แบรนด์ของคุณเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่ให้บริการระดับมืออาชีพใช่หรือไม่? หากคำตอบของคุณคือใช่ แน่นอนว่าการพัฒนาแบรนด์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องย่อมเป็นงานที่สำคัญที่สุดของคุณ เมื่อพูดถึงการพัฒนากลยุทธ์ในการสร้างแบรนด์ท่ามกลางโลกของการตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง ยังมีสิ่งต่างๆ อีกมากมายที่แบรนด์ต้องพัฒนาเพื่อนำแนวคิดการสร้างแบรนด์ที่สร้างสรรค์ไปใช้ได้จริง เพื่อโอกาสในการสร้างตัวตนบนโลกออนไลน์ที่พร้อมจะดึงดูดความสนใจจากผู้ชมหรือกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งวันนี้ Talka จะมาแนะนำขั้นตอนในการพัฒนากลยุทธ์การสร้างแบรนด์ตามแบบฉบับนักการตลาดมืออาชีพ ที่จะช่วยให้แบรนด์หรือธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรมมาฝากกันครับ
กลยุทธ์การสร้าง แบรนด์ คืออะไร?
การมีแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จเป็นหนึ่งในทรัพย์สินที่สำคัญของธุรกิจของคุณ ด้วยวิธีนี้เราสามารถพูดได้ว่าการสร้างแบรนด์เป็นกิจกรรมที่สำคัญในการพัฒนาธุรกิจโดยรวม มันสามารถทำให้ผู้บริโภคของคุณภักดีและสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณในตลาด หากคุณเป็นเจ้าของธุรกิจและคิดที่จะสร้างแบรนด์ธุรกิจ แน่นนอนว่า การสร้างแบรนด์ จะทำให้คุณยุ่งตลอดเวลาคุณจำเป็นต้องเสียสละพลังงาน เวลา และทรัพยากรของคุณ สำหรับนักการตลาดมือใหม่ที่มุ่งหวังที่จะสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จและติดตลาดจนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ก่อนอื่นคุณจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างแตกฉานในความหมายของการสร้างและพัฒนาแบรนด์ ตลอดจนทราบขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับกลยุทธ์การสร้างแบรนด์อย่างลึกซึ้ง
โดยทั่วไปแล้ว การสร้างแบรนด์ คือ การสื่อสารและการสร้างและส่งมอบคุณค่าแก่ลูกค้าซึ่งรวมถึงส่วนผสมทั้งหมดที่ลูกค้ารู้สึกและสัมผัสได้เมื่อมีปฏิสัมพันธ์กับธุรกิจของคุณ กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือมันเป็นสิ่งที่มีผลกระทบเชิงบวกต่อคุณค่าของตราสินค้าโดยการใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการขายและแคมเปญต่างๆ ของคุณ แบรนด์ของคุณเป็นตัวแทนของคุณในฐานะธุรกิจ และการใช้กลยุทธ์การสรา้งแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพสามารถช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ นอกจากนี้ การสรา้งแบรนด์ หรือ การพัฒนาแบรนด์ ถือเป็นกระบวนการสร้างและเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์บริการในระดับมืออาชีพของคุณ ซึ่ง สามารถ แบ่งกระบวนการออกเป็นสามขั้นตอน
- ระยะแรก คือ การทำให้กลยุทธ์แบรนด์ของคุณถูกต้องและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ทางธุรกิจของคุณ
- ระยะที่สอง คือ การพัฒนาเครื่องมือทั้งหมดที่คุณต้องการเพื่อสื่อสารแบรนด์ เช่น โลโก้ สโลแกน และเว็บไซต์ของคุณ เป็นต้น
- ระยะที่สาม คือ ขั้นตอนของการเสริมความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาหรือปรับปรุงใหม่ของคุณ
