เคล็ด(ไม่)ลับ อินฟลูเอนเซอร์ ปั้นคอนเทนต์ยังไง? ให้ Go Viral

อินฟลูเอนเซอร์
ว่ากันว่าอาชีพในฝันของเด็กรุ่นใหม่ในยุคนี้ คงหนีไม่พ้น อินฟลูเอนเซอร์ เพราะในยุคที่โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญ อาชีพนี้สามารถสร้างรายได้สูงถึงหลักแสนหลักล้านบาทต่อเดือน และมีอินฟลูฯ หลายคนที่เป็นตัวอย่างว่าเรื่องนี้สามารถทำให้สำเร็จได้แบบไม่ไกลเกินเอื้อม แต่! คำถาม คือ เหล่าอินฟลูฯ จะสร้างคอนเทนต์อย่างไรให้โดดเด่นจนสามารถดึงดูดผู้ติดตามและทำเงินจากอาชีพนี้ได้จริง? ดังนั้นวันนี้ Talka จะมาเปิดเผยเคล็ด(ไม่)ลับ ที่จะช่วยให้คุณแจ้งเกิดเป็นอินฟลูฯที่ประสบความสำเร็จ และสามารถสร้างรายได้อย่างที่ตั้งใจได้จริงครับ 
 

นิยามของ อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร?

นิยามของ อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร?

นิยามของ อินฟลูเอนเซอร์ คืออะไร?

อินฟลูเอนเซอร์ (Influencer) คือ บุคคลที่มีอิทธิพลบนโลกออนไลน์ ซึ่งมีผู้ติดตามตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักล้านคน เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็น การตัดสินใจ หรือพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น YouTube, Instagram, TikTok, Facebook, Twitter และ Blog หรือช่องทางออนไลน์ต่างๆ โดยอินฟลูฯ สามารถแบ่งออกได้หลายประเภทตามจำนวนของผู้ติดตาม และลักษณะของเนื้อหาที่อินฟลูฯ นำเสนอ  
 

ประเภทของ อินฟลูเอนเซอร์ 

  • Mega Influencer :  ผู้ที่มีผู้ติดตามมากกว่า 1 ล้านคน มักเป็นบุคคลสาธารณะ ดาราหรือเซเลบริตี้ เป็นที่รู้จักทั่วโลก มีค่าใช้จ่ายสูง แต่ก็สามารถสร้าง Brand Awareness ได้อย่างรวดเร็ว
  • Macro Influencer : มีผู้ติดตามระหว่าง 100,000 – 1,000,000 คน มักเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในสายงานของตนเอง มีอิทธิพลในวงกว้าง เข้าถึงผู้คนจำนวนมาก เหมาะกับแบรนด์ที่ต้องการสร้างการรับรู้ระดับประเทศ
  • Micro Influencer : มีผู้ติดตามระหว่าง 10,000 – 100,000 คน เน้นการสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับผู้ติดตาม เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมจากแบรนด์มากที่สุด เนื่องจากเป็นบุคคลที่มีความน่าเชื่อถือสูง และมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มผู้ติดตาม
  • Nano Influencer :  มีผู้ติดตามต่ำกว่า 10,000 คน แต่มีความน่าเชื่อถือสูงในกลุ่มเฉพาะทาง มีความใกล้ชิดกับผู้ติดตามสูงมาก ทั้งยังมีอัตราการมีส่วนร่วม (Engagement Rate) สูง จึงเหมาะกับแบรนด์ขนาดเล็กและตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่อาจไม่ได้มี Marketing Budget สูงมากนัก 

