Brand Strategy คืออะไร?

ทำความเข้าใจ Brand Strategy คืออะไร?
องค์ประกอบที่สำคัญของ Brand Strategy

1. Brand Purpose (วัตถุประสงค์ของแบรนด์)
วัตถุประสงค์ของแบรนด์ หรือ Brand Purpose เป็นเหตุผลที่แบรนด์มีอยู่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่เพื่อสร้างกำไร แต่รวมถึงการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคม เช่น Nike มีเป้าหมายในการ “สร้างแรงบันดาลใจและนำนวัตกรรมมาสู่นักกีฬาทั่วโลก”
2. Brand Positioning (การวางตำแหน่งของแบรนด์)
การวางตำแหน่งของแบรนด์ หรือ Brand Positioning เป็นการกำหนดว่าธุรกิจต้องการให้ลูกค้ารับรู้แบรนด์ในลักษณะใดเมื่อเทียบกับคู่แข่ง หรือการแสดงถึง จุดยืนของแบรนด์ โดยต้องตอบคำถามสำคัญต่างๆ เช่น แบรนด์ของเราตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไร และทำไมลูกค้าควรเลือกเรา
3. Brand Values (ค่านิยมของแบรนด์)
ค่านิยมของแบรนด์ หรือ Brand Values เป็นหลักการ และความเชื่อที่แบรนด์ยึดมั่น และสะท้อนออกมาในทุกๆ ด้านของธุรกิจ เช่น ความซื่อสัตย์ ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม หรือความคิดสร้างสรรค์
4. Brand Personality (บุคลิกของแบรนด์)
บุคลิกของแบรนด์ หรือ Brand Personality คือ อารมณ์และลักษณะของแบรนด์ที่ต้องการสื่อสารออกไป เช่น Apple มีบุคลิกเป็นนวัตกรรมและความเรียบง่าย หรือ Coca-Cola มีบุคลิกที่สนุกสนานและเป็นมิตร
5. Brand Voice & Messaging (น้ำเสียงและข้อความของแบรนด์)
น้ำเสียงและข้อความของแบรนด์ หรือ Brand Voice & Messaging เป็นวิธีที่แบรนด์สื่อสารกับลูกค้า เช่น การใช้ภาษาที่เป็นกันเอง เป็นทางการ หรือมีอารมณ์ขัน ต้องสอดคล้องกับบุคลิกของแบรนด์
6. Brand Identity (อัตลักษณ์ของแบรนด์)
อัตลักษณ์ของแบรนด์ หรือ Brand Identity คือ องค์ประกอบทางภาพที่ช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ เช่น โลโก้ สี ฟอนต์ และดีไซน์ที่ใช้ในสื่อต่างๆ ทั้งออนไลน์ และออฟไลน์
7. Brand Experience (ประสบการณ์ของแบรนด์)
ประสบการณ์ของแบรนด์ หรือ Brand Experience คือ ความรู้สึก และประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากการโต้ตอบกับแบรนด์ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์ เช่น บริการลูกค้า เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรือบรรยากาศในร้าน
8. Brand Loyalty & Advocacy (ความภักดีและการสนับสนุนแบรนด์)
ความภักดีและการสนับสนุนแบรนด์ หรือ Brand Loyalty & Advocacy เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้ลูกค้ากลายเป็นแฟนพันธุ์แท้ของแบรนด์ และพร้อมที่จะแนะนำแบรนด์ให้กับผู้อื่น เช่น การสร้างชุมชนลูกค้า การให้รางวัลความภักดี สุดท้ายแล้วเมื่อองค์ประกอบทั้ง 8 เหล่านี้ทำงานร่วมกัน ก็จะสามารถสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่ง และมีเอกลักษณ์ได้ซึ่งจะช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโต และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้
Brand Strategy สำคัญอย่างไร

1. สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว
2. สร้างความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือ
3. เพิ่มความภักดีและการรักษาลูกค้า
4. สร้างความเชื่อมโยงทางอารมณ์
5. รองรับอำนาจในการกำหนดราคาและผลกำไร
6. สร้างความสอดคล้องกับเป้าหมาย
7. อำนวยความสะดวกในการเติบโตและขยายตัวของแบรนด์
8. ปรับปรุงการได้มาและการรักษาลูกค้า
9. สร้างวัฒนธรรมภายในและการมีส่วนร่วมของพนักงาน
10. มอบข้อได้เปรียบในการแข่งขัน
ขั้นตอนสำคัญในการสร้าง Brand Strategy

1. กำหนด จุดประสงค์ วิสัยทัศน์ และค่านิยม
2. ทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย
- ระบุข้อมูลประชากร : อายุ เพศ ระดับรายได้ ที่ตั้ง อาชีพ ฯลฯ
- ทำความเข้าใจข้อมูลทางจิตวิทยา : ความสนใจ พฤติกรรม ปัญหา แรงบันดาลใจ ไลฟ์สไตล์ และนิสัยการซื้อ
- สร้างตัวตนของผู้ซื้อ : พัฒนาตัวแทนในอุดมคติของคุณในรูปแบบสมมติพร้อมรายละเอียดเกี่ยวกับเป้าหมายและความท้าทายของพวกเขา
3. ