เทคโนโลยี Deepfake คืออะไร?

ทำความเข้าใจ เทคโนโลยี Deepfake คืออะไร?
Deepfake หรือ “สื่อลวงลึก” คือ เทคโนโลยีที่พัฒนามาจากการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เทคโนโลยีนี้สามารถวิเคราะห์ และเรียนรู้ข้อมูลจากมุมมองต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยสามารถสร้างสื่อสังเคราะห์ที่เหมือนจริงมาก ทั้งภาพนิ่ง เสียง และภาพเคลื่อนไหว จนบางครั้งมนุษย์แทบแยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือไม่
Deepfake กับการตลาดและการโฆษณา

1. การสร้างโฆษณาที่น่าสนใจและหลากหลาย
2. การสร้างแบรนด์แอมบาสเดอร์เสมือน
บริษัทสามารถ “โคลน” หน้าของพรีเซ็นเตอร์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการคัดเลือกนักแสดงผ่านเอเจนซี่ โดยแบรนด์สามารถสร้างการมีส่วนร่วมที่ดูเหมือนจริงได้โดยไม่ต้องมีพรีเซนเตอร์คนดังในสถานที่ถ่ายทำหรือในสตูดิโอเลย เนื่องจากการสร้างแบรนด์แอมบาสเดอร์เสมือนจริงโดยใช้ Deepfakes AI เกี่ยวข้องกับการสร้าง Digital Avatar ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนของแบรนด์และโต้ตอบกับลูกค้าได้ ผู้มีอิทธิพลทาง AI หรือบุคคลเสมือนจริงเหล่านี้ให้ข้อดีหลายประการ
3. การสร้างเนื้อหาส่วนบุคคล
4. การนำเนื้อหาไปใช้ใหม่
5. แคมเปญ Omnichannel ที่ได้รับการปรับปรุง
ประโยชน์ของเทคโนโลยี Deepfake

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Deepfake
เทคโนโลยีดีปเฟค กำลังก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในฐานะพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ของการตลาดและการโฆษณา ด้วยการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างเนื้อหาเสียงและวิดีโอที่สมจริงยิ่งขึ้น แบรนด์ต่างๆ สามารถดึงดูดผู้บริโภคด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และปรับแต่งได้ ซึ่งต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ของเทคโนโลยีดีปเฟคสำหรับการตลาดและการโฆษณาครับ
1. การสร้างเนื้อหาที่คุ้มต้นทุน
2. การปรับแต่งส่วนบุคคลที่ปรับปรุง
3. แคมเปญ Omni-Channel
4. เพิ่มการมีส่วนร่วมผ่านการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์
5. ศักยภาพของการตลาดไวรัล
6. การสาธิตผลิตภัณฑ์ที่สมจริง
7. ความยืดหยุ่นในการรับรองโดยคนดัง
8. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น
ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี Deepfake

ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี Deepfake
1. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล
การใช้ดีปเฟค อาจก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความไม่พอใจจากผู้ที่ถูกใช้ภาพหรือเสียงนั้น การใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมอาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายตามกฎระเบียบของหลายประเทศ
2. การสร้างความเข้าใจผิด
ดีปเฟคสามารถสร้างเนื้อหาที่ดูเหมือนจริงได้ แต่กลับมีข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือน ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่โฆษณา การสร้างเนื้อหาที่หลอกลวงนี้สามารถส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจในแบรนด์และตลาดโดยรวมได้
3. ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค
การใช้ดีปเฟคในโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่มั่นใจในข้อมูลที่ได้รับจากสื่อโฆษณา เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อหาเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงหรือบิดเบือนความจริง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสื่อดิจิทัลอาจลดลงอย่างมาก เมื่อมีการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างไม่เหมาะสม
4. การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ
การใช้ดีปเฟค อาจทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์เชิงลบ หากผู้บริโภคมองว่าการใช้เทคโนโลยีนี้เป็นการหลอกลวงหรือไม่ซื่อสัตย์หรือไม่โปร่งใสกับผู้บริโภค ซึ่งภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อยอดขายและความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้
5. ความเสี่ยงทางกฎหมาย
แน่นอนว่าการใช้ดีปเฟค อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดสิทธิของบุคคลหรือสร้างเนื้อหาที่เป็นเท็จ ผู้ที่นำไปใช้อาจต้องเผชิญกับการฟ้องร้องจากบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิ หรือจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับการโฆษณา
6. ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด
การใช้ดีปเฟค อาจทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาด เนื่องจากบางบริษัทอาจใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างเนื้อหาที่ดูเหมือนจริงแต่กลับเป็นเท็จ เพื่อดึงดูดลูกค้า สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดการบิดเบือนการแข่งขันและลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการในตลาด
7. ปัญหาด้านจริยธรรม
การใช้ดีปเฟค ในการโฆษณายังนำมาซึ่งปัญหาด้านจริยธรรม เนื่องจากมันสามารถถูกใช้เพื่อสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น การทำให้บุคคลดูเหมือนกำลังพูดหรือทำสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้สามารถส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้
8. ความเสี่ยงในการถูกโจมตีด้วยข้อมูลเท็จ
เนื่องจากเทคโฯโลยีดีปเฟค สามารถสร้างข้อมูลปลอมได้อย่างง่ายดาย จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งบุคคลและองค์กรได้