อิทธิพลของอินฟลูเอนเซอร์ต่อการตลาด

อินฟลูฯมีบทบาทสำคัญต่อกลยุทธ์ทางการตลาดในหลายๆ ด้าน ได้แก่

  •  การสร้างการรับรู้แบรนด์ (Brand Awareness) : ช่วยให้แบรนด์เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วผ่านรีวิว แนะนำ หรือการทำคอนเทนต์ร่วมกับแบรนด์
  • การเพิ่มความน่าเชื่อถือของแบรนด์ (Brand Credibility) : คำแนะนำจากอินฟลูฯ ที่ได้รับความเชื่อถือทำให้ผู้บริโภครู้สึกมั่นใจในการซื้อสินค้า
  • การกระตุ้นยอดขาย (Sales Conversion) : การตลาดผ่านอินฟลูฯ (Influencer Marketing) ช่วยให้เกิด “การซื้อแบบเร่งด่วน (Impulse Buying)” โดยเฉพาะเมื่อมีโค้ดส่วนลด หรือการโปรโมตแบบ Exclusive
  • การกำหนดเทรนด์ใหม่ๆ (Trendsetting & Virality) : อินฟลูฯ สามารถสร้างกระแสและเทรนด์ใหม่ๆ ให้กับตลาด เช่น การทำ TikTok Challenge หรือการเปิดตัวสินค้าใหม่
  • การมีส่วนร่วมของลูกค้า (Customer Engagement) : คอนเทนต์ที่สร้างโดยอินฟลูฯ สามารถดึงดูดให้ผู้บริโภคมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้มากขึ้น

อินฟลูฯ มีบทบาทสำคัญต่อการตลาดสมัยใหม่ โดยช่วยเพิ่มการรับรู้แบรนด์ สร้างความน่าเชื่อถือ และ กระตุ้นยอดขาย อย่างไรก็ตามแบรนด์ต้องเลือกอินฟลูฯ ที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย และติดตามผลลัพธ์อย่างใกล้ชิดเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากกลยุทธ์ Influencer Marketing 

อยากเป็น อินฟลูเอนเซอร์ ควรเริ่มต้นอย่างไร?

อยากเป็นอินฟลูเอนเซอร์ควรเริ่มต้นอย่างไร

ในยุคที่โซเชียลมีเดียกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน อาชีพ “อินฟลูเอนเซอร์” สามารถสร้างรายได้จำนวนไม่น้อยในช่องทางต่างๆ แต่อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่าการเริ่มต้นบนเส้นทางนี้ ไม่ใช่แค่การโพสต์รูป หรือคลิปวิดีโอบนโซเชียลมีเดียเท่านั้น แต่คุณจำเป็นต้องวางแผนให้ดีเพื่อสร้างความแตกต่าง ตลอดจนสร้างความน่าเชื่อถือให้กับตัวเอง ดังนั้น เรามาดูวิธีสำคัญในการ “สร้างตัวตน” เพื่อการเป็นอินฟลูฯ ที่ประสบความสำเร็จกันครับว่าต้องเริ่มต้นอย่างไร และต้องทำอะไรบ้าง?

1. เลือก “แนวทาง” ของตัวเอง

ก่อนจะก้าวเข้าสู่การเป็นอินฟลูฯ คุณต้องเลือกแนวทางหรือกลุ่มเนื้อหาหลักที่คุณจะนำเสนอ ยกตัวอย่าง เช่น

  • สายบิวตี้ – รีวิวเครื่องสำอาง เทคนิคการแต่งหน้า หรือสกินแคร์
  • สายเกม – สตรีมเกม รีวิวอุปกรณ์เกมมิ่ง หรือเทคนิคการเล่นเกม
  • สายไลฟ์สไตล์ – การใช้ชีวิต แฟชั่น ท่องเที่ยว และสุขภาพ
  • สายอาหาร – รีวิวร้านอาหาร สอนทำอาหาร แชร์ร้านเด็ด หรือ เมนูเด็ด
  • สายเทคโนโลยี – รีวิวแกดเจ็ต แนะนำแอปพลิเคชัน วิเคราะห์เทรนด์ใหม่ๆ 

ในขั้นตอนนี้ การเลือกแนวทางที่ชัดเจนและเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญของคุณจะช่วยสร้างจุดยืนที่ชัดเจน และทำให้กลุ่มเป้าหมายติดตามคุณได้อย่างต่อเนื่อง

2. สำรวจความต้องการของตลาด

แม้ว่าจะเลือกเป็นในสิ่งที่ชอบ แต่ต้องดูด้วยว่าสิ่งที่คุณชอบหรือเชี่ยวชาญนั้นมีผู้คนสนใจหรือไม่ โดยสามารถสำรวจเบื้องต้นได้จาก 

  • เทรนด์ในโซเชียลมีเดีย เช่น TikTok, Instagram, YouTube
  • Hashtag ยอดนิยม
  • คำค้นหาใน Google Trends

ยกตัวอย่างเช่นถ้าคุณสนใจเรื่องสุขภาพ การทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ “การกินคลีน” หรือ “ฟิตเนสที่บ้าน” อาจเป็นแนวทางที่คนให้ความสนใจสูง หรือถ้าคุณหลงใหลในเทคโนโลยี คุณอาจโฟกัสไปที่การรีวิวอุปกรณ์แกดเจ็ตที่กำลังมาแรงและมีผู้ให้ความสนใจจำนวนมาก เป็นต้น 

3. หาคาแรกเตอร์ที่แตกต่างจากคนอื่น

บนโลกโซเชียลนั้นมีอินฟลูฯ อยู่มากมายหลายล้านคนก็ว่าได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุด คือ คุณต้องมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นเพื่อทำให้ผู้คนจดจำได้ง่าย ซึ่งสิ่งที่จะทำให้คุณแตกต่างจากคนอื่นได้ เช่น

  • โทนการนำเสนอ – สนุกสนาน สุขุม กวนๆ เป็นกันเอง หรือให้ความรู้
  • รูปแบบคอนเทนต์ – คลิปสั้น ไลฟ์สด รีวิวแบบละเอียด หรือ บทความ
  • บุคลิกภาพ – การแต่งตัว ภาษาที่ใช้ หรือสไตล์การพูดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
  • จุดเด่นเฉพาะตัว – มีความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง หรือมีมุมมองที่แตกต่างจากคนอื่น เป็นต้น

เพราะยิ่งคุณมีจุดยืนหรือคาแรกเตอร์ที่ชัดเจนมากเท่าไหร่ โอกาสที่คนจะจดจำได้ และติดตามคุณก็ยิ่งสูงขึ้น

4. สร้างโปรไฟล์ให้ดูน่าเชื่อถือ

ความน่าเชื่อถือ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับอินฟลูฯ เนื่องจากเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้แบรนด์และผู้ติดตามไว้วางใจ ดังนั้นคุณสามารถสร้างโปรไฟล์ที่ดูดีและดูเป็นมืออาชีพได้โดย

  • เลือกชื่อและโลโก้ที่จดจำง่าย – ใช้ชื่อที่ไม่ซ้ำใคร และสามารถสื่อถึงตัวตนของคุณ
  • ออกแบบ Bio ให้น่าสนใจ – โดยการเขียนให้สั้นกระชับและดึงดูด เช่น “แชร์เทคนิคแต่งหน้าสุดปัง! | รีวิวสกินแคร์เด็ดๆ ทุกวัน” เป็นต้น
  • ใช้ภาพโปรไฟล์และหน้าปกที่เป็นมืออาชีพ – ภาพโปรไฟล์ต้องชัดเจนและเหมาะสมกับแนวทางของคุณ
  • สร้างคอนเทนต์ที่มีคุณภาพคอนเทนต์ ควรมีความน่าสนใจ และให้ประโยชน์กับผู้ติดตาม
  • แสดงผลงานที่ผ่านมา – หากเคยร่วมงานกับแบรนด์มาก่อน หรือ มีคอนเทนต์ที่เคยเป็น Viral คุณควรนำเสนอผลงานทั้งหมดที่ประสบความสำเร็จ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ

5. ศึกษาคู่แข่งและหาเอกลักษณ์ของตัวเอง

สำรวจอินฟลูฯ คนอื่นๆ ที่ทำเนื้อหาในสายเดียวกัน แล้วหาจุดที่คุณสามารถสร้างความแตกต่างได้ เช่น

  • ใช้สไตล์การเล่าเรื่องที่แตกต่างไม่เหมือนใคร
  • เน้นอารมณ์ขันหรือสร้างคอนเทนต์ที่ให้แรงบันดาลใจ
  • มีวิธีการนำเสนอที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น รีวิวอาหารแบบ ASMR หรือแต่งหน้าแบบมินิมอล เป็นต้น