โดยทั่วไปมีการสร้างแบรนด์หลายประเภทที่อาจเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัทของคุณ ขึ้นอยู่กับกลุ่มเป้าหมาย อุตสาหกรรม งบประมาณ และ แคมเปญการตลาด ซึ่งต่อไปนี้เป็นการสร้างแบรนด์ 11 ประเภทที่มีศักยภาพในการสร้างตราสินค้าให้กับธุรกิจของคุณ
1. การสร้าง แบรนด์ องค์กร (Corporate Branding)
การสร้างแบรนด์องค์กรเป็นการสร้างชื่อที่ปลูกฝังให้กับทั้งองค์กรของคุณ สาธารณชนจะเชื่อมโยงชื่อขององค์กรเข้ากับคำมั่นสัญญาของคุณว่าพวกเขาจะยืนหยัดสนับสนุนบริการที่เสนอ แบรนด์จำเป็นต้องมีประวัติการทำงานในเชิงบวกที่ตรวจสอบได้ การสร้างแบรนด์องค์กรที่ดีย่อมมีผลในระยะยาว เนื่องจากธุรกิจจะสามารถพึ่งพา การจดจำชื่อแบรนด์ กล่าวคือลูกค้ามักจะเชื่อถือผลิตภัณฑ์ใหม่โดยอัตโนมัติเมื่อพวกเขาเชื่อมโยงกับแบรนด์ที่พวกเขารู้จักดีอยู่ก่อนแล้ว
2. การสร้าง แบรนด์ ส่วนบุคคล (Personal Branding)
ซึ่งมักจะหมายถึงการสร้างแบรนด์สำหรับแต่ละบุคคล ซึ่งตรงข้ามกับการสร้างแบรนด์ทั้งธุรกิจ การสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับคนดัง นักการเมือง หรือแม้แต่นักการตลาดดิจิทัลที่ ต้องการรักษาภาพลักษณ์ที่ดีต่อสาธารณะ โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคล เนื่องจากคุณมีความสามารถในการเข้าถึงผู้ชมจำนวนมากในขณะที่ “ส่งข้อความ” จากแพลตฟอร์ม ส่วนบุคคล ผู้ประกอบการ อาทิ Neil Patel นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ที่มีผลงานด้านการตลาดดิจิทัลที่เด่นชัด เป็นตัวอย่างของการสร้างแบรนด์ส่วนบุคคลที่ประสบความสำเร็จ เขาลงทุนอย่างมากในการปรากฏตัวทางออนไลน์และสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสาขาของตน
3. การสร้าง แบรนด์ สินค้า (Product Branding)
ทุกคนคงเคยสังเกตว่า ‘มาม่า’ ได้กลายเป็นคำที่มีความหมายเหมือนกันกับ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปแทบจะทั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด นั่นเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ได้เดินทางมาถึงจุดสูงสุดของความสำเร็จในการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นประเภทของการสร้างแบรนด์ที่ทำให้ผู้บริโภคเลือกผลิตภัณฑ์หนึ่งมากกว่าอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งโดยพิจารณาจากชื่อแบรนด์เพียงอย่างเดียว คุณมักจะเห็นโลโก้หรือสีบนสินค้าเฉพาะที่สะดุดตาคุณ นี่เป็นเพราะคุณได้เรียนรู้ที่จะเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกันอันเป็นผลมาจากการสร้างแบรนด์ผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ แบรนด์สินค้าก็ยังสามารถแยกออกเป็น “แบรนด์เฉพาะของผลิตภัณฑ์” หรือที่เรียกว่า “Individual Branding” อาทิ รถยนต์ มอเตอร์ไซค์ หรือ เครื่องดื่มต่างๆ เป็นต้น
4. การสร้าง แบรนด์ สินค้าทางภูมิศาสตร์ (Geographical Branding)
หากคุณทำงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การสร้างแบรนด์ประเภทนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคุณ การสร้างตราสินค้าตามภูมิศาสตร์นั้นจะมุ่งเน้นไปที่ลักษณะเฉพาะของพื้นที่หรือภูมิภาคใดพื้นที่หนึ่งซึ่งเป็นจุดขายของสถานที่นั้น ๆ ตลอดจนเหตุผลนานาประการที่คุณควรไปเยี่ยมชมสถานที่นั้น คุณมักจะเห็นประเทศต่างๆ ได้อ้างสิทธิ์ในอาหารบางประเภทว่าเป็นของตนเอง หรือโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์อันเป็นเอกลักษณ์ของภูมิภาค (ลองนึกถึงพีระมิดของอียิปต์หรือทัชมาฮาลของอินเดีย) นอกจากนี้ พื้นที่ต่างๆ ของโลกที่พยายามเปลี่ยนชื่อเสียงของตนก็สามารถลองสร้างแบรนด์ทางภูมิศาสตร์ได้ ตัวอย่างเช่น เมืองอัมสเตอร์ดัม ทำผลงานในการสร้างแบรนด์ได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยการรีแบรนด์ “I Amsterdam” โดยเปลี่ยนจุดสนใจจากย่านโคมแดงซึ่งเป็นย่านที่มีชื่อเสียงในเรื่องการค้าประเวณี และทำให้ผู้คนหันไปสนใจในความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเมืองแทนได้เป็นผลสำเร็จ เป็นต้น
5. การสร้าง แบรนด์ ออนไลน์ (Online Branding)
เรียกอีกอย่างว่า “การสร้างแบรนด์ทางอินเทอร์เน็ต” การสร้างแบรนด์ประเภทนี้หมายถึงวิธีที่คุณวางตำแหน่งบริษัทของคุณ (หรือตัวคุณเอง) ทางออนไลน์ ซึ่งอาจหมายถึงการสร้างเว็บไซต์ การสร้างตัวตนบนโซเชียลมีเดีย การเผยแพร่บล็อก หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ภายใต้ชื่อแบรนด์ของคุณเอง
6.การสร้างแบรนด์ออฟไลน์ (Offline Branding)
หมายถึงการสร้างแบรนด์ที่เกิดขึ้นนอกเว็บไซต์ หรือนอกช่องทางออนไลน์ ตั้งแต่การแจกนามบัตรไปจนถึงการนั่งรับประทานอาหารกลางวันกับลูกค้าหรือลีดที่ต้องการ การสร้างแบรนด์แบบออฟไลน์จำเป็นต้องมีการผสมผสานระหว่างการออกแบบที่ดีและโฆษกที่เชี่ยวชาญในด้านการเจรจาที่พร้อมจะนำเสนอแบรนด์ของคุณต่อกลุ่มลูกค้าได้อย่างน่าประทับใจ
7.การสร้างแบรนด์ร่วม (Co-branding)
นี่คือช่วงเวลาที่การสร้างแบรนด์พบเจอกับพันธมิตร การสร้างแบรนด์ร่วม คือ การที่แบรนด์ของบริษัท 2 แห่งขึ้นไป เชื่อมต่อกันด้วยผลิตภัณฑ์เดียวกัน ตัวอย่างเช่น Uber และ Spotify ร่วมมือกันในแคมเปญ “soundtrack for your ride” ซึ่งทำให้ผู้ที่ใช้งานทั้งสองแอปพลิเคชันได้รับประสบการณ์การโดยสารยานพาหนะร่วมกันที่ดียิ่งขึ้น โดยอนุญาตให้พวกเขาเป็นดีเจของการเดินทาง เป็นต้น
8. การสร้าง แบรนด์ บริการ (Service Branding)
การสร้างแบรนด์ประเภทนี้ เป็นการสร้างแบรนด์ที่ค่อนข้างให้ความสำคัญกับลูกค้าค่อนข้างมาก โดยมุ่งหวังที่จะให้บริการลูกค้าด้วยบริการที่ไร้ที่ติ ในขณะที่ทุกแบรนด์ควรพยายามอย่างเต็มที่ที่จะไม่สร้างความแปลกแยกแก่ลูกค้าของตน ในปัจจุบัน การสร้างแบรนด์ด้านบริการนั้นก้าวไปอีกขั้น โดยมุ่งเน้นที่การเพิ่มคุณค่าที่รับรู้ให้แก่การบริการลูกค้าโดยเฉพาะและใช้สิ่งนี้เป็นจุดขาย ผู้ที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์บริการต่างก็ตั้งตารอที่จะได้รับ “สิ่งพิเศษ” ที่พวกเขาจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นสายการบินที่แจกคุกกี้ช็อกโกแลตชิปร้อนบนเที่ยวบินระหว่างประเทศ หรือร้านกาแฟในท้องถิ่นที่แจกแพ็คเก็ต “How-to DIY” เมื่อลูกค้าทำการซื้อทุกครั้ง เป็นต้น
9. การสร้างแบรนด์ส่วนผสม (Ingredient Branding)
การสร้างแบรนด์ร่วมกันของส่วนผสมหรือส่วนประกอบ คือ การที่แบรนด์ต่างๆ ทำงานร่วมกันโดยอาศัยส่วนผสมที่เข้ากันได้เมื่อคุณเน้นความสำเร็จของส่วนผสมเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่งภายในผลิตภัณฑ์ หรือสาขาใดสาขาหนึ่งภายในธุรกิจ สิ่งเหล่านั้นจะกลายเป็นสิ่งล่อใจของแบรนด์มากกว่าผลิตภัณฑ์หรือธุรกิจโดยรวม อาทิ บริษัทผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์กับบริษัทผลิตหน่วยประมวลผล (Processor) เป็นต้น
10. การสร้าง แบรนด์ ของนักกิจกรรม (Activist Branding)
หากมีเหตุผลที่คุณเชื่ออย่างสุดหัวใจ คุณอาจสามารถใส่เข้าไปในกลยุทธ์แบรนด์ของคุณได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การสร้างแบรนด์ของนักเคลื่อนไหว หรือ “การสร้างแบรนด์อย่างมีสติ” เป็นวิธีสร้างผลกระทบเชิงบวกทางสังคมผ่านแบรนด์ของคุณ เพื่อให้แบรนด์ของคุณมีความหมายเหมือนกันในท้ายที่สุด บริษัทต่างๆ เช่น Gillette นิยมใช้การสร้างแบรนด์ประเภทนี้ในช่วงปลายปี
11. การสร้างแบรนด์แบบ “ไม่มีแบรนด์” “(No-brand” Branding)
หรือที่เรียกว่า “การสร้างแบรนด์แบบมินิมอล” วิธีการนี้ถือว่า ตัวผลิตภัณฑ์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคโดยไม่ต้องพึ่งพาระฆังหรือนกหวีดใดๆ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางนี้ บริษัทที่พยายามผลิตอาหารที่มีคุณภาพในราคาที่จับต้องได้ เน้นย้ำถึงการไม่มีแบรนด์ของตนเพื่อแสดงให้ลูกค้าเห็นว่าพวกเขาไม่ต้องจ่ายเงินมากเกินความจำเป็นสำหรับอาหารที่มี “แบรนด์” ในทางกลับกัน ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอาหารเพื่อสุขภาพในราคาย่อมเยาได้โดยตรง ซึ่งคุณภาพย่อมเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้อย่างชัดเจนด้วยตัวของมันเอง
ความสำคัญของการสร้างแบรนด์
การสร้างแบรนด์มีความสำคัญต่อการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจ เนื่องจากมีวิธีต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อบริษัท ซึ่งต่อไปนี้คือเหตุผลต่างๆ ที่คุณควรพิจารณาว่าการสร้างแบรนด์เป็นส่วนหนึ่งของแนวทางปฏิบัติทางการตลาดของบริษัทของคุณ
1. สร้างการรับรู้ในวงกว้าง
นี่เป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่สำคัญที่สุดของการสร้างแบรนด์ ธุรกิจที่มีแบรนด์ดีสามารถโดดเด่นในตลาดได้ แบรนด์ทำหน้าที่เป็นสื่อสำหรับบริษัทในการสื่อสารกับลูกค้าว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับแบรนด์อย่างไรและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ด้วยวิธีนี้พวกเขาได้พัฒนาความเข้าใจที่ดีขึ้นกับผู้ชมและให้บริการอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ โลโก้ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการสร้างแบรนด์ ถือเป็นหน้าตาของบริษัท ลูกค้าสามารถจดจำแบรนด์ได้อย่างง่ายดายและจดจำได้อย่างยาวนาน ด้วยความช่วยเหลือของโลโก้ ทุกธุรกิจที่พยายามเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ควรลงทุนในกระบวนการออกแบบโลโก้ที่ไม่เหมือนใคร เครื่องมือสร้างโลโก้ที่เชื่อถือได้พร้อมฟีเจอร์และฟังก์ชันการทำงานที่จำเป็นทั้งหมดสามารถช่วยคุณออกแบบโลโก้ที่มีเอกลักษณ์และน่าสนใจซึ่งสามารถอยู่ในใจของผู้คนได้นานขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น โลโก้ที่เป็นเอกลักษณ์ที่สะท้อนถึงการค้าและข้อความของคุณจะช่วยเพิ่มการรับรู้ถึงแบรนด์ของคุณได้อย่างมาก
2. พัฒนาความไว้วางใจของลูกค้า
ลูกค้าทุกคนต้องการซื้อสินค้าจากแบรนด์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย การสร้างแบรนด์ย่อมทำให้ธุรกิจดูเป็นมืออาชีพ ส่งผลให้เกิดความน่าเชื่อถือในตลาด เมื่อผู้ชมพบโลโก้ที่มีรูปลักษณ์และสีสันที่ดีจะสร้างความไว้วางใจและความมั่นใจในธุรกิจ พวกเขายังสามารถมีปฏิกิริยาทางอารมณ์ด้วยคุณสมบัติเชิงลึกและประวัติของแบรนด์ที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อการตัดสินใจซื้อของพวกเขา
3. เพิ่มขวัญและกำลังใจในการทำงานของพนักงาน
พนักงานมีแนวโน้มที่จะทำงานกับธุรกิจที่มีชื่อเสียงในตลาด พวกเขารู้สึกแข็งแกร่งขึ้นในการทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายและพันธกิจของแบรนด์ที่มีชื่อเสียง มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่พวกเขาทำและพอใจกับบทบาทงานของตัวเองมากขึ้น พวกเขาจะพยายามเชิดชูและยกย่องบริษัทและงานที่พวกเขาทำแก่สมาชิกในครอบครัว และเพื่อนๆ ในทางกลับกัน บริษัทต่างๆ ยังสามารถเสริมสร้างแบรนด์ของตนได้อย่างง่ายดายโดยการจัดหาสินค้าส่งเสริมการขาย หรือสินค้าราคาพิเศษให้กับพนักงานโดยเฉพาะ
4. สร้างฐานลูกค้าใหม่
การสร้างแบรนด์มีบทบาทสำคัญในการนำผู้ชมใหม่ๆ มาสู่องค์กรธุรกิจ แบรนด์ที่มั่นคงย่อมได้รับการบอกต่อแบบปากต่อปากจากกลุ่มลูกค้าปัจจุบันได้ง่ายขึ้น ผู้คนจะดึงดูดแบรนด์ที่มีภาพลักษณ์ที่ดีและมอบความภักดีต่อแบรนด์นั้นๆ เป็นระยะเวลานานขึ้นจากการได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆ นี่คือเหตุผลที่บริษัทต้องให้ความสำคัญในขณะที่ออกแบบข้อความของแบรนด์ โดยควรสร้างในลักษณะที่สามารถสื่อสารถึงคุณค่าของแบรนด์และพัฒนาการเชื่อมต่อทางอารมณ์กับตลาดเป้าหมายของคุณ
5. นำไปสู่มูลค่าทางการเงิน
บริษัททั้งหมดที่ออกแบบแบรนด์อย่างมืออาชีพย่อมสามารถรักษามูลค่าทางการเงินที่สูงกว่าในตลาดได้ พวกเขาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีมูลค่ามากกว่าสินทรัพย์จริงของบริษัท มูลค่านี้ได้รับการพัฒนาในระดับที่สูงขึ้นเนื่องจากการสร้างแบรนด์ที่มีประสิทธิภาพของบริษัท นอกจากนี้แบรนด์ที่ดียังเป็นหลักประกันทางธุรกิจในอนาคตให้กับบริษัทอีกด้วย ยิ่งบริษัททุ่มเทให้กับการสร้างแบรนด์มากเท่าไหร่ ผลตอบแทนทางการเงินจากความพยายามก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้นเป็นเงาตามตัว
10 ขั้นตอน สร้างแบรนด์ให้สำเร็จ แบบมืออาชีพ
1. ตัดสินใจเลือกชื่อแบรนด์ธุรกิจ
แบรนด์เป็นแนวคิดที่ครอบคลุมสิ่งต่างๆ มากมาย ชื่อแบรนด์ก็มีความสำคัญเช่นเดียวกัน เนื่องจากชื่อของบริษัทในอนาคตของคุณมีอิทธิพลต่อกลยุทธ์ทางการตลาด โลโก้ โดเมน และการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คุณจึงต้องเลือกชื่อที่เกี่ยวข้องและน่าจดจำ ควรมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จำง่าย และสั้น หากคุณวางแผนที่จะขยาย โปรดทราบว่าชื่อบริษัทของคุณควรจะกว้าง เช่น หากคุณต้องการสร้างสายผลิตภัณฑ์ใหม่
