคิดเห็น” ด้วยตัวอย่าง:
- แบรนด์เครื่องดื่มเปิดแคมเปญ “สูตรใหม่ที่ลูกค้า 1,000 คนแรกจะได้ลองก่อนใคร แต่ไม่บอกว่าเปลี่ยนอะไร”
- ครีเอเตอร์บน TikTok โพสต์วิดีโอที่ตัดจบกลางเรื่อง พร้อมแคปชั่นว่า “รอดู Part 2 พรุ่งนี้นะครับ…”
ทั้งสองตัวอย่างจะกระตุ้นให้คนตั้งตารอ มีส่วนร่วมกับคอมเมนต์ และกลับมาดูซ้ำ ทั้งหมดนี้ช่วยให้แบรนด์ได้ Reach + Engagement + Follower ไปพร้อมๆ กัน
3. เพิ่มเวลาที่ผู้บริโภคใช้กับแบรนด์ (Dwell Time)
อีกหนึ่งผลลัพธ์ที่มักถูกมองข้ามแต่มีความสำคัญมาก คือ Dwell Time หรือเวลาที่ผู้ใช้อยู่กับคอนเทนต์หรือแบรนด์นานขึ้น เมื่อคุณใช้ การตลาด Curiosity ที่ชาญฉลาด เช่น การวางปริศนา การแทรกข้อมูลบางส่วน หรือสร้างแคมเปญแบบ episodic content (เช่น ซีรีส์ใน TikTok, วิดีโอต่อเนื่อง) ผู้ชมจะต้องใช้เวลามากขึ้นในการดู อ่าน หรือค้นหาคำตอบตัวอย่าง:
- เว็บที่ขายผลิตภัณฑ์ดูแลผิว ลงบทความหัวข้อ “วิธีที่แพทย์ผิวหนังบอกว่าไม่ควรล้างหน้าแบบนี้…แต่นี่คือเหตุผล”
- ลูกค้าต้องอ่านย่อหน้าแรกๆ เพื่อเข้าใจว่า “แบบไหน?” แล้วถึงจะรู้ว่า “ทำไม?”
ยิ่งพวกเขาใช้เวลาอยู่กับเนื้อหาแบรนด์นานเท่าไหร่ โอกาสที่พวกเขาจะผูกพันกับแบรนด์ (Brand Affinity) และจำแบรนด์ได้ในระยะยาว ก็ยิ่งสูงขึ้นโดยอัตโนมัติ
4. โดดเด่นในยุคข้อมูลล้น – เพราะคุณไม่ได้บอกทุกอย่าง
ปัจจุบันผู้บริโภคเห็นคอนเทนต์นับร้อยนับพันชิ้นต่อวัน ข้อมูลมหาศาลถาโถมเข้ามาทุกนาที ทั้งในฟีด TikTok, Facebook, YouTube หรือแม้แต่ในอีเมล การตลาดแบบเดิมที่เน้นอธิบายทุกอย่างอย่างละเอียด กลับทำให้คอนเทนต์จมอยู่ในทะเลข้อมูล เพราะสมองของเรากรองข้อมูลที่ “ดูเหมือนรู้หมดแล้ว” ทิ้งไปโดยไม่รู้ตัวแต่ การตลาด Curiosity กลับทำตรงกันข้าม มันสร้าง “สิ่งที่ยังไม่บอก” เพื่อดึงดูดคนเข้ามาแทนยกตัวอย่างเช่น:
- แทนที่จะบอกว่า “สินค้าเราช่วยให้ผิวคุณขาวขึ้นใน 7 วัน”ให้เปลี่ยนเป็น “วิธีธรรมชาติที่ช่วยให้ผิวกระจ่างใสใน 7 วัน…โดยไม่ต้องใช้ครีมราคาแพง”ข้อความแบบนี้ชวนให้สงสัยว่า “มันคืออะไร?” จึงทำให้คนหยุดอ่าน
ความสงสัยไม่ใช่แค่จุดขาย แต่คือพลังที่เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ การตลาด Curiosity เป็นกลยุทธ์ที่ได้ผลไม่ใช่เพราะมันฉลาดเฉพาะทางการตลาดเท่านั้น แต่เพราะมันเข้าถึง “ธรรมชาติของสมองมนุษย์” ที่ถูกออกแบบมาให้ไล่ล่าความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ หากคุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้อย่างชาญฉลาด โดยการวางจังหวะของความสงสัยให้น่าค้นหา สร้างจุดค้างคาแบบพอเหมาะ และวางคำตอบไว้ในจุดที่ผู้บริโภคต้องมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ก่อนถึงจะได้คำตอบคุณจะสามารถเปลี่ยนแค่ “ความสงสัย” ให้กลายเป็น “ยอดขาย” ได้อย่างแท้จริง
ประโยชน์ของ Curiosity Marketing ต่อธุรกิจ

1. เพิ่มอัตราการคลิก (Click-Through Rate – CTR)
ทำไมผู้คนถึงคลิก? เพราะอยากรู้โฆษณาหรือเนื้อหาที่ออกแบบให้มีความลึกลับ ชวนให้สงสัย หรือทิ้งท้ายคำถามไว้โดยไม่เฉลย มักดึงดูดความสนใจของผู้ชมได้ดีกว่าโฆษณาที่เปิดเผยทุกอย่างในคราวเดียวตัวอย่างเช่น
- พาดหัวที่ว่า “เขาทำสิ่งนี้ทุกเช้า แล้วรายได้เพิ่มขึ้น 3 เท่าใน 30 วัน”ย่อมดึงดูดความสนใจได้มากกว่าการบอกว่า “เคล็ดลับเพิ่มรายได้ด้วยการตื่นเช้า”
จากผลวิจัยหลายฉบับพบว่า พาดหัวแบบกระตุ้นความสงสัย (curiosity-driven headlines) สามารถเพิ่ม CTR ได้มากถึง 30–60% เมื่อเทียบกับพาดหัวแบบให้ข้อมูลตรงๆยิ่ง CTR สูงเท่าไร ระบบโฆษณาบนแพลตฟอร์มอย่าง Google, Facebook หรือ TikTok ก็ยิ่งให้คะแนนคุณภาพกับแคมเปญของคุณ ส่งผลให้ต้นทุนต่อคลิกต่ำลง และมีโอกาสเข้าถึงผู้ชมมากขึ้นในราคาที่คุ้มกว่า
2. ลดต้นทุนโฆษณาด้วยพลังของ Engagement
การสร้าง Engagement ที่แท้จริงคือกุญแจสำคัญในการลดค่าใช้จ่ายด้านโฆษณา การตลาด Curiosity กระตุ้นให้ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์กับคอนเทนต์ ทั้งการกดไลก์ คอมเมนต์ แชร์ หรือแม้แต่หยุดดูวิดีโอให้นานขึ้น ซึ่งระบบอัลกอริธึมของแพลตฟอร์มอย่าง Facebook, TikTok และ Instagram ล้วนให้ความสำคัญกับ Engagement แบบนี้เป็นพิเศษเมื่อระบบเห็นว่าเนื้อหาของคุณ “ได้รับความสนใจจากผู้คนจำนวนมาก” มันจะช่วยแสดงผลคอนเทนต์ของคุณบ่อยขึ้นโดยอัตโนมัติ และลดต้นทุนต่อการแสดงผล (CPM) ลง เพราะมองว่าเนื้อหานั้นมีคุณค่านั่นหมายความว่า
- ด้วยงบเท่าเดิม คุณเข้าถึงคนได้มากขึ้น
- หรือหากต้องการเข้าถึงเท่าเดิม คุณใช้งบน้อยลง
ทั้งหมดนี้ทำได้เพียงแค่เปลี่ยนแนวการสื่อสารจาก “ขายตรง” เป็น “ชวนสงสัยก่อนขาย”
3. กระตุ้นการแชร์แบบ Organic: คนอยากแชร์สิ่งที่ทำให้คนอื่นต้อง “คลิก”
หนึ่งในพฤติกรรมของผู้ใช้โซเชียลในปัจจุบันคือ พวกเขาชอบแชร์คอนเทนต์ที่ชวนให้เพื่อนๆ ต้องมีส่วนร่วม หรือพูดง่ายๆ คือแชร์เพื่อดูปฏิกิริยาของคนอื่น เช่น
- “แชร์ให้เพื่อนดูหน่อยว่าเค้าจะตอบได้ไหม”
- “ใครรู้คำตอบบ้างมาช่วยที”
- หรือแม้แต่แคมเปญประเภท “ตอนต่อไปอยู่ใน Story ของเพื่อนคุณ!”
การตลาด Curiosity จึงเป็นเครื่องมือที่สร้างการกระจายตัวของคอนเทนต์แบบ Organic Reach ได้อย่างทรงพลัง โดยไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเพิ่มเลยลองนึกภาพ
- คลิปสั้นที่จบด้วยคำถาม “คุณเดาออกไหมว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้?”
- หรือโพสต์ภาพที่มีแค่เงาโปรดักต์พร้อมข้อความ “จะมีอะไรเปิดตัวพรุ่งนี้?”
โพสต์แบบนี้มีโอกาสถูกแชร์สูงกว่าคอนเทนต์ทั่วไป เพราะผู้คนรู้สึกว่ามันน่าชวนให้คนอื่นมามีส่วนร่วม สร้างแรงกระเพื่อมแบบธรรมชาติ (Organic Viral)
4. สร้างการจดจำแบรนด์ในระดับจิตใต้สำนึก
ความสงสัยทำให้สมองต้อง “วนคิดซ้ำ” จนจดจำแบรนด์ได้แม่นยำแบรนด์ที่ใช้ การตลาด Curiosity อย่างต่อเนื่อง เช่น การทำซีรีส์เนื้อหาแบบต่อเนื่อง หรือสร้างเรื่องราวที่ต้องติดตามตอนจบ มักได้เปรียบในเรื่อง “Top-of-Mind Awareness” หรือการเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคคิดถึงเป็นชื่อแรกในหมวดหมู่สินค้าเมื่อผู้บริโภคเริ่มสงสัยว่า
- “ตกลงแล้วแบรนด์นี้ขายอะไร?”
- “ตอนจบคืออะไร?”
- “พรุ่งนี้จะเฉลยไหม?”
สิ่งเหล่านี้กลายเป็นคำถามที่วนอยู่ในใจโดยไม่รู้ตัว และทุกครั้งที่คำถามผุดขึ้น สมองจะเชื่อมโยงกับแบรนด์นั้นโดยอัตโนมัตินี่คือพลังของการ “ตอกย้ำแบรนด์” โดยไม่ต้องพูดชื่อแบรนด์ซ้ำบ่อยๆ เหมือนในโฆษณายุคเก่า
5. เพิ่ม Conversion ได้โดยไม่ต้องลดราคา
เพราะความอยากรู้ก็ทรงพลังเท่ากับ “โปรโมชั่น” หากใช้ถูกวิธีในอดีตหากแบรนด์ต้องการกระตุ้นยอดขาย ก็ต้องใช้วิธีลดราคา แจกฟรี หรือแถมของ แต่สิ่งเหล่านี้ส่งผลระยะสั้นและอาจลดคุณค่าของแบรนด์ลงในทางตรงกันข้าม การตลาด Curiosity สามารถสร้างแรงผลักให้เกิด Conversion ได้เช่นเดียวกัน หากคุณออกแบบเส้นทางการขายให้พอดีตัวอย่างเช่น
- หน้าเว็บไซต์ที่ขึ้นว่า “คลิกเพื่อดูว่าอะไรที่ลูกค้ากลุ่ม VIP เท่านั้นถึงจะได้”
- หรือโปรโมชันแบบ “ของแถมลับสำหรับผู้ที่สั่งซื้อตอนนี้เท่านั้น (เฉลยหลังสั่งซื้อ)”
ความอยากรู้ + ความรู้สึกกลัวพลาด (FOMO) รวมกันจะสร้างพลังการซื้อที่ทรงพลังมาก โดยไม่ต้องพึ่งการลดราคาเลย มาถึงตรงนี้เราคงพูดได้เต็มปากว่า การตลาดแบบ “ชวนให้สงสัย” คือเครื่องมือที่ทั้งสร้างแบรนด์ และเพิ่มยอดขายได้พร้อมกัน การตลาด Curiosity ไม่ใช่แค่เทคนิคสร้างความสนุก แต่มันคือกลยุทธ์ที่
- ลดค่าใช้จ่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ
- และยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าและแบรนด์
ในยุคที่ผู้บริโภคเบื่อการขายตรง และโฆษณาแบบเดิมๆ กลยุทธ์ที่ทำให้คน “หยุดดู” และ “อยากรู้” จึงเป็นอาวุธลับที่แบรนด์ไหนใช้ก่อนย่อมได้เปรียบในสมรภูมิการตลาด
6 เทคนิค การเขียนคอนเทนต์แบบ Curiosity Marketing

1. ใช้ “คำถาม” แทนการ “บอกข้อมูล” ตรงๆ
การเปลี่ยนจากการบอกเล่าข้อเท็จจริง เป็นการตั้งคำถามที่ชวนคิดหรือชวนติดตาม คือหัวใจของการตลาด Curiosityตัวอย่าง
- แทนที่จะบอกว่า “น้ำมะนาวช่วยล้างสารพิษ”ให้เขียนว่า “คุณรู้หรือไม่ว่าน้ำผลไม้สีเหลืองนี้สามารถล้างสารพิษในร่างกายได้ทุกเช้า?”
หรือ
- “นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนส่วนใหญ่ล้มเหลวตอนเริ่มธุรกิจ… แล้วคุณกำลังทำสิ่งเดียวกันอยู่หรือเปล่า?”
จุดสำคัญคือ คำถามควรเปิดช่องให้คนรู้สึก “ฉันต้องรู้คำตอบนี้เดี๋ยวนี้” และยิ่งคำถามนั้นเชื่อมโยงกับชีวิตจริงหรือปัญหาของผู้อ่านได้ดีเท่าไร โอกาสคลิกและอ่านต่อก็ยิ่งสูงขึ้น
2. ใช้ตัวเลขแบบ “ไม่ครบ” เพื่อเปิดช่องว่างของข้อมูล
มนุษย์มีแนวโน้มจะสนใจข้อมูลที่ดูเหมือน “ยังไม่ครบ” มากกว่าข้อมูลที่สมบูรณ์แล้ว นี่คือการใช้หลัก Information Gap Theory ซึ่งเชื่อว่า เมื่อเรารู้บางส่วนของข้อมูล เราจะเกิดความอยากรู้ในส่วนที่เหลือทันทีตัวอย่างเช่น
- “3 ใน 5 คนยังทำสิ่งนี้ผิดอยู่ คุณเป็นหนึ่งในนั้นหรือเปล่า?”
- “มี 7 สัญญาณที่บอกว่าแบรนด์คุณกำลังจะล้มเหลว – แต่หลายคนไม่รู้ข้อที่ 4”
จุดแข็งของเทคนิคนี้ คือการกระตุ้นให้ผู้อ่าน “ต้องเข้าไปอ่านเพื่อปิดช่องว่างนั้น” ไม่ว่าจะเป็นการกดดูโพสต์ต่อ กดอ่านบทความ หรือดูวิดีโอตอนถัดไป
3. เล่นกับ “อารมณ์ความกลัว” หรือ “ความอยากรู้” อย่างมีกลยุทธ์
อารมณ์คือแรงผลักสำคัญในการตัดสินใจของผู้บริโภค โดยเฉพาะความกลัว (Fear) และความสงสัยอยากรู้ (Curiosity) เมื่อนำมาผสมกันอย่างลงตัว จะได้พลังการตลาดที่ทรงพลังมากตัวอย่าง:
- “สิ่งนี้อาจทำให้มือถือของคุณพังได้ ถ้าคุณยังไม่รู้มาก่อน”
- “ธุรกิจของคุณอาจสูญเสียลูกค้าไปทุกวัน…เพราะพลาดสิ่งเล็กๆ ข้อนี้”
หรือ
- “นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนจำนวนมากถึงพลาดโอกาสรวย เพียงเพราะไม่เคยรู้เคล็ดลับนี้มาก่อน”
เคล็ดลับคือต้องใช้ “อารมณ์” อย่างมีความรับผิดชอบ ไม่ปลุกปั่นหรือหลอกลวง แต่กระตุ้นให้อ่านต่อเพื่อ “ได้รู้จริง” และ “ช่วยเหลือตัวเองจากความเสี่ยงหรือพลาด”
4. เล่าเรื่องแบบมี “จุดหักมุม” แล้วจบด้วยคำถามหรือคำใบ้
การเล่าเรื่องเป็นเครื่องมือทรงพลังในทุกคอนเทนต์ แต่ถ้าคุณสามารถใส่ “จุดหักมุม” หรือ “บทเฉลยที่ยังไม่เฉลย” เข้าไปได้ จะทำให้คนหยุดอ่านและรู้สึกอยากรู้ตอนจบตัวอย่าง
“เธอเริ่มต้นด้วยเงิน 1,000 บาท…ผ่านไป 6 เดือน ไม่มีใครคาดคิดว่าเธอจะมีรายได้หลักแสน — แล้วจุดเปลี่ยนคืออะไร?”
หรือ
“ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามาในร้าน พูดประโยคเดียว แล้วพนักงานทุกคนเงียบ…เขาพูดว่าอะไร?”
การเล่าเรื่องแบบนี้จะทำให้ผู้อ่านรู้สึกผูกพัน และอยากติดตามเนื้อหาเพิ่มเติมทันที
5. เว้น “ตอนจบ” ไว้ให้จินตนาการ — และติดตามต่อ
การตลาด Curiosity ไม่จำเป็นต้องเฉลยทุกอย่างในโพสต์เดียว การทิ้งตอนจบไว้ให้ติดตามต่อในลิงก์ หรือวิดีโอถัดไปคือการยืด Dwell Time และเพิ่มการมีส่วนร่วมระยะยาวตัวอย่าง
- “เราได้ทดลองกลยุทธ์นี้กับธุรกิจจริง 3 วัน…ผลลัพธ์เกินคาด! คลิกอ่านเคสตัวอย่างที่นี่”
- หรือบน TikTok: “นี่คือวิธีที่ทำให้คนติดตามเราพุ่ง 10 เท่า — รอดู Part 2 พรุ่งนี้นะครับ”
เทคนิคนี้ช่วยให้
- ผู้ชมติดตามคอนเทนต์มากกว่า 1 ชิ้น
- เพิ่ม Watch Time / Click Through ไปยังบทความหรือหน้าโปรโมชัน
- และสร้างความสัมพันธ์กับผู้ติดตามระยะยาว
6. ใช้ “ภาพ” หรือ “วิดีโอ” ที่ “ตัดจังหวะ” อย่างจงใจ
การตัดจังหวะเป็นเทคนิคในวงการบันเทิง แต่ก็ใช้ได้ดีกับ Curiosity Content บนแพลตฟอร์มวิดีโอสั้น เช่น TikTok, Reels หรือ Shortsตัวอย่าง
- วิดีโอที่หยุดก่อนเฉลย เช่น “…และนี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น แต่คุณต้องดูตอนต่อไป”
- หรือภาพที่เบลอบางส่วนไว้ พร้อมข้อความว่า “คุณเดาออกไหมว่านี่คืออะไร?”
จุดแข็งของวิธีนี้คือการทำให้ผู้ชมต้อง “คลิกเพื่อดูต่อ” หรือ “คอมเมนต์เพื่อมีส่วนร่วม” ซึ่งจะเพิ่มทั้ง Engagement และ Algorithm Boost ได้พร้อมกัน
ข้อควรระวังในการใช้ การตลาด Curiosityแม้กลยุทธ์นี้จะทรงพลัง แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจทำลายความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้เช่นกัน ดังนั้นสิ่งสำคัญที่ ควรหลีกเลี่ยง ก่อนใช้กลยุทธ์นี้ คือ
- อย่าหลอกลวง (Clickbait ที่ไม่มีเนื้อหา) – อย่าสร้างความคาดหวังไว้สูงแล้วไม่มีเนื้อหาจริงมารองรับ
- อย่าใช้ความสงสัยในเรื่องอ่อนไหว – หลีกเลี่ยงการใช้ประเด็นเพศ ศาสนา การเมือง หรือข่าวปลอมเพื่อเรียกคลิก
- อย่าใช้บ่อยเกินไป – เพราะผู้บริโภคจะเริ่มจับทางได้ และอาจรู้สึกเบื่อหน่าย
สรุป
Curiosity Marketing คือ การใช้พฤติกรรมมนุษย์ที่แท้จริงมาเป็นแรงขับเคลื่อนทางการตลาด หากใช้ด้วยความเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้วก็จะสามารถเพิ่มยอดขาย เพิ่มการมีส่วนร่วม และสร้างภาพลักษณ์ที่แข็งแรงให้กับแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน อย่าลืมว่าความสงสัยคือ “แรงขับทางอารมณ์” ที่ทรงพลังที่สุดรูปแบบหนึ่งในพฤติกรรมผู้บริโภค และแบรนด์ที่เข้าใจสิ่งนี้ก่อน ย่อมกุมความได้เปรียบในการแข่งขันอย่างไม่ต้องสงสัยครับ
บทความแนะนำ