การเป็นอินฟลูฯ ที่ประสบความสำเร็จนั้นไม่สามารถเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืนก็จริง แต่ถ้าหากคุณมีแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน สามารถหาตัวตนและสร้างคาแรกเตอร์ได้แตกต่างและโดดเด่น ตลอดจนสร้างโปรไฟล์ให้มีความน่าเชื่อถือแน่นอนว่าคุณก็มีโอกาสที่จะเติบโตและสร้างอิทธิพลบนโลกออนไลน์ในพื้นที่เฉพาะของคุณได้อย่างแน่นอนครับ

อินฟลูเอนเซอร์ ทำคอนเทนต์ยังไงให้ไวรัล

อินฟลูเอนเซอร์ทำคอนเทนต์ยังไงให้ Go Viral

1. ค้นหา “ตัวตน” และ “จุดขาย” ของคุณ

ก่อนที่จะเริ่มต้นสร้างคอนเทนต์สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องรู้ก่อนว่าตัวเองเป็นใคร และ มีความเชี่ยวชาญหรือความสนใจด้านใด การกำหนดตัวตนช่วยให้คุณสร้างแบรนด์ที่แตกต่างและมีเอกลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นแนวไลฟ์สไตล์ บิวตี้  เทคโนโลยี สุขภาพ หรือการเงิน เป็นต้น 

 2. เข้าใจพฤติกรรมของผู้ชม (Know Your Audience)

  • ศึกษาและวิเคราะห์ว่าผู้ติดตามของคุณเป็นใคร อายุ เพศ ความสนใจ ไลฟ์สไตล์ รวมถึงพฤติกรรมการใช้งานโซเชียลมีเดีย
  • ใช้เครื่องมืออย่าง Facebook Insights, YouTube Analytics, TikTok Analytics เพื่อดูว่าคอนเทนต์แบบไหนได้รับความนิยม

ตอบสนองความต้องการของผู้ชม เช่น หากกลุ่มเป้าหมายของคุณสนใจ “การพัฒนาตัวเอง” คุณอาจทำคอนเทนต์แนวให้ความรู้และสร้างแรงบันดาลใจ

3.ใช้แพลตฟอร์มให้ถูกช่องทาง

แต่ละแพลตฟอร์มมีพฤติกรรมของผู้ใช้แตกต่างกัน การเลือกใช้ให้เหมาะสมจะช่วยเพิ่มโอกาสเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ควรใช้ Omni-Channel Strategy คือการใช้หลายแพลตฟอร์มร่วมกันเพื่อขยายฐานผู้ติดตาม 

4. สร้างคอนเทนต์ที่กระตุ้นอารมณ์ (Emotional Trigger)

คอนเทนต์ที่มีโอกาสไวรัลมักกระตุ้นอารมณ์ของผู้ชม เช่น

  • ความสุข & อารมณ์ขัน – มุกตลก, Meme, Challenge
  • แรงบันดาลใจ – เรื่องราวความสำเร็จ, คำพูดกระตุ้นใจ
  • ความตกใจ & น่าประหลาดใจ – ความรู้ที่คนไม่เคยรู้, เรื่องราวแปลกๆ
  • ความเศร้า & ดราม่า – เรื่องสะเทือนใจ, ประสบการณ์ชีวิต

ตัวอย่าง: วิดีโอที่ทำให้คนหัวเราะหรือร้องไห้มีแนวโน้มถูกแชร์มากกว่าคอนเทนต์ทั่วไป

5. คอนเทนต์ต้องสั้น กระชับ และน่าสนใจตั้งแต่วินาทีแรก

  • คนส่วนใหญ่มีช่วงสมาธิสั้น (Attention Span) โดยเฉพาะบน TikTok และ Instagram Reels
  • ใช้ Hook ที่ดึงดูดภายใน 3 วินาทีแรก เช่น “คุณรู้ไหมว่า…?” หรือ “สิ่งที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดคือ…”
  • จบด้วย Call-to-Action (CTA) เช่น “กดแชร์ถ้าคุณเห็นด้วย!” เพื่อกระตุ้นให้คนมีส่วนร่วม

