ต้องจับตา! เทคโนโลยี Deepfake จะเปลี่ยนแปลงการตลาดและการโฆษณาอย่างไร?

Deep Fake
การมาถึงของเทคโนโลยี Deepfake กำลังปฏิวัติกลยุทธ์การตลาดและการโฆษณาในอุตสาหกรรมต่างๆ ในขณะที่แบรนด์จำนวนมากกำลังแสวงหาวิธีใหม่ๆ เพื่อดึงดูดผู้บริโภค เทคโนโลยีดีปเฟคกำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงโลกของการตลาดและการโฆษณาแบบที่เรียกว่าต้องจับตา ด้วยความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่มีความสมจริงสูงจึงเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับแบรนด์ในการสื่อสารกับผู้บริโภค ซึ่งก่อนที่เทคโนโลยีนี้จะแพร่หลายมากขึ้นในอนาคต การทำความเข้าใจถึงผลกระทบ การนำไปใช้งาน และการพิจารณาทางจริยธรรม จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับนักการตลาดในปัจจุบันครับ
 

เทคโนโลยี Deepfake คืออะไร?

Deepfake คืออะไร

ทำความเข้าใจ เทคโนโลยี Deepfake คืออะไร?

Deepfake หรือ “สื่อลวงลึก” คือ เทคโนโลยีที่พัฒนามาจากการเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ AI (ปัญญาประดิษฐ์) เทคโนโลยีนี้สามารถวิเคราะห์ และเรียนรู้ข้อมูลจากมุมมองต่างๆ เพื่อสร้างความเข้าใจและสร้างองค์ความรู้ใหม่ โดยสามารถสร้างสื่อสังเคราะห์ที่เหมือนจริงมาก ทั้งภาพนิ่ง เสียง และภาพเคลื่อนไหว จนบางครั้งมนุษย์แทบแยกไม่ออกว่าเป็นของจริงหรือไม่

คำว่า “Deepfake” เป็นคำผสมระหว่าง “deep learning technology” และ “fake videos” AI ที่ใช้สำหรับ Deepfakes เรียกว่า Generative Adversarial Networks หรือ GANS เนื่องจากอัลกอริทึมสองตัวที่ “ขัดแย้งกัน” อัลกอริทึมหนึ่งสร้างของปลอม และอีกอัลกอริทึมหนึ่งประเมินว่าของปลอมนั้นสร้างขึ้นได้ดีเพียงใด จึงสามารถสร้างของปลอมที่ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นได้ ด้วยอัลกอริทึมสองส่วน ได้แก่ ตัวสร้างและตัวแยกแยะ ตัวสร้างจะสร้างเนื้อหาปลอมเริ่มต้นโดยใช้ชุดข้อมูลฝึกอบรม ตัวแยกแยะจะช่วยวิเคราะห์ความสมจริงของเนื้อหา และระบุข้อบกพร่อง ซึ่งกระบวนการนี้จะเกิดขึ้นซ้ำๆ ทำให้ตัวสร้างมีความสามารถในการสร้างเนื้อหาที่สมจริง และตัวแยกแยะสามารถระบุของปลอมได้โดยใช้การเรียนรู้เชิงลึกเพื่อจดจำรูปแบบในรูปภาพจริงซึ่งจากนั้นจะใช้เพื่อสร้างของปลอมที่สมจริงมาก 
 
การเรียนรู้ว่าบุคคลอื่นหน้าตาเป็นอย่างไรนั้นต้องใช้ข้อมูลจำนวนมหาศาล ซึ่งโดยปกติแล้วต้องใช้เวลาในการประมวลผลนาน อย่างไรก็ตาม ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีล่าสุดสามารถลดเวลาในการประมวลผลลงได้อย่างมากจนเหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง และเนื่องจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นในสาขา Deep Learning นี่เอง ผู้คนจึงสามารถสร้างของปลอมที่ดูสมจริงยิ่งกว่าที่เคยได้

Deepfake กับการตลาดและการโฆษณา

Deepfake กับการตลาดและการโฆษณา
ทุกวันนี้นักการตลาดสามารถนำเทคโนโลยีดีปเฟคมาใช้ในการตลาดและการโฆษณาเพื่อสร้างสรรค์แคมเปญที่น่าสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่น การสร้างโฆษณาที่นักแสดงสามารถสนทนาได้หลายภาษาโดยไม่ต้องถ่ายทำใหม่ หรือการนำเสนอผลิตภัณฑ์ในรูปแบบที่แปลกใหม่และน่าสนใจ อย่างไรก็ตาม การใช้ดีปเฟคในด้านนี้ ต้องพิจารณาผลดีผลเสียด้วยความระมัดระวังและคำนึงถึงจริยธรรม เพื่อป้องกันการสร้างความเข้าใจผิดหรือหลอกลวงผู้บริโภค ที่สำคัญก่อนที่คุณจะนำเทคโนโลยีมาใช้ ต้องมีการตกลงทำสัญญาเป็นกิจจะลักษณะกับนักแสดงและแบรนด์ให้รัดกุม ในส่วนนี้เราจะมาดูกันครับว่า การตลาดและการโฆษณาสามารถนำเทคโนโลยีนี้มาประยุกต์ใช้อย่างไรได้บ้าง
 

1. การสร้างโฆษณาที่น่าสนใจและหลากหลาย

ดีปเฟคสามารถใช้สร้างสื่อการเรียนรู้ที่น่าสนใจและทันสมัย โดยจำลองสถานการณ์และสภาพแวดล้อมที่หลากหลายได้ ตัวอย่างเช่น เราสามารถใช้ดีปเฟคในการสร้างโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนภาษาและท่าทางในการพูดได้ ซึ่งช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการถ่ายทำได้อย่างมาก
 

2. การสร้างแบรนด์แอมบาสเดอร์เสมือน

บริษัทสามารถ “โคลน” หน้าของพรีเซ็นเตอร์ได้โดยไม่ต้องเสียเวลาในการคัดเลือกนักแสดงผ่านเอเจนซี่ โดยแบรนด์สามารถสร้างการมีส่วนร่วมที่ดูเหมือนจริงได้โดยไม่ต้องมีพรีเซนเตอร์คนดังในสถานที่ถ่ายทำหรือในสตูดิโอเลย เนื่องจากการสร้างแบรนด์แอมบาสเดอร์เสมือนจริงโดยใช้ Deepfakes AI เกี่ยวข้องกับการสร้าง Digital Avatar ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสามารถเป็นตัวแทนของแบรนด์และโต้ตอบกับลูกค้าได้ ผู้มีอิทธิพลทาง AI หรือบุคคลเสมือนจริงเหล่านี้ให้ข้อดีหลายประการ

 
เช่น การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น ความสามารถในการปรับขนาด ความน่าเชื่อถือ และความสามารถในการสร้างประสบการณ์ส่วนบุคคล แอมบาสเดอร์ AI เหล่านี้ สามารถมีส่วนร่วมกับผู้ชมในลักษณะที่เป็นส่วนบุคคล โปรโมตผลิตภัณฑ์และสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบโต้ตอบ และรองรับกับแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ รวมถึง มือถือ เว็บไซต์ และเมตาเวิร์ส เป็นต้น
 

3. การสร้างเนื้อหาส่วนบุคคล

ดีปเฟคช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถสร้างโฆษณาวิดีโอส่วนบุคคลที่มีตัวแทนแบรนด์ คนดัง หรือแม้แต่ตัวลูกค้าเอง โดยการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภค แบรนด์ต่างๆ สามารถพัฒนาโฆษณาที่ตรงเป้าหมายซึ่งพูดถึงความชอบและพฤติกรรมของแต่ละบุคคลได้โดยตรง
 
ลองนึกภาพว่าคุณได้รับอีเมลการตลาดที่มีวิดีโอซึ่งตัวแทนแบรนด์จะเรียกชื่อคุณโดยตรง พูดคุยเกี่ยวกับการซื้อครั้งก่อนของคุณ และแนะนำสินค้าใหม่ๆ ที่เหมาะกับรสนิยมของคุณ เนื้อหาวิดีโอเฉพาะบุคคลซึ่งพูดถึงความชอบส่วนบุคคลโดยตรงสามารถเพิ่มการมีส่วนร่วมและอัตราการแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ แนวทางที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลนี้ทำให้ดูเหมือนว่าวิดีโอที่พวกเขากำลังรับชมนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อพวกเขาโดยเฉพาะ เนื่องจาก อัลกอริธึม AI ได้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้ใช้ รวมถึงประวัติการเรียกดู ยอดไลค์ การแชร์ และความคิดเห็น เพื่อทำความเข้าใจความชอบส่วนบุคคลและสร้างเนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะนั่นเองครับ
 

4. การนำเนื้อหาไปใช้ใหม่

เทคโนโลยีดีปเฟค ช่วยให้ผู้ทำการตลาดมีความยืดหยุ่นในการนำเนื้อหาไปใช้ใหม่บนช่องทางต่างๆ อย่างราบรื่น โดยไม่ต้องมีข้อจำกัดจากผู้แสดงจริงๆ ช่วยขจัดความจำเป็นในการใช้นักแสดงและการถ่ายทำซ้ำ ทั้งยังช่วยลดต้นทุน โดยแคมเปญเดียวกันยังสามารถนำไปปรับใช้กับโซเชียลมีเดีย พ็อดคาสต์ วิทยุ และอื่นๆ อีกมากมาย
 

5. แคมเปญ Omnichannel ที่ได้รับการปรับปรุง

เทคโนโลยีดีปเฟค ช่วยให้นักการตลาดสามารถนำเนื้อหาไปปรับใช้ใหม่สำหรับช่องทางการตลาดหลายช่องทาง เข้าถึงผู้ชมได้มากขึ้นด้วยเวลาและการลงทุนทางการเงินที่น้อยลง ดีปเฟคช่วยให้นักการตลาดสามารถสร้างแคมเปญที่สอดประสานและสอดคล้องกันมากขึ้นในแพลตฟอร์มและช่องทางต่างๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ชมจะได้รับข้อความและประสบการณ์ของแบรนด์ที่เป็นหนึ่งเดียวกัน
 
อย่างไรก็ตาม นักการตลาดต้องใช้เทคโนโลยีดีปเฟคอย่างมีความรับผิดชอบ โดยต้องรักษาสมดุลระหว่างความคิดสร้างสรรค์กับการเล่าเรื่องอย่างมีจริยธรรม การมีแนวปฏิบัติทางจริยธรรมเกี่ยวกับการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและการติดฉลากวิดีโอที่สร้างโดย AI ทั้งหมดนั้นถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อใช้รูปลักษณ์ เสียง หรือผลงานที่มีลิขสิทธิ์ของบุคคลอื่น จำเป็นต้องได้รับอนุญาต เนื่องจากการใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตอาจส่งผลให้ต้องเสียค่าปรับจำนวนมาก

 

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Deepfake

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Deepfake

ประโยชน์ของเทคโนโลยี Deepfake

เทคโนโลยีดีปเฟค กำลังก้าวขึ้นมาอย่างรวดเร็วในฐานะพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงในภูมิทัศน์ของการตลาดและการโฆษณา ด้วยการใช้ประโยชน์จากปัญญาประดิษฐ์ในการสร้างเนื้อหาเสียงและวิดีโอที่สมจริงยิ่งขึ้น แบรนด์ต่างๆ สามารถดึงดูดผู้บริโภคด้วยวิธีที่สร้างสรรค์และปรับแต่งได้ ซึ่งต่อไปนี้คือประโยชน์หลักๆ ของเทคโนโลยีดีปเฟคสำหรับการตลาดและการโฆษณาครับ

1. การสร้างเนื้อหาที่คุ้มต้นทุน

ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของเทคโนโลยีดีปเฟค คือ ความสามารถในการลดต้นทุนการผลิต การโฆษณาแบบดั้งเดิมมักต้องจ้างนักแสดง เช่าสถานที่ และวางกำหนดการถ่ายทำที่ยาวนาน ด้วยดีปเฟค นักการตลาดสามารถสร้างวิดีโอที่สมจริงโดยใช้ภาพที่มีอยู่หรือตัวละครที่สร้างขึ้นแบบดิจิทัล ทำให้ไม่จำเป็นต้องถ่ายทำด้วยตนเอง ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ จัดสรรทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและผลิตเนื้อหาคุณภาพสูงด้วยต้นทุนเพียงเศษเสี้ยวของต้นทุนในรูปแบบเดิม
 

2. การปรับแต่งส่วนบุคคลที่ปรับปรุง

เราจะเห็นได้ว่า เทคโนโลยีดีปเฟค ช่วยให้นักการตลาดสร้างประสบการณ์การตลาดที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคลได้สูง ด้วยการปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับผู้บริโภคแต่ละคนได้โดยการวิเคราะห์ความชอบและพฤติกรรมของพวกเขา ตัวอย่างเช่น โฆษณาแบบวิดีโออาจมี Brand Ambassador ที่เรียกชื่อผู้ชมและพูดคุยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับความสนใจของพวกเขา ระดับการปรับแต่งนี้ส่งเสริมให้เกิดความเชื่อมโยงทางอารมณ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับผู้บริโภค ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมและความภักดี
 

3. แคมเปญ Omni-Channel

ดีปเฟคช่วยให้ผู้ทำการตลาดสามารถนำเนื้อหาไปใช้ในแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างราบรื่น เช่น โซเชียลมีเดีย พอดแคสต์ และเว็บไซต์ ความสามารถในการปรับตัวนี้หมายความว่าแคมเปญเดียวสามารถปรับเปลี่ยนสำหรับช่องทางต่างๆ ได้โดยไม่ต้องมีข้อจำกัดของกระบวนการถ่ายทำแบบดั้งเดิม เป็นผลให้แบรนด์สามารถรักษาเรื่องราวที่เชื่อมโยงกันในขณะที่เข้าถึงผู้ชมที่กว้างขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
 

4. เพิ่มการมีส่วนร่วมผ่านการเล่าเรื่องที่สร้างสรรค์

เทคโนโลยีดีปเฟค เปิดช่องทางใหม่สำหรับการเล่าเรื่องในโฆษณา แบรนด์สามารถสร้างเรื่องราวที่น่าดึงดูดใจซึ่งรวมเอาบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์หรือคนดังในรูปแบบที่สะท้อนถึงผู้ชมยุคใหม่ ตัวอย่างเช่น แคมเปญสามารถนำเสนอบุคคลที่มีชื่อเสียงที่ส่งข้อความที่สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมด้านการเล่าเรื่องของการตลาด
 

5. ศักยภาพของการตลาดไวรัล

เนื้อหาดีปเฟค มีลักษณะที่น่าตื่นตาตื่นใจและมักจะให้ความบันเทิง จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับแคมเปญการตลาดไวรัล วิดีโอดีปเฟค ที่ไม่เหมือนใครและน่าดึงดูดใจมีแนวโน้มที่จะถูกแชร์บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียมากขึ้น ทำให้แบรนด์มองเห็นและเข้าถึงผู้คนได้มากขึ้น ศักยภาพในการเป็นไวรัลนี้สามารถขยายความพยายามทางการตลาดได้อย่างมากโดยไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติมเหมือนวิธีการโฆษณาแบบดั้งเดิม
 

6. การสาธิตผลิตภัณฑ์ที่สมจริง

เทคโนโลยีดีปเฟค สามารถนำมาใช้เพื่อสร้างการสาธิตผลิตภัณฑ์ที่สมจริงซึ่งแสดงให้เห็นว่าผลิตภัณฑ์ทำงานอย่างไรหรือสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างไร ตัวอย่างเช่น แบรนด์ในอุตสาหกรรมแฟชั่นสามารถใช้ Deepfake เพื่อสร้างประสบการณ์การลองสวมแบบเสมือนจริง ช่วยให้ผู้บริโภคเห็นภาพเสื้อผ้าของนางแบบที่มีรูปร่างหรือสีผิวต่างๆ ได้ ความสามารถนี้ช่วยเพิ่มประสบการณ์การช้อปปิ้งและกระตุ้นให้ผู้บริโภคมั่นใจในการตัดสินใจซื้อ
 

7. ความยืดหยุ่นในการรับรองโดยคนดัง

ด้วยเทคโนโลยีดีปเฟค แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างโฆษณาที่มีคนดังโดยไม่ต้องมีตัวตนหรือความยินยอมจากคนดังในทุกโครงการ ความยืดหยุ่นนี้ทำให้ผู้ทำการตลาดสามารถออกแบบแคมเปญที่รวมถึงการรับรองโดยคนดังที่ปรับแต่งให้เหมาะกับกลุ่มประชากรหรือเหตุการณ์เฉพาะ เพิ่มผลกระทบสูงสุดในขณะที่ลดต้นทุนให้เหลือน้อยที่สุด
 

8. ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

ดีปเฟค สามารถสร้างประสบการณ์ที่ดื่มด่ำสำหรับผู้บริโภค เช่น นิทรรศการเสมือนจริงหรือการนำเสนอแบบโต้ตอบที่นำเสนอบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์หรือแบรนด์แอมบาสเดอร์ แนวทางที่สร้างสรรค์นี้ดึงดูดผู้ชมด้วยวิธีที่โฆษณาแบบเดิมไม่สามารถทำได้ โดยให้การโต้ตอบที่น่าจดจำซึ่งส่งเสริมความภักดีต่อแบรนด์
 
เทคโนโลยีดีปเฟค มีประโยชน์มากมายสำหรับการตลาดและการโฆษณา ตั้งแต่การสร้างเนื้อหาที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนไปจนถึงการปรับแต่งและการมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้น แม้ว่าจะมีศักยภาพมหาศาล แต่ผู้ทำการตลาดยังต้องพิจารณาถึงประเด็นทางจริยธรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานเพื่อรักษาความไว้วางใจและความถูกต้องของผู้บริโภคในข้อความของพวกเขา ในขณะที่เทคโนโลยีนี้ยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก็มีแนวโน้มที่จะปรับเปลี่ยนวิธีที่แบรนด์ต่างๆ เชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายในรูปแบบที่มีความหมาย

ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี Deepfake

ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี Deepfake

ข้อควรระวังในการใช้เทคโนโลยี Deepfake

เมื่อเลือกใช้เทคโนโลยีดีปเฟค ในการตลาดและโฆษณา สิ่งสำคัญที่สุด คือ คุณต้องให้ความสำคัญกับการพิจารณาทางจริยธรรมและดำเนินการป้องกันต่างๆ เพื่อปกป้องชื่อเสียงของแบรนด์และความไว้วางใจของผู้บริโภค เนื่องจากความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในปัจจุบัน ซึ่งจำเป็นต้องมีท่าทีที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดการหรือแก้ไขเนื้อหาใดๆ เพื่อส่งเสริมให้ผู้บริโภคตัดสินใจอย่างรอบรู้ นอกจากนี้ การได้รับความยินยอมอย่างชัดแจ้งก่อนใช้เสียงและรูปลักษณ์ของบุคคลอื่นก็มีความสำคัญเช่นกัน
 
เพื่อเคารพสิทธิส่วนบุคคลและหลีกเลี่ยงผลทางกฎหมาย ข้อความที่รับผิดชอบควรมาก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าดีปเฟค จะขยายข้อความที่ต้องการโดยไม่หลอกลวงผู้บริโภค ดังนั้น เพื่อรับมือกับความท้าทายทางจริยธรรมที่เกิดจากเทคโนโลยีดีปเฟค นักการตลาดสามารถใช้กลยุทธ์ที่รักษาความซื่อสัตย์สุจริตและส่งเสริมความไว้วางใจของผู้บริโภคได้
 
แนวทางปฏิบัติทางการตลาดที่มีจริยธรรม การยอมรับวัฒนธรรมของแนวทางปฏิบัติทางการตลาดที่มีจริยธรรม ทำให้ผู้เชี่ยวชาญสามารถใช้เทคโนโลยีดีปเฟค เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญโดยไม่กระทบต่อความไว้วางใจและความโปร่งใส การศึกษาอย่างต่อเนื่องและแนวทางภายใน การศึกษาอย่างต่อเนื่องและการกำหนดแนวทางภายในเป็นสิ่งจำเป็นในการควบคุมการใช้ดีปเฟค ในโครงการการตลาด แน่นอนว่าการใช้เทคโนโลยีดีปเฟค ในด้านการตลาดและการโฆษณาอาจมาพร้อมกับข้อเสียและความเสี่ยงที่สำคัญหลายประการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทั้งผู้บริโภคและแบรนด์ในระยะยาว ดังนี้ครับ
 

1. การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

การใช้ดีปเฟค อาจก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล โดยเฉพาะเมื่อมีการใช้ภาพหรือเสียงของบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความไม่พอใจจากผู้ที่ถูกใช้ภาพหรือเสียงนั้น การใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมอาจถูกมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่เป็นธรรมและผิดกฎหมายตามกฎระเบียบของหลายประเทศ

 

2. การสร้างความเข้าใจผิด

ดีปเฟคสามารถสร้างเนื้อหาที่ดูเหมือนจริงได้ แต่กลับมีข้อมูลที่ผิดหรือบิดเบือน ซึ่งอาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการที่โฆษณา การสร้างเนื้อหาที่หลอกลวงนี้สามารถส่งผลให้เกิดความไม่ไว้วางใจในแบรนด์และตลาดโดยรวมได้

 

3. ผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค

การใช้ดีปเฟคในโฆษณาอาจทำให้ผู้บริโภครู้สึกไม่มั่นใจในข้อมูลที่ได้รับจากสื่อโฆษณา เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่เนื้อหาเหล่านั้นจะถูกสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกลวงหรือบิดเบือนความจริง ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสื่อดิจิทัลอาจลดลงอย่างมาก เมื่อมีการใช้เทคโนโลยีนี้อย่างไม่เหมาะสม

 

4. การสร้างภาพลักษณ์เชิงลบ

การใช้ดีปเฟค อาจทำให้แบรนด์มีภาพลักษณ์เชิงลบ หากผู้บริโภคมองว่าการใช้เทคโนโลยีนี้เป็นการหลอกลวงหรือไม่ซื่อสัตย์หรือไม่โปร่งใสกับผู้บริโภค ซึ่งภาพลักษณ์ที่ไม่ดีอาจส่งผลต่อยอดขายและความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาวได้

 

5. ความเสี่ยงทางกฎหมาย

แน่นอนว่าการใช้ดีปเฟค อาจนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมาย โดยเฉพาะเมื่อมีการละเมิดสิทธิของบุคคลหรือสร้างเนื้อหาที่เป็นเท็จ ผู้ที่นำไปใช้อาจต้องเผชิญกับการฟ้องร้องจากบุคคลที่ถูกละเมิดสิทธิ หรือจากหน่วยงานกำกับดูแลที่มีกฎระเบียบเกี่ยวกับการโฆษณา

 

6. ผลกระทบต่อการแข่งขันในตลาด

การใช้ดีปเฟค อาจทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมในตลาด เนื่องจากบางบริษัทอาจใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างเนื้อหาที่ดูเหมือนจริงแต่กลับเป็นเท็จ เพื่อดึงดูดลูกค้า สิ่งนี้สามารถทำให้เกิดการบิดเบือนการแข่งขันและลดคุณภาพของผลิตภัณฑ์หรือบริการในตลาด

 

7. ปัญหาด้านจริยธรรม

การใช้ดีปเฟค ในการโฆษณายังนำมาซึ่งปัญหาด้านจริยธรรม เนื่องจากมันสามารถถูกใช้เพื่อสร้างเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม เช่น การทำให้บุคคลดูเหมือนกำลังพูดหรือทำสิ่งที่พวกเขาไม่ได้ทำจริงๆ ซึ่งสิ่งนี้สามารถส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ได้

 

8. ความเสี่ยงในการถูกโจมตีด้วยข้อมูลเท็จ

เนื่องจากเทคโฯโลยีดีปเฟค สามารถสร้างข้อมูลปลอมได้อย่างง่ายดาย จึงมีความเสี่ยงที่จะถูกนำไปใช้ในการโจมตีทางไซเบอร์หรือการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ ซึ่งสามารถส่งผลกระทบต่อทั้งบุคคลและองค์กรได้

  

 

 

แหล่งที่มา :
 
 
 
 
 
 
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *