กลยุทธ์ในการทำ SEO นั้นปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดไม่ต่างจาก Core Update ของ Google แน่นอนว่ากลยุทธ์หรือเทคนิคที่ใช้ได้ดีในปีที่แล้ว อาจใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปในปีนี้ สิ่งสำคัญคือต้องคอยติดตามเทรนด์และก้าวให้ทันการปรับเปลี่ยนเพื่อให้สบายใจได้ว่าเว็บไซต์ของคุณจะยังคงอยู่ในตำแหน่งที่ดีบนเสริ์ชเอนจิ้น ซึ่งวันนี้ Talka จะมาพูดถึงหนึ่งในกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการทำ SEO นั้นคือ Technical SEO ฉบับอัปเดตล่าสุดในปี 2025 ว่าเราควรเน้นจุดไหน และทำอย่างไร ถึงจะได้ผลลัพธ์ที่ดีในปีนี้ครับ
Technical SEO คืออะไร?

ทำความเข้าใจ Technical SEO คืออะไร?
Technical SEO คือ การปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงโครงสร้างและเทคนิค เพื่อให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีเป้าหมายหลักในการทำให้ Google Bot เข้ามาเก็บข้อมูลและจัดอันดับบน Search Engine ได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง การทำ Technical SEO จะช่วยให้โครงสร้างเว็บไซต์ของคุณมีความเป็นระเบียบ โหลดเร็ว ใช้งานได้อย่างลื่นไหล มีความปลอดภัยสูง และที่สำคัญคือทำให้ผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ดี
ทำไมต้องทำ Technical SEO

ทำไมต้องทำ Technical SEO
อย่างที่เกริ่นไปเบื้องต้น การทำ Technical SEO นั้นเป็นเทคนิคสำคัญ ที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบ และรวบรวมข้อมูลโดย Search Engine ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณได้รับการปรับให้เหมาะสมเพื่อให้เครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูล จัดทำดัชนี (Index) และจัดอันดับ (Ranking) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากไม่มีพื้นฐานทางเทคนิคที่มั่นคง แม้แต่คอนเทนต์ หรือ Backlink ที่ดีที่สุด ก็ไม่สามารถช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับได้ดี อย่างไรก็ตาม ต่อไปนี้ คือเหตุผลสำคัญที่คุณควรให้ความสำคัญกับ SEO ทางเทคนิคครับ
1. เพื่อการเก็บข้อมูลและจัดอันดับที่ถูกต้อง
การทำ Technical SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณถูกค้นพบและได้รับการจัดอันดับอย่างมีประสิทธิภาพโดยเสิร์ชเอนจิน โดยการปรับปรุงด้านเทคนิคต่างๆ ที่ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถ “อ่าน” และ “ทำความเข้าใจ” เว็บไซต์ของคุณได้ดีขึ้น กล่าวคือ Bot สามารถทำการ Crawling และ Indexing ข้อมูลจากเว็บไซต์ของคุณได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏในผลการค้นหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ เครื่องมือค้นหาต้อง ค้นพบ เข้าถึง และ ทำความเข้าใจ เนื้อหาของคุณได้ก่อนจึงจะสามารถจัดอันดับได้นั่นเอง
2. เพื่อความเร็วและประสิทธิภาพของเว็บไซต์
เว็บไซต์ที่โหลดได้เร็วย่อมมอบประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้ใช้ และช่วยลดอัตราการตีกลับ (Bounce Rate) ได้ ที่สำคัญ Google ยังถือว่าความเร็วในการโหลดหน้าเว็บเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญต่อการจัดอันดับอีกด้วย
3. เพื่อประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้ (UX)
SEO ทางเทคนิคส่งผลกระทบโดยตรงต่อประสบการณ์ผู้ใช้ ปัจจัยต่างๆ เช่น ความเร็วของไซต์ ความเป็นมิตรกับมือถือ และโครงสร้างไซต์ ล้วนมีส่วนช่วยให้ประสบการณ์การท่องเว็บราบรื่นและสนุกสนาน UX ที่เป็นบวกจะส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าเว็บไซต์ของคุณมีคุณค่าซึ่งสามารถเพิ่มอันดับของคุณได้
4. เพื่อความเป็นมิตรกับมือถือ
เนื่องจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่เข้าถึงเว็บไซต์ผ่านอุปกรณ์มือถือ การทำให้มั่นใจว่าเว็บไซต์ของคุณตอบสนองและเป็นมิตรกับมือถือจึงมีความจำเป็น Google ให้ความสำคัญกับการจัดทำดัชนีที่เน้นมือถือเป็นอันดับแรก หมายความว่า Google ใช้เวอร์ชันมือถือของเว็บไซต์ของคุณเป็นหลักในการจัดทำดัชนีและจัดอันดับ
5. รากฐานเพื่อความสำเร็จของ SEO ด้านอื่นๆ
SEO ทางเทคนิค เป็นรากฐานสำหรับกลยุทธ์ SEO ทั้ง SEO On-Page และ Off-Page แม้แต่เนื้อหาที่ดีที่สุดและความพยายามสร้างลิงก์ (Backlink) ก็จะมีประสิทธิภาพน้อยลงหากเว็บไซต์ของคุณมีปัญหาทางเทคนิคที่มาขัดขวางประสิทธิภาพ
6. เพื่อความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS)
การเข้ารหัส HTTPS ช่วยปกป้องข้อมูลของผู้ใช้และเป็นสัญญาณการจัดอันดับ การทำให้เว็บไซต์ของคุณใช้ HTTPS เป็นสิ่งสำคัญสำหรับทั้งความปลอดภัยและ SEO โดยเว็บไซต์ที่ไม่ปลอดภัยจะได้รับคำเตือนในเบราว์เซอร์
7. ข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง SEO ทางเทคนิค มักจะสร้างความแตกต่าง เช่น
- เพจที่มีอันดับสูงกว่าจะได้รับการคลิกมากกว่าอย่างไม่สมส่วน
- การปรับปรุง Core Web Vitals เพียงเล็กน้อยก็สามารถเพิ่มปริมาณการเข้าชมได้อย่างมาก
- การเพิ่มประสิทธิภาพทางเทคนิคมักจะนำเสนอโอกาสที่คู่แข่งมองข้าม
8. ประสิทธิภาพด้านต้นทุน
การปรับปรุง SEO ทางเทคนิคมักจะมีประโยชน์ในระยะยาว
- การตลาดเนื้อหา (Content Marketing) จำเป็นต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การแก้ไขทางเทคนิคหลายๆ อย่างมีมูลค่าถาวร
- การปรับปรุงความเร็ว และโครงสร้างของไซต์ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเนื้อหาทั้งหมด
- การแก้ไขปัญหาทางเทคนิค สามารถปลดล็อกศักยภาพในเนื้อหาที่มีอยู่ได้โดยไม่ต้องสร้างเนื้อหาใหม่
9. เพื่อการวิเคราะห์และการวัดผล
SEO ทางเทคนิครวมถึงการรับรองการวัดผลที่เหมาะสม ได้แก่
- การติดตามการใช้งานที่แม่นยำ : รับรองการตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลที่เชื่อถือได้
- การวิเคราะห์บันทึกเซิร์ฟเวอร์ : ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของโปรแกรมค้นหาจริง
- การตรวจสอบ Core Web Vitals : ติดตามเมตริกประสบการณ์ของผู้ใช้ในช่วงเวลาหนึ่ง
โดยภาพรวมแล้วเราจะเห็นได้ว่า SEO เชิงเทคนิคก็คือการทำให้แน่ใจว่าเว็บไซต์ของคุณมีความสมบูรณ์ทางเทคนิคนั่นเองครับ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลเหมือนการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับกลยุทธ์ SEO โดยรวมของเรา ช่วยให้เครื่องมือค้นหาสามารถรวบรวมข้อมูล จัดทำดัชนี และทำความเข้าใจเนื้อหาของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันก็มอบประสบการณ์การใช้งานที่ดีให้กับผู้ใช้ด้วย
Technical SEO 2025 ควรเน้นอะไร?

1. ปรับปรุง Core Web Vitals
Core Web Vitals เป็นปัจจัยสำคัญที่ Google ใช้ในการวัดประสิทธิภาพของเว็บไซต์ในปัจจุบัน มันประกอบด้วยสามส่วนหลัก LCP (Largest Contentful Paint), CLS (Cumulative Layout Shift), และ FID (First Input Delay)
- LCP (Largest Contentful Paint) : คือ เวลาที่ใช้ในการโหลดเนื้อหาส่วนใหญ่ของหน้าเว็บไซต์ ควรโหลดได้ภายใน 2.5 วินาที การปรับปรุง LCP สามารถทำได้โดยการลดขนาดไฟล์ภาพ, ใช้ CDN (Content Delivery Network), และปรับปรุงประสิทธิภาพของเซิร์ฟเวอร์
- CLS (Cumulative Layout Shift) : คือ ตัววัดความเสถียรของเนื้อหาเมื่อโหลดหน้าเว็บไซต์ ควรน้อยกว่า 0.1 การปรับปรุง CLS สามารถทำได้โดยการกำหนดขนาดของภาพ และวิดีโอล่วงหน้า และหลีกเลี่ยงการโหลดเนื้อหาที่อาจเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้า
- FID (First Input Delay) : คือ เวลาที่ผู้ใช้รอจนกว่าจะสามารถโต้ตอบกับเว็บไซต์ได้ ควรน้อยกว่า 100 มิลลิวินาที การปรับปรุง FID สามารถทำได้โดยการลดจำนวน JavaScript ที่ต้องโหลดและใช้เทคนิคการโหลดแบบ Lazy Loading
สุดท้ายแล้ว การปรับปรุง Core Web Vitals จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google
2. รองรับ Mobile-first Experience
ในปัจจุบัน ผู้ใช้จำนวนมากเข้าถึงเว็บไซต์ผ่านมือถือ ดังนั้นการออกแบบเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับมือถือจึงเป็นสิ่งสำคัญ การรองรับ Mobile-first Experience หมายถึง การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานได้ดีบนมือถือก่อน แล้วจึงปรับให้เหมาะสมกับอุปกรณ์อื่นๆ การปรับปรุง Mobile-first Experience สามารถทำได้โดยการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณสามารถใช้งานได้ดีบนมือถือหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการตรวจสอบว่าหน้าเว็บไซต์โหลดเร็วและใช้งานง่ายบนมือถือ เป็นต้น
3. ใช้ Structured Data (Schema Markup)
Structured Data หรือ Schema Markup เป็นรหัสที่คุณสามารถเพิ่มลงไปในเว็บไซต์เพื่อช่วยให้ Google เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น การใช้ Structured Data จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสแสดงผลใน Rich Snippets บนหน้า Search Engine ได้มากขึ้น ซึ่งจะดึงดูดผู้ใช้ให้เข้าชมเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น ตัวอย่างของ Structured Data ที่ใช้กันบ่อย ได้แก่ Schema สำหรับบทความ ร้านค้าและรีวิวสินค้า การใช้ Structured Data จะช่วยให้ Googlebot เข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับ
4. การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ (Silo-based Structure)
การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ให้ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการทำ SEO การใช้โครงสร้างแบบ Silo-based Structure หมายถึง การแบ่งเนื้อหาออกเป็นหมวดหมู่ที่ชัดเจนและเชื่อมโยงกันอย่างเหมาะสม การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์จะช่วยให้ผู้ใช้และ Googlebot เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายขึ้น และช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสติดอันดับบน Google ได้ดีขึ้น
5. การลดปัญหาการ Redirect และ Error Pages
การ Redirect จำนวนมากและการมีหน้า Error 404 หรือ 410 บนเว็บไซต์อาจใช้ Crawl Budget ของ Googlebot โดยไม่จำเป็น การลดจำนวนการ Redirect และกำจัดหน้า Error จะช่วยให้ Googlebot สามารถเข้าถึงและเก็บข้อมูลหน้าเว็บไซต์ที่สำคัญของคุณได้ดีขึ้น การปรับปรุงนี้สามารถทำได้โดยการตรวจสอบและแก้ไขการ Redirect ที่ไม่จำเป็น และสร้างหน้า Error 404 ที่มีประโยชน์สำหรับผู้ใช้
6. การปรับปรุงความปลอดภัยของเว็บไซต์ (HTTPS)
การใช้ HTTPS เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่จำเป็นสำหรับเว็บไซต์ในปัจจุบัน การปรับปรุงความปลอดภัยของเว็บไซต์โดยการเปลี่ยนจาก HTTP เป็น HTTPS จะช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจในการเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ และยังช่วยให้ Googlebot เข้าถึงและเก็บข้อมูลได้ดีขึ้นอีกด้วย การเปลี่ยนเป็น HTTPS ยังช่วยป้องกันการถูก Google ลดอันดับเนื่องจากความไม่ปลอดภัย
7. การเพิ่มประสิทธิภาพการโหลดภาพและวิดีโอ
การโหลดภาพและวิดีโอที่มีขนาดใหญ่จะทำให้เว็บไซต์ของคุณโหลดช้า การใช้ภาพและวิดีโอที่มีขนาดเหมาะสมจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณโหลดเร็วขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน การปรับปรุงนี้สามารถทำได้โดยการบีบอัดภาพและใช้เทคนิคการโหลดแบบ Lazy Loading สำหรับวิดีโอ
8. การปรับปรุงการเข้าถึงเว็บไซต์สำหรับผู้พิการ (Accessibility)
การออกแบบเว็บไซต์ที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคนไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้เท่านั้น แต่ยังช่วยลดความเสี่ยงทางกฎหมายอีกด้วย การปรับปรุงการเข้าถึงเว็บไซต์สามารถทำได้โดยการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ของคุณตรงตามมาตรฐาน WCAG 2.1 หรือ Web Content Accessibility Guidelines ซึ่งการปรับปรุงนี้รวมถึงการเพิ่มคำอธิบายภาพสำหรับคนตาบอด การใช้สี และขนาดตัวอักษรที่เหมาะสม และการตรวจสอบว่าเว็บไซต์ใช้งานได้ดีบนอุปกรณ์ช่วยเหลือต่างๆ
9. การปรับปรุงการทำงานของ XML Sitemap และ Robots.txt
XML Sitemap และ Robots.txt เป็นไฟล์ที่ช่วยให้ Googlebot เข้าถึงและเข้าใจเนื้อหาของคุณได้ดีขึ้น การปรับปรุง XML Sitemap ก็เพื่อให้แน่ใจว่าคุณมีหน้าเว็บไซต์ที่สำคัญทั้งหมด ส่วนการปรับปรุง Robots.txt ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าถึงหน้าที่ไม่จำเป็น ซึ่งจะช่วยให้ Googlebot สามารถเก็บข้อมูลเป็นเว็บไซต์ของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งการปรับปรุงนี้สามารถทำได้โดยการตรวจสอบและอัปเดต XML Sitemap เป็นประจำ และตรวจสอบว่า Robots.txt ไม่บล็อกหน้าที่สำคัญของคุณ
10. ตรวจสอบและปรับปรุงประสิทธิภาพ
การใช้เครื่องมือวิเคราะห์อย่าง Google Search Console และ Google Analytics จะช่วยให้คุณติดตามประสิทธิภาพของเว็บไซต์และปรับปรุงให้ดีขึ้น การตรวจสอบข้อมูลการเข้าชม การค้นหา และปัญหาการ Crawl จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าควรปรับปรุงส่วนไหนของเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การปรับปรุงนี้สามารถทำได้โดยการตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอและนำไปใช้ในการปรับปรุงเว็บไซต์ให้ดีขึ้นการเน้นในเทคนิคในด้านต่างๆ เหล่านี้จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google