ตัวอย่าง : วิดีโอ TikTok ส่วนใหญ่จะมีความยาวประมาณ 15-30 วินาที และมีเนื้อหาที่สั้นกระชับได้ใจความ

6. จับกระแส (Trend-Jacking)

  • ติดตาม เทรนด์ล่าสุด บนแพลตฟอร์ม เช่น TikTok Trends, Twitter Hashtags, Google Trends
  • ใช้ Challenge & Hashtag ที่กำลังเป็นกระแสเพื่อเพิ่มการมองเห็น
  • รีแอคหรือทำ Duet/Stitch กับคอนเทนต์ที่กำลังเป็นที่นิยม

ตัวอย่าง: เพลง “Havana” ของ Camila Cabello กลายเป็นไวรัลเพราะคนทำคลิป Challenge เต้นตาม

7. คุณภาพของโปรดักชัน & ความครีเอทีฟ

  • ภาพ & วิดีโอต้องคมชัด (HD หรือ 4K) เพื่อให้ดึงดูดสายตา
  • ใช้เทคนิคตัดต่อแบบเร็ว (Jump Cut, Zoom In, Effect) เพื่อไม่ให้คนรู้สึกเบื่อ
  • ใช้ Storytelling ช่วยทำให้คอนเทนต์มีพลังและดึงดูดความสนใจ

ตัวอย่าง: วิดีโอรีวิวสินค้าที่ดีจะเน้นการแสดงผลลัพธ์จริง พร้อม Before & After

8. โซเชียลมีเดียอัลกอริทึม & การโพสต์ให้เหมาะสม

  • เวลาโพสต์ที่ดีที่สุด บนแต่ละแพลตฟอร์ม เช่น Facebook: 11.00-12.00 น. / 19.00-21.00 น. TikTok: 18.00-22.00 น. YouTube: 17.00-20.00 น. เป็นต้น
  • Engagement สำคัญมาก (ไลก์, คอมเมนต์, แชร์) อัลกอริทึมจะดันโพสต์ที่มีการมีส่วนร่วมสูง

ตัวอย่าง: TikTok จะดันคลิปที่มี Watch Time สูงและคนดูซ้ำ

9. สร้าง Community & สร้างฐานแฟนคลับ

  • ตอบคอมเมนต์และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้ติดตาม
  • ทำ Q&A, Poll, Live เพื่อให้แฟนๆ มีส่วนร่วม
  • ใช้ User-Generated Content (UGC) ให้แฟนๆ ช่วยสร้างคอนเทนต์ร่วมกับคุณ

ตัวอย่าง: อินฟลูเอนเซอร์ดังๆ มักมีแฟนคลับที่ช่วยแชร์คอนเทนต์ให้ฟรี

10. Collaboration กับอินฟลูเอนเซอร์คนอื่น

  • ทำ Duet หรือ Collab กับคนที่มีกลุ่มเป้าหมายคล้ายกัน
  • ขอให้เพื่อนหรืออินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามเยอะช่วยแชร์

ตัวอย่าง: การ Collab ของ YouTuber ชื่อดัง เช่น Mr. Beast (Jimmy Donaldson) และ Markiplier (Mark Fischbach) ร่วมมือกันในโครงการ “Unus Annus” ซึ่งเป็นช่อง YouTube ที่เต็มไปด้วยคลิปการแสดงโลดโผนและตลกโปกฮา ช่องนี้มีผู้ติดตามมากถึง 4.5 ล้านคนภายในเวลาเพียง 1 ปี และมียอดผู้เข้าชมสูงสุดที่ 1 พันล้านคน

11. อย่าลืม CTA (Call-to-Action)

กระตุ้นให้ผู้ชมมีส่วนร่วม เช่น “กดไลก์ กดแชร์ ถ้าคุณเห็นด้วย!” แท็กเพื่อนที่อยากให้ดูคลิปนี้!” “คอมเมนต์บอกเราหน่อยว่าคุณคิดยังไง”

ตัวอย่าง: คลิป TikTok ที่บอกว่า “ใครมีปัญหานี้บ้าง? คอมเมนต์มาเลย!” มักได้คอมเมนต์จำนวนมาก เป็นต้น

 

 

 
แหล่งที่มา :
 
 
 
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *