เข้าใจ Soft Branding กลยุทธ์สร้างแบรนด์แบบนุ่มนวล แต่ทรงพลัง!

Soft Branding

ในยุคที่ผู้บริโภคไม่ได้ซื้อแค่ “สินค้า” แต่ซื้อ “ความรู้สึก” และ “คุณค่า” ที่แบรนด์มอบให้ การทำแบรนด์แบบแข็งทื่อ หรือโหมโฆษณาหนักอาจไม่ใช่คำตอบอีกต่อไป วันนี้โลกของการตลาดได้เปลี่ยนไปสู่แนวทางที่เน้นความสัมพันธ์ ความจริงใจ และความเข้าใจผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น ซึ่งนำไปสู่หนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังและมาแรงมากในยุคนี้ นั่นคือ Soft Branding วันนี้ Talka จะพาคุณไปเจาะลึกว่ากลยุทธ์นี้คืออะไร? มีหลักการทำงานอย่างไร? ต่างจาก Hard Branding ยังไง? และจะใช้ให้เกิดผลในเชิงกลยุทธ์ได้อย่างไรในโลกธุรกิจปัจจุบันครับ 

Soft Branding คืออะไร?

กลยุทธ์ Soft Branding คืออะไร?

Soft Branding คือ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์ที่เน้นการเชื่อมโยงทางอารมณ์ สร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง และสื่อสารคุณค่าที่แท้จริงระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค โดยไม่มุ่งเน้นการขายอย่างตรงไปตรงมาหรือใช้การโฆษณาเชิงรุกที่อาจรบกวนจิตใจผู้ชม กลยุทธ์นี้มุ่งสร้าง “ความรู้สึกดี” และความทรงจำที่มีคุณค่าต่อแบรนด์ในระยะยาว ผ่านการสื่อสารที่นุ่มนวล ละมุนละไม และเต็มไปด้วยความเข้าใจในตัวตนของผู้บริโภค แทนที่จะใช้เสียงตะโกนบอกว่าผลิตภัณฑ์ของตนดีกว่าใคร แต่กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล เลือกที่จะ “พูดเบาๆ แต่ชัดเจน” ผ่านประสบการณ์ การเล่าเรื่อง และการสื่อสารที่มีความหมายโดยเน้นการถ่ายทอดอัตลักษณ์ของแบรนด์ผ่านสิ่งที่จับต้องได้และไม่ได้ เช่น ค่านิยมขององค์กร บรรยากาศของร้าน สี โลโก้ กลิ่น เพลง หรือแม้แต่แนวคิดที่แบรนด์ยึดถือนั่นเอง

กล่าวให้เข้าใจง่าย Soft Branding คือ การ “สร้างแบรนด์ด้วยหัวใจ” มากกว่าการ “สร้างแบรนด์ด้วยเสียงตะโกน” เป็นการทำให้ผู้คน รู้สึก มากกว่าการทำให้ รู้ว่า แบรนด์ขายอะไร โดยผลลัพธ์ของกลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลที่แท้จริง คือ ความสัมพันธ์ระยะยาว และความภักดี (Brand Loyalty) ที่ฝังลึกลงในใจผู้บริโภค ไม่ใช่แค่การตัดสินใจซื้อเพียงครั้งเดียว เราอาจกล่าวได้ว่ากลยุทธ์นี้เหมาะกับยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับคุณค่าภายในของแบรนด์ และต้องการรู้สึกว่าแบรนด์ที่เขาเลือกนั้น “เข้าใจ” และ “แบ่งปัน” ความเชื่อเดียวกันมากกว่าการเห็นแค่ส่วนลดหรือโปรโมชั่นทางการตลาดเพียงชั่วคราว

ตัวอย่างแบรนด์ที่ใช้กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลที่เห็นได้ชัดในปัจจุบัน เช่น Starbucks “ไม่ได้ขายกาแฟ” แต่ขาย “ประสบการณ์” ของ Third Place (สถานที่ที่ไม่ใช่บ้านและที่ทำงาน) Muji ที่ไม่เน้นโลโก้ หรือคำโฆษณา แต่ขาย “ความเรียบง่าย” และ “ความเงียบ” Airbnb ใช้คำว่า “Belong Anywhere” เพื่อบอกว่าแบรนด์ของพวกเขา คือบ้านของทุกคนทั่วโลก เป็นต้น