2. เลือกใช้สโลแกนที่ติดหู
คุณสามารถใช้สโลแกนบนเครือข่ายโซเชียลมีเดีย นามบัตร และเว็บไซต์ของคุณ ช่วยอธิบายผลิตภัณฑ์ของคุณและส่งข้อความที่จำเป็นไปยังผู้ชม ด้วยสโลแกนที่ติดหูจะสามารถดึงดูดความสนใจของลูกค้าและจดจำแบรนด์ที่เฉพาะเจาะจงได้ นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อเอกลักษณ์และชื่อเสียงของแบรนด์ของคุณตลอดเส้นทางการอยู่ในตลาดของคุณอีกด้วย
3. นึกถึงการออกแบบ แบรนด์ ของคุณ
รูปแบบสีและแบบอักษรมีบทบาทสำคัญเมื่อคุณเริ่มสร้างบริษัท การใช้การออกแบบแบรนด์เดียวกันในช่องทางการตลาดต่างๆจะ ช่วยให้คุณเป็นที่รู้จักมากขึ้นในหมู่ลูกค้า การออกแบบควรสามารถสื่อถึงบริษัทของคุณ และด้วยความช่วยเหลือของชุดสีที่เหมาะสม คุณจะสามารถสื่อสารข้อความและความรู้สึกที่จำเป็นได้อย่างมีประสิทธิภาพ
4. สร้างโลโก้ แบรนด์ ที่ไม่ซ้ำใคร
โลโก้ยังเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของแบรนด์เช่นกัน โลโก้ที่ไม่ซ้ำใครและเป็นที่จดจำช่วยให้คุณสร้างความประทับใจแรกที่แข็งแกร่ง ทำหน้าที่เป็นรากฐานสำหรับเอกลักษณ์ของแบรนด์ ดึงดูดความสนใจ และเพิ่มความภักดีของลูกค้า โปรดจำไว้ว่าโลโก้แบรนด์ คือหน้าตาของบริษัทของคุณ และควรโดดเด่นเพื่อให้ผู้คนให้ความสนใจและจดจำโลโก้นั้น เมื่อคุณพัฒนาโลโก้ที่ยอดเยี่ยมแล้ว อย่าลืมรวมโลโก้นั้นไว้บนเว็บไซต์ บัญชีโซเชียลมีเดีย ผลิตภัณฑ์ แบนเนอร์ โฆษณาที่เป็นไปได้ทั้งหมด ฯลฯ
5. พิจารณากลยุทธ์ทางธุรกิจโดยรวมของคุณ
แบรนด์ที่แข็งแกร่งและมีความแตกต่างที่ดีจะทำให้การเติบโตของบริษัทของคุณง่ายขึ้นมาก แต่คุณต้องการ บริษัท ประเภทใด? คุณวางแผนที่จะเติบโตแบบอินทรีย์หรือไม่? กลยุทธ์ทางธุรกิจโดยรวมของคุณคือบริบทสำหรับกลยุทธ์การพัฒนาแบรนด์ของคุณ ดังนั้นนั่นคือจุดเริ่มต้น หากคุณชัดเจนว่าคุณต้องการพาบริษัทไปที่ใด แบรนด์ของคุณจะช่วยให้คุณไปถึงที่นั่นได้
6. กำหนดและทำการวิจัยกลุ่มเป้าหมาย
การดำเนินการวิเคราะห์ที่ครอบคลุมของลูกค้าในอุดมคติและคู่แข่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จ กำหนดความพยายามของคุณในการสำรวจตลาด คุณต้องระบุและอธิบายลูกค้าในอุดมคติของคุณ และกำหนดระดับการแข่งขัน เพื่อให้เข้าใจตลาดเป้าหมายและความต้องการของตลาด คุณต้องรู้ว่า ใครคือลูกค้าเป้าหมายของคุณ? หากคุณพูดว่า “ทุกคน” คุณกำลังทำผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะบริษัทที่มีการเติบโตสูงและกำไรสูงนั้นมุ่งเน้นไปที่การมีลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน ยิ่งโฟกัสแคบลงเท่าไหร่ การเติบโตก็จะยิ่งเร็วขึ้นเท่านั้น ยิ่งกลุ่มเป้าหมายมีความหลากหลายมากเท่าใด ความพยายามทางการตลาดของคุณก็จะยิ่งเจือจางลงเท่านั้น แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ถูกต้อง? นั่นคือที่มาของขั้นตอนต่อไป ได้แก่ทำแบบสำรวจสั้นๆ เพื่อถามผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเกี่ยวกับแบรนด์ที่พวกเขาต้องการซื้อ นอกจากนี้ คุณสามารถดูบัญชีโซเชียลมีเดียของบริษัทที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันได้ วิเคราะห์กลยุทธ์ของพวกเขาเพื่อหาความชอบของผู้มีโอกาสเป็นผู้ชมของคุณ
บริษัทที่ทำการวิจัยอย่างเป็นระบบเกี่ยวกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายจะเติบโตได้เร็วกว่าและมีกำไรมากกว่า นอกจากนี้ ผู้ที่ทำการวิจัยอย่างสม่ำเสมอ(อย่างน้อยหนึ่งครั้งต่อไตรมาส) ก็ยังเติบโตได้เร็วกว่า เนื่องจากการวิจัยช่วยให้คุณเข้าใจมุมมองและลำดับความสำคัญของลูกค้าเป้าหมาย คาดการณ์ความต้องการของพวกเขา และใส่ข้อความของคุณในภาษาที่โดนใจพวกเขา นอกจากนี้ยังบอกคุณว่าพวกเขามองจุดแข็งของบริษัทและแบรนด์ปัจจุบันของคุณอย่างไร ด้วยเหตุ นี้จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการตลาดที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาแบรนด์ได้อย่างมาก
7. ให้ความสำคัญกับบุคลิกภาพของ แบรนด์
แน่นอนว่าบริษัทเดียว หรือแบรนด์เดียวย่อมไม่สามารถเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายทุกคนได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมการสร้างแบรนด์ที่เหมาะกับกลุ่มผู้ชมที่เฉพาะเจาะจงจึงเป็นสิ่งสำคัญ คุณต้องมีบุคลิกของแบรนด์ที่ชัดเจนเพื่อสื่อสารข้อความและดึงความสนใจของลูกค้ามาที่ผลิตภัณฑ์ของคุณ เพื่อจุดประสงค์นี้ คุณควรนึกถึงข้อความแสดงจุดยืนของคุณที่ครอบคลุมการอ้างสิทธิ์ของคุณในตลาด นอกจากนี้ คุณต้องกำหนดคุณค่าที่ไม่เหมือนใครของคุณ ควรเป็นสิ่งที่สำคัญที่บริษัทของคุณสามารถนำเสนอได้ แต่ที่อื่นไม่มี เพื่อให้ใกล้ชิดกับลูกค้ามากขึ้นและสร้างสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น คุณควรระบุคุณสมบัติเฉพาะที่เหมาะสมกับบริษัทของคุณ ด้วยวิธีนี้ คุณจะสามารถสื่อสารความรู้สึกและอารมณ์ที่คุณเชื่อมโยงกับธุรกิจของคุณได้
8. หาความแตกต่างของ แบรนด์ และวางตำแหน่ง
เมื่อคุณมีส่วนร่วมในกระบวนการสร้างแบรนด์ ให้เน้นที่คุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์ของผลิตภัณฑ์และบริการของคุณเพื่อสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณจากแบรนด์ของคู่แข่ง เมื่อมีผลิตภัณฑ์ 2 รายการในตลาดที่มีคุณสมบัติ ราคา และคุณภาพเหมือนหรือใกล้เคียงกัน คุณควรทำงานอย่างต่อเนื่องเพื่อสร้างความแตกต่างให้แบรนด์ของคุณแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่นๆ กลยุทธ์การสร้างแบรนด์นี้ควรเน้นที่การพัฒนาข้อได้เปรียบเฉพาะที่สามารถส่งผลต่อจิตใจของผู้บริโภคและทำให้พวกเขาชอบแบรนด์ของคุณมากกว่าคู่แข่ง ในกระบวนการนี้ โลโก้แบรนด์ ขนาดตัวอักษร สไตล์ สี สไตล์ และบรรจุภัณฑ์ ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญในการสร้างความแตกต่างให้กับแบรนด์ของคุณ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในใจของผู้บริโภค
เมื่อคุณอยู่ในฐานะที่จะนำเสนอคุณค่าที่ไม่เหมือนใครได้ ก็ถึงเวลาวางตำแหน่งแบรนด์ของคุณด้วยวิธีที่เหมาะสมกว่า กลยุทธ์แบรนด์ที่น่าสนใจจะช่วยเพิ่มตำแหน่งแบรนด์ของคุณที่ดึงดูดผู้บริโภคและชื่นชมคุณค่าแบรนด์ของคุณจากแบรนด์คู่แข่งในตลาด เมื่อเริ่มวางตำแหน่งแบรนด์ ต้องเป็นไปตามความเป็นจริง และคุณต้องปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาของแบรนด์ เมื่อคุณแปลงคำชี้แจงตำแหน่งของคุณเป็นข้อความ มันควรดึงดูดผู้ชมเป้าหมายทั้งหมดของคุณ จากนั้นคุณก็พร้อมที่จะกำหนดตำแหน่งแบรนด์ของบริษัทของคุณในการวางตำแหน่งทางการตลาด ว่าแบรนด์ของคุณแตกต่างจากบริษัทอื่นอย่างไร และเหตุใดผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าภายในกลุ่มเป้าหมายของคุณจึงควรเลือกซื้อกับคุณ ข้อความแสดงจุดยืนโดยทั่วไปจะมีความยาวสามถึงห้าประโยค ที่สำคัญต้องอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง เนื่องจากอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าคุณจะต้องทำตามที่คุณสัญญาไว้ นอกจากนี้ข้อความควรต้องมีความทะเยอทะยานเล็กน้อยเพื่อให้คุณมีบางสิ่งที่แสดงถึงความมุ่งมั่น
9. ส่งข้อความตามการวางตำแหน่งทางการตลาด
ขั้นตอนต่อไปของคุณ คือ กลยุทธ์การส่งข้อความที่แปลตำแหน่งแบรนด์ของคุณเป็นข้อความเพื่อส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายต่างๆ ของคุณ กลุ่มเป้าหมายของคุณมักจะรวมถึงผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า พนักงานที่มีศักยภาพ แหล่งอ้างอิง หรือ ผู้มีอิทธิพลอื่นๆ ตลอดจนโอกาสในการเป็นพันธมิตรที่เป็นไปได้
แม้ว่าการวางตำแหน่งแบรนด์หลักของคุณจะต้องเหมือนกันสำหรับผู้ชมทั้งหมด แต่ผู้ชมแต่ละกลุ่มจะสนใจในแง่มุมที่แตกต่างกัน ข้อความถึงผู้ชมแต่ละคนจะเน้นประเด็นที่เกี่ยวข้องมากที่สุด ผู้ชมแต่ละรายจะมีข้อกังวลเฉพาะที่ต้องได้รับการแก้ไข และแต่ละคนก็ต้องการหลักฐานประเภทต่างๆ เพื่อสนับสนุนข้อความของคุณ กลยุทธ์การส่งข้อความของคุณควรตอบสนองความต้องการเหล่านี้ทั้งหมด นี่เป็นขั้นตอนสำคัญในการทำให้แบรนด์ของคุณมีความเกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ
10. แบ่งปันเรื่องราวของแบรนด์ของคุณ
ใช้การสร้างแบรนด์ของคุณในช่องทางการตลาดต่างๆ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้คนเกี่ยวกับค่านิยมแบรนด์ของคุณ คุณต้องบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ด้วยข้อเท็จจริงและความรู้สึกเพื่อกระตุ้นอารมณ์ลูกค้าและกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าพันธกิจและวัตถุประสงค์ของคุณมีความชัดเจน เพื่อให้ผู้คนสามารถค้นพบแบรนด์และคุณค่าของคุณมากขึ้น และตัดสินใจว่าจะเป็นลูกค้าของคุณหรือไม่ ตัวอย่างเช่น TOMS บริษัทผลิตรองเท้าชื่อดัง ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในด้านเป้าหมายในการพัฒนาชีวิตให้ดีขึ้น แบรนด์นี้มีส่วนช่วยเหลือผู้ยากไร้และบริจาครองเท้าให้กับเด็กๆ ผ่านโครงการการกุศล
คุณสามารถใช้ช่องทางการโฆษณาและส่งเสริมการขายต่างๆ เช่น โซเชียลมีเดีย หนังสือพิมพ์ นิตยสาร เว็บไซต์ และบล็อกเพื่อส่งเสริมแบรนด์ส่วนบุคคลและธุรกิจของคุณ ให้ผู้ชมรู้จักบุคลิกแบรนด์ของคุณ เช่น Apple แสดงความจริงใจ และ Harley Davidson เป็นกบฏ ข้อความแคมเปญส่งเสริมการขายของคุณต้องขึ้นอยู่กับบุคลิกของแบรนด์ของคุณ เป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์การสร้างแบรนด์และจะสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ในใจผู้ชมของคุณ เป็นต้น
แหล่งที่มา :