Soft Branding vs Hard Branding

Soft Branding vs Hard Branding

Soft Branding vs Hard Branding

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่ากลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล คือ แนวทางการสร้างแบรนด์ที่เน้น “ความรู้สึก” “อารมณ์” และ “การเชื่อมโยงทางจิตใจ” ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค มักแฝงตัวอยู่ในประสบการณ์ ความประทับใจ และคุณค่าทางวัฒนธรรม ตัวแบรนด์อาจไม่ต้องตะโกนเสียงดังว่าตนคือใคร แต่ค่อย ๆ สื่อสารผ่านความรู้สึกแบบนุ่มนวล (subtle) จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคอย่างแนบเนียนในขณะที่ Hard Branding เป็นการสร้างแบรนด์แบบชัดเจน เน้นจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ การสื่อสารตรงไปตรงมา ใช้โลโก้ สี เสียง และคีย์แมสเสจ (Key Message) แบบตอกย้ำซ้ำๆ เพื่อสร้างการจดจำแบบรวดเร็ว โดยไม่เปิดโอกาสให้เกิดความคลุมเครือใด ๆ ว่าแบรนด์นี้เสนออะไร ขายอะไร และแตกต่างอย่างไรจากคู่แข่ง

1. จุดเน้นของการสื่อสารแบรนด์

Hard Branding จะมุ่งเน้นที่การ “บอกให้รู้” เช่น ใช้โฆษณาที่เน้นประโยชน์ของสินค้า โลโก้เด่นชัด มีสโลแกนติดหู และพูดซ้ำเพื่อให้เกิดการจดจำ เช่น Coca-Cola ใช้สีแดงฉูดฉาด โลโก้ใหญ่ และคำว่า “เปิดความสุข” ที่ตอกย้ำอารมณ์แห่งความสุขชัดเจนมาก กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล มักเลือกวิธี “ทำให้รู้สึก” แทน เช่น แบรนด์แฟชั่นอย่าง Aesop หรือ Muji ที่ไม่ค่อยโฆษณาโดยตรง แต่ใช้ประสบการณ์ ความเรียบง่าย และความสวยงามเชิงสุนทรียภาพสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างลึกซึ้งและยาวนาน

2. ระยะเวลาในการสร้างแบรนด์

Hard Branding เหมาะกับการสร้างการจดจำในระยะสั้น-กลาง โดยเฉพาะในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เช่น ตลาดเครื่องดื่ม ยาสีฟัน หรือสินค้าอุปโภคบริโภค เพราะเน้น “Top of Mind” ให้คนจำแบรนด์ได้ทันทีในเวลาสั้น ๆกลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ต้องอาศัยเวลาและความต่อเนื่องในการสื่อสาร แต่เมื่อความสัมพันธ์ถูกปลูกฝังสำเร็จแล้ว จะกลายเป็นความจงรักภักดี (Brand Loyalty) ที่แข็งแรงกว่าในระยะยาว เช่น ลูกค้าที่ใช้ Apple อาจเริ่มจาก iPhone แต่สุดท้ายก็ใช้ทั้ง Mac, iPad, Apple Watch เพราะชื่นชมตัวตนของแบรนด์ ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์

3. การสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค

Hard Branding มุ่งเน้นให้แบรนด์ “เป็นที่รู้จัก” และ “ชัดเจน” ในขณะที่กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลมุ่งเน้นให้แบรนด์ “เป็นที่รัก” และ “ใกล้ชิด” มากกว่า ตัวอย่างเช่น Hard Branding ของ Nike มักใช้สโลแกน “Just Do It” พร้อมภาพนักกีฬากำลังเอาชนะขีดจำกัด ในขณะที่ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลของแบรนด์อย่าง Patagonia จะเน้นเรื่อง “จริยธรรม” “สิ่งแวดล้อม” และ “ความยั่งยืน” จนลูกค้าไม่ใช่แค่ซื้อเสื้อกันหนาวแต่รู้สึกว่าตนได้เป็นส่วนหนึ่งของการดูแลโลก เป็นต้น

4. วิธีการใช้สื่อและช่องทางการสื่อสาร

Hard Branding ใช้สื่อแบบดั้งเดิม เช่น โทรทัศน์ ป้ายโฆษณา และการตลาดแบบ Push ที่ผลักแบรนด์เข้าไปในสายตาผู้บริโภค กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลมักใช้ Social Media, Content Marketing, Storytelling, Event หรือ Influencer Marketing ที่เน้นการมีส่วนร่วมและสร้างประสบการณ์ร่วม เช่น การที่ IKEA จัดอีเวนต์ให้ลูกค้าสามารถทดลอง “ใช้ชีวิต” ในห้องตัวอย่าง ไม่ใช่แค่ขายเฟอร์นิเจอร์

5. การออกแบบแบรนด์

Hard Branding มักออกแบบแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์ชัดเจน เช่น โลโก้เด่น สีสันตายตัว ฟอนต์เฉพาะ และเสียงประกอบที่จำได้ทันที กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลจะยืดหยุ่นกว่าในการออกแบบ โดยเน้นความกลมกลืน และความรู้สึกที่แบรนด์ให้มากกว่าสัญลักษณ์ เช่น แบรนด์แฟชั่นอย่าง COS หรือ Everlane ที่ใช้โทนสีเรียบง่ายเน้นการออกแบบที่สะท้อนคุณค่าแทนคำพูด

6. เป้าหมายสุดท้ายของแต่ละแนวทาง

Hard Branding ต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจน เช่น ยอดขาย จำนวนคลิก หรืออัตราการรับรู้แบรนด์ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ต้องการสร้าง “ความสัมพันธ์ระยะยาว” และ “ความหมายร่วม” ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ซึ่งอาจวัดผลได้ยากกว่า แต่มีพลังในการผลักดันให้เกิดความภักดีและการบอกต่อในระยะยาว 

องค์ประกอบหลักของ Soft Branding

องค์ประกอบหลักของ Soft Branding

การสร้างแบรนด์ในแนวทาง กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ไม่ได้อาศัยแค่เพียงภาพลักษณ์สวยงามหรือคำโฆษณาไพเราะ แต่ต้องประกอบด้วยองค์ประกอบหลายด้านที่ทำงานร่วมกันอย่างกลมกลืน เพื่อสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง ซึ่งองค์ประกอบหลักที่สำคัญ ได้แก่

1. Brand Personality (บุคลิกภาพของแบรนด์)

บุคลิกภาพของแบรนด์คือ “ท่าที” หรือ “น้ำเสียง” ที่แบรนด์ใช้สื่อสารกับผู้บริโภค เป็นเหมือนตัวตนที่จับต้องได้ของแบรนด์ในโลกของความรู้สึก กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล จะไม่สื่อสารแบบเป็นทางการหรือก้าวร้าว แต่จะมีบุคลิกที่ชัดเจนและเป็นมิตร เช่น แบรนด์ที่พูดกับลูกค้าเหมือนเพื่อน พูดจานุ่มนวล มีอารมณ์ขัน หรือสร้างแรงบันดาลใจตัวอย่างเช่น แบรนด์เครื่องสำอางที่ใช้ภาษาธรรมชาติ เป็นกันเอง ไม่เน้นขายของ แต่พูดเรื่องการรักตัวเอง พูดเหมือนคนให้กำลังใจเพื่อน ทำให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจและไว้วางใจ กลายเป็นการสร้างภาพลักษณ์เชิงบวกโดยไม่ต้องพูดคำว่า “ซื้อเลยตอนนี้” บุคลิกภาพที่ดีจะช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกว่าแบรนด์มีชีวิต มีตัวตน และสามารถเชื่อมโยงด้วยได้ในระดับที่ลึกกว่าเรื่องสินค้า

2. Brand Story (เรื่องราวของแบรนด์)

แบรนด์ที่ดีในแนวทางของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล มักมี “เรื่องราว” (Brand Story) ที่จับใจ และสามารถเล่าออกมาได้อย่างจริงใจ เรื่องราวเหล่านี้มักเป็นที่มาของแบรนด์ ความตั้งใจเบื้องหลังหรืออุปสรรคที่แบรนด์ก้าวผ่านมาได้ ไม่จำเป็นต้องยิ่งใหญ่หรือดราม่า แต่อย่างน้อยควรมีความเป็นมนุษย์และจริงใจ เช่น แบรนด์ที่เริ่มต้นจากคนธรรมดา แต่มีความฝันอยากเปลี่ยนโลก หรือเริ่มต้นเพราะอยากดูแลครอบครัว เรื่องราวเหล่านี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกเชื่อมโยงและอยากสนับสนุนแบรนด์มากกว่าที่จะมองว่าเป็นแค่ “ธุรกิจหนึ่ง” เพราะผู้คนไม่เพียงซื้อสินค้า แต่พวกเขาซื้อความเชื่อ ความตั้งใจ และแรงบันดาลใจที่อยู่เบื้องหลังสินค้านั้น

3. Emotional Touchpoint (จุดสัมผัสทางอารมณ์)

กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ให้ความสำคัญกับ “ทุกจุดสัมผัส” ที่ผู้บริโภคมีโอกาสได้พบเจอแบรนด์ โดยจุดเหล่านี้ควรออกแบบมาให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกที่ดี เช่น บรรยากาศของร้านที่อบอุ่นเป็นกันเอง โทนเสียงของแอดมินที่ตอบอย่างจริงใจดูเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่แค่ตอบตามสคริปต์ แพ็กเกจจิ้ง ที่ใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ เช่น การ์ดเขียนมือ คำขอบคุณ หรือกลิ่นหอมเบาๆ เว็บหรือโซเชียลมีเดีย ที่ให้ความรู้สึกเหมือนเข้ามาคุยกับคน ไม่ใช่เจอแต่โพสต์ขายของ เมื่อแบรนด์สามารถทำให้แต่ละจุดสัมผัสกลายเป็น “ช่วงเวลาแห่งความรู้สึกดี” ได้บ่อยครั้งขึ้นก็จะเกิดการจดจำและผูกพันในระยะยาวโดยที่ลูกค้าไม่รู้ตัว

4. Brand Value (คุณค่าที่แบรนด์ยึดถือ)

กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ไม่ได้เน้นแค่ “ขายสินค้า” แต่ต้องสื่อให้เห็นถึง “คุณค่า” หรือ “ความเชื่อ” ที่แบรนด์ยึดถือจริงๆ ซึ่งคุณค่าเหล่านี้จะกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคสามารถสะท้อนตนเองและรู้สึกว่า “นี่คือแบรนด์ที่เหมือนกับเรา” เช่น แบรนด์ที่ให้ความสำคัญกับ ความยั่งยืน ใช้วัสดุรีไซเคิล หรือสนับสนุนสินค้าท้องถิ่น แบรนด์ที่ยืนหยัดเพื่อ ความเท่าเทียม เช่น ไม่แบ่งแยกเพศ เชื้อชาติ หรือฐานะ แบรนด์ที่สนับสนุนความเป็นธรรม เช่น ไม่เอาเปรียบแรงงาน ไม่ทดลองกับสัตว์ เมื่อคุณค่าของแบรนด์ตรงกับความเชื่อของผู้บริโภค การเชื่อมต่อจะเกิดขึ้นเองอย่างเป็นธรรมชาติและลูกค้ายินดีจะสนับสนุนแม้สินค้าอาจมีราคาสูงกว่าคู่แข่ง เพราะรู้สึกว่านี่คือ “การเลือกแบรนด์ที่มีจิตวิญญาณ” 

5. Community Engagement (การมีส่วนร่วมของชุมชน)

กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล มองว่าลูกค้าไม่ใช่แค่ผู้ซื้อ แต่คือสมาชิกใน “ชุมชน” ที่แบรนด์สร้างขึ้น ดังนั้น การมีปฏิสัมพันธ์ที่จริงใจและต่อเนื่องกับกลุ่มเป้าหมายจึงเป็นสิ่งสำคัญ เช่น การ จัดกิจกรรมร่วมกับลูกค้า เช่น งานเวิร์กช็อป การพูดคุย หรือแม้แต่กิจกรรมออนไลน์เล็กๆ ที่ทำให้คนรู้สึกเป็นส่วนหนึ่ง การแชร์เรื่องราวของลูกค้าบนช่องทางของแบรนด์ เช่น รีวิวจริง ประสบการณ์การใช้งาน หรือแรงบันดาลใจจากลูกค้า การเปิดพื้นที่ให้ผู้ติดตามมีส่วนร่วม เช่น ตั้งคำถาม รับฟังความคิดเห็น หรือให้ลูกค้าออกแบบสินค้า/โหวตไอเดีย Community Engagement ช่วยให้แบรนด์มีชีวิตชีวาและใกล้ชิดกับผู้คนมากยิ่งขึ้น เป็นการสร้างความรู้สึกว่า “เราโตไปด้วยกัน” ซึ่งเป็นหัวใจของ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลโดยแท้จริง

ข้อดีของ Soft Branding ที่ไม่ควรมองข้าม

ข้อดีของ Soft Branding ที่ไม่ควรมองข้าม

ความสำคัญของการเล่าเรื่องแบรนด์นั้นไม่สามารถพูดเกินจริงได้ ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน การเล่าเรื่องเป็นกลยุทธ์สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการสร้างความแตกต่าง เชื่อมโยงกับผู้บริโภค และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน ต่อไปนี้คือการสำรวจเชิงลึกว่าทำไมการเล่าเรื่องแบรนด์จึงมีความสำคัญต่อความสำเร็จ

1. สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์

เหตุผลหลักประการหนึ่งที่การเล่าเรื่องแบรนด์มีความสำคัญคือความสามารถในการสร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์ระหว่างแบรนด์และกลุ่มเป้าหมาย เรื่องราวจะสะท้อนถึงระดับส่วนบุคคล ทำให้ผู้บริโภคสามารถเชื่อมโยงประสบการณ์และอารมณ์ของตนกับเรื่องราวที่นำเสนอ เมื่อแบรนด์แบ่งปันการเดินทาง ค่านิยม หรือความท้าทายของตนเอง แบรนด์จะเชิญชวนลูกค้าเข้าสู่โลกของแบรนด์ ส่งเสริมความเห็นอกเห็นใจและความภักดี การมีส่วนร่วมทางอารมณ์นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมการสนับสนุนด้วย เนื่องจากผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะสนับสนุนแบรนด์ที่พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงด้วย

2. สร้างความแตกต่างในตลาดที่มีการแข่งขันสูง

ในยุคที่ผู้บริโภคถูกถาโถมด้วยข้อความทางการตลาดจากแบรนด์ต่างๆ มากมาย การโดดเด่นจึงมีความสำคัญมากกว่าที่เคย เรื่องราวของแบรนด์ที่น่าสนใจจะสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ทำให้ธุรกิจแตกต่างจากคู่แข่ง การเน้นย้ำถึงสิ่งที่ทำให้แบรนด์มีความพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นที่มา ภารกิจ หรือความท้าทายที่แบรนด์ต้องเผชิญ เรื่องราวที่สร้างสรรค์อย่างดีจะช่วยสร้างความประทับใจที่น่าจดจำซึ่งจะคงอยู่ในใจของผู้บริโภคไปอีกนานแม้จะพบกับแบรนด์แล้วก็ตาม ความแตกต่างนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดึงดูดความสนใจและกระตุ้นความสนใจของผู้บริโภค

3. สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ

ความไว้วางใจเป็นรากฐานสำคัญของความสัมพันธ์ที่ประสบความสำเร็จ รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค การเล่าเรื่องแบรนด์ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยนำเสนอความโปร่งใสเกี่ยวกับค่านิยมและความเชื่อของแบรนด์ เมื่อบริษัทต่างๆ แบ่งปันเรื่องราวที่แท้จริงเกี่ยวกับประวัติ การต่อสู้ และความสำเร็จของตน บริษัทต่างๆ จะให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตัวตนของลูกค้า ความเปิดกว้างนี้ช่วยส่งเสริมความไว้วางใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความภักดีในระยะยาวและการทำธุรกิจซ้ำ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะเลือกแบรนด์ที่ไว้วางใจมากกว่าแบรนด์ที่ไม่ดึงดูดความสนใจของพวกเขาด้วยอารมณ์หรือความแท้จริง

4. เพิ่มการรับรู้แบรนด์

เรื่องราวของแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพสามารถเพิ่มการรับรู้แบรนด์ได้อย่างมาก เมื่อผู้บริโภครู้สึกถึงความประทับใจกับเรื่องราว พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะจดจำเรื่องราวนั้นและแบ่งปันกับผู้อื่น การตลาดแบบปากต่อปากสามารถขยายการเข้าถึงและการมองเห็น ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักมากขึ้นในตลาด นอกจากนี้ เรื่องราวต่างๆ มักจะจดจำได้ง่ายกว่าข้อเท็จจริงหรือสถิติ มีการวิจัยแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวต่างๆ สามารถจดจำได้มากกว่าข้อมูลเพียงจุดเดียวถึง 22 เท่า

5. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน

การเล่าเรื่องแบรนด์สร้างโอกาสในการสร้างชุมชนขึ้นจากค่านิยมและประสบการณ์ร่วมกัน เมื่อลูกค้ามีส่วนร่วมกับเรื่องราวของแบรนด์ พวกเขามักจะรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนที่ใหญ่กว่าซึ่งมีอุดมคติที่คล้ายคลึงกัน ความรู้สึกถึงชุมชนนี้สามารถเพิ่มความภักดีของลูกค้าได้ เนื่องจากลูกค้าแต่ละคนกลายมาเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ภายในวงสังคมของตน ลูกค้าที่มีส่วนร่วมมีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในการอภิปรายเกี่ยวกับแบรนด์และมีส่วนสนับสนุนเนื้อหาที่ผู้ใช้สร้างขึ้นซึ่งจะช่วยเสริมเรื่องราวของแบรนด์ให้เข้มข้นยิ่งขึ้น

6. ขับเคลื่อนยอดขายและรายได้

ในท้ายที่สุด การเล่าเรื่องแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพสามารถนำไปสู่ยอดขายและรายได้ที่เพิ่มขึ้น เมื่อผู้บริโภครู้สึกผูกพันทางอารมณ์กับเรื่องราวของแบรนด์ พวกเขามักจะเต็มใจจ่ายเงินมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น มูลค่าที่รับรู้ของข้อเสนอจะเพิ่มขึ้นเมื่อลูกค้าเชื่อว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่มีความหมายหรือมีผลกระทบ ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องเล่าที่น่าสนใจสามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคดำเนินการได้ ไม่ว่านั่นจะหมายถึงการซื้อสินค้าหรือการแบ่งปันเรื่องราวดังกล่าวกับผู้อื่นก็ตาม

ความท้าทายของกลยุทธ์ Soft Branding

แม้จะดูเหมือนเป็นแนวทางที่น่าสนใจและเหมาะกับยุคปัจจุบันที่ผู้บริโภคต้องการความจริงใจและความเป็นมนุษย์จากแบรนด์ แต่อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติกลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล อาจมีความท้าทายที่ซับซ้อนและละเอียดอ่อนมากกว่าที่คิด ซึ่งหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญ คือ การสร้างสมดุลระหว่างการ “ไม่เน้นขาย” กับการ “ยังต้องขาย” เพราะแม้แบรนด์จะเลือกที่จะสื่อสารแบบอ้อมๆ ไม่บุกจู่โจมหรือไม่พูดถึงสินค้าโดยตรง แต่สุดท้ายแล้วจุดมุ่งหมายของการทำธุรกิจก็คือ การเพิ่มยอดขายและสร้างรายได้ หากแบรนด์ไม่สามารถแปลงการรับรู้ทางบวกให้กลายเป็นพฤติกรรมการซื้อได้จริง กลยุทธ์นี้ก็อาจกลายเป็นเพียงการสร้างภาพลักษณ์ที่สวยงามแต่ไม่สร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างเป็นรูปธรรมได้

อีกประเด็นที่ยากไม่แพ้กัน คือการควบคุมทิศทางของแบรนด์ เพราะ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล เปิดพื้นที่ให้ผู้บริโภคมีบทบาทในการนิยามแบรนด์มากขึ้น แบรนด์จึงต้องยอมให้ตัวเอง “ไหลไปกับบริบท” ในขณะที่ก็ยังต้องรักษาแกนกลางของอัตลักษณ์เอาไว้ให้ชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับ โดยเฉพาะในยุคที่สื่อกระจายไปในหลายช่องทาง และผู้บริโภคมีพลังในการตั้งคำถามหรือแม้แต่กำหนดทิศทางของบทสนทนาเกี่ยวกับแบรนด์ได้เอง ดังนั้นการวางโทนเสียง ภาษาที่ใช้ และเนื้อหาที่สื่อสารต้องมีความยืดหยุ่นแต่ยังต้องสอดคล้องกับแก่นแบรนด์อย่างต่อเนื่อง การรักษาความกลมกลืนนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องใช้ทั้งวิสัยทัศน์และทักษะทางการตลาดระดับสูงนอกจากนี้ ยังต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับผู้บริโภคอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่รู้ว่ากลุ่มเป้าหมายคือใคร แต่ต้องเข้าใจแรงขับเคลื่อนทางอารมณ์ แรงจูงใจ และบริบททางสังคมที่ผู้บริโภคเหล่านั้นกำลังเผชิญอยู่ด้วย เช่น ความคาดหวัง ความฝัน ความกังวล หรือแม้แต่เทรนด์วัฒนธรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งการทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้การวิจัย การฟังเสียงผู้บริโภค และการทดลองเชิงสร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจต้องใช้ทั้งเวลาและทรัพยากรอย่างมาก อีกทั้งผลลัพธ์จากกลยุทธ์นี้มักไม่แสดงออกในรูปแบบตัวเลขที่ชัดเจนในทันที ด้วยเหตุนี้อาจทำให้บางองค์กร โดยเฉพาะองค์กรที่เน้นผลตอบแทนในระยะสั้น อาจรู้สึกว่าแนวทางนี้ “ไม่คุ้มค่า” หรือ “วัดผลยาก”ดังนั้นในภาพรวม กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล จึงไม่ใช่เพียงการลดระดับความรุนแรงในการสื่อสารแบรนด์เท่านั้น

แต่เป็นการเปลี่ยนมุมมองเชิงกลยุทธ์อย่างลึกซึ้งที่ต้องอาศัยความเข้าใจ ความยืดหยุ่น และความสม่ำเสมอในการสื่อสารในระดับที่สูงมาก และแม้จะเป็นแนวทางที่มีพลังมหาศาลในการสร้างความผูกพันและความไว้วางใจระยะยาวกับลูกค้า แต่ความท้าทายในการวางแผน การดำเนินการ และการวัดผลก็เป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

5 วิธี สร้างกลยุทธ์ Soft Branding ให้สำเร็จ

5 วิธีสร้างกลยุทธ์ Soft Branding ให้สำเร็จ
แม้ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล จะดูเป็นแนวทางที่อ่อนโยนและไม่รุกหนัก แต่การจะทำให้ได้ผลจริงนั้นต้องอาศัย “กลยุทธ์” และ “ความตั้งใจในทุกรายละเอียด” เพื่อให้การสร้างแบรนด์ด้วยความรู้สึกและคุณค่าที่ลึกซึ้งกลายเป็นพลังที่ขับเคลื่อนความภักดีของลูกค้าในระยะยาวได้ โดยวิธีที่จะช่วยให้กลยุทธ์ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ประสบความสำเร็จได้จริง มีดังต่อไปนี้ครับ
 

1. ใช้ Content Marketing อย่างมีกลยุทธ์

การสื่อสารผ่านคอนเทนต์ คือหัวใจหลักของการสร้างแบรนด์แบบนุ่มนวล เพราะเป็นวิธีที่แบรนด์สามารถถ่ายทอดตัวตน แนวคิด และคุณค่าได้อย่างไม่ต้องเร่งขาย การทำ Content Marketing ที่มีประสิทธิภาพในแนวทาง กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ต้อง ไม่เน้นการขายโดยตรง แต่เน้น การให้คุณค่า เช่น การเขียนบทความให้ความรู้ หรือแชร์แนวคิดที่สร้างแรงบันดาลใจ วิดีโอเล่าเรื่องราวที่ผู้คนดูแล้วรู้สึก “อิน” หรือ “ได้แง่คิด” โพสต์บนโซเชียลมีเดียที่ตั้งคำถาม ทิ้งข้อคิด หรือชวนให้คนแชร์ประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น แบรนด์ที่จำหน่ายอุปกรณ์ออกกำลังกาย อาจไม่โพสต์แค่รูปสินค้า แต่เลือกเขียนบล็อกเรื่อง “แรงบันดาลใจของคนที่เคยหมดกำลังใจแต่ลุกขึ้นมาออกกำลังกายอีกครั้ง” ซึ่งคอนเทนต์ลักษณะนี้สามารถสร้างการเชื่อมต่อทางอารมณ์ได้มากกว่าการโฆษณาตรงๆ หลายเท่า

 

2. พัฒนา Brand Voice ให้ชัดเจน

“เสียงของแบรนด์” (Brand Voice) คือ วิธีที่แบรนด์สื่อสารกับผู้บริโภคทั้งในเชิงถ้อยคำและน้ำเสียง ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ซึ่ง Brand Voice ที่ดีจะต้องสะท้อนบุคลิกภาพของแบรนด์อย่างชัดเจน ใช้คำและโทนที่ “ตรงกับความรู้สึกที่ต้องการสื่อ” มีความสม่ำเสมอในทุกช่องทาง เช่น เว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย แพคเกจจิ้ง หรือแม้แต่คำตอบแชท เช่น หากแบรนด์ต้องการสร้างภาพลักษณ์ที่อบอุ่น จริงใจ และเข้าถึงง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงคำพูดที่ดูเป็นทางการหรือเย็นชาจนเกินไป แต่ควรใช้ถ้อยคำธรรมดาที่ฟังดูเป็นกันเอง เช่น “สวัสดีค่า ขอบคุณที่แวะมานะคะ” แทน “เรียนคุณลูกค้า ทางเราขอแจ้งให้ทราบว่า…” เป็นต้น  การมี Brand Voice ที่ชัดจะช่วยให้แบรนด์มี “ตัวตน” ที่เป็นเอกลักษณ์ และสร้างความจดจำในใจลูกค้าได้มากขึ้นในระยะยาว

 

3. สร้างประสบการณ์ที่น่าจดจำในทุกรายละเอียด

กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ไม่ได้อยู่แค่ในคอนเทนต์หรือคำพูด แต่แทรกซึมอยู่ใน “ประสบการณ์” ที่ผู้บริโภคมีต่อแบรนด์ ตั้งแต่ก่อนซื้อ ระหว่างซื้อ และหลังการซื้อ แบรนด์สามารถสร้างความรู้สึกที่ดีในจุดเล็กๆ ได้ เช่น แพ็กเกจจิ้งที่ประณีต มีความใส่ใจ เช่น การ์ดคำขอบคุณที่เขียนด้วยลายมือหรือกล่องที่มีกลิ่นหอมเฉพาะ การตอบแชทหรือคอมเมนต์ ที่ไม่ใช่แค่การให้ข้อมูล แต่แสดงความเอาใจใส่ เช่น การเรียกชื่อลูกค้า การตอบด้วยอิโมจิน่ารักๆ การจัดส่งสินค้า ที่รวดเร็ว พร้อมบริการติดตามผลแบบไม่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเหมือน “ถูกทิ้ง” เมื่อแบรนด์ใส่ใจประสบการณ์เหล่านี้อย่างจริงใจ ก็จะสามารถสร้าง “ความรู้สึกดี” ที่อยู่เหนือความคาดหวังของลูกค้าได้ และสิ่งนี้เองที่ทำให้ลูกค้ากลายเป็นแฟนประจำของแบรนด์โดยไม่ต้องมีการโปรโมชัน

 

4. ใช้ UGC (User-Generated Content) อย่างชาญฉลาด

UGC หรือคอนเทนต์ที่ผู้ใช้งานสร้างขึ้นเอง เช่น รีวิว รูปภาพ การพูดถึงแบรนด์ในโซเชียล เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทรงพลังที่สุดในกลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวลเพราะ “ลูกค้าพูดถึงแบรนด์ด้วยหัวใจของตัวเอง” ซึ่งมีน้ำหนักและความจริงใจมากกว่าคำพูดจากแบรนด์เอง ตัวอย่างของการใช้ UGC ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น  เชิญชวนลูกค้าถ่ายภาพตอนใช้สินค้าและติดแฮชแท็กเฉพาะ แชร์รีวิวที่ลูกค้าโพสต์บน IG Story หรือหน้าเพจ สร้างแคมเปญที่ชวนให้ลูกค้าเล่าเรื่องราว เช่น “#เพราะสิ่งเล็กๆก็สำคัญ” แล้วเลือกบางเรื่องมาโพสต์ต่อ UGC ไม่เพียงสร้างความน่าเชื่อถือ แต่ยังสะท้อนว่าแบรนด์ “รับฟังและให้คุณค่า” กับลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจของ Soft Branding อย่างแท้จริง

 

5. สื่อสารผ่าน Influencer ที่มี Alignment กับแบรนด์

การใช้ Influencer เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ช่วยเสริมพลังของ กลยุทธ์สร้างแบรนด์อย่างนุ่มนวล ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องเลือก Influencer ที่ สอดคล้องกับตัวตนและคุณค่าของแบรนด์ (ไม่ใช่แค่คนดังหรือมีผู้ติดตามเยอะ) แบรนด์ควรพิจารณา Influencer ที่มีไลฟ์สไตล์ แนวคิด หรือบุคลิกภาพที่ “เป็นธรรมชาติ” กับแบรนด์ เช่น แบรนด์เสื้อผ้าสายมินิมอล ควรเลือก Influencer ที่ชอบไลฟ์สไตล์เรียบง่ายมีความเป็นตัวของตัวเอง แบรนด์อาหารเพื่อสุขภาพ ควรเลือก Influencer ที่มีแนวคิดรักสุขภาพแบบไม่เคร่งครัดหรือตึงจนเกินไป เมื่อ Influencer ถ่ายทอดแบรนด์ในแบบที่กลมกลืนกับชีวิตเขาจริงๆ ผู้ติดตามก็จะรู้สึกว่าแบรนด์นี้ “น่าเข้าหา” และ “เข้าถึงได้” มากขึ้น ซึ่งดีกว่าการจ้างให้อินฟลูฯพูดเชียร์สินค้าแบบไม่เป็นธรรมชาติกว่า

 
 
 

แหล่งที่มา :

https://www.mbbmanagement.com 

https://medium.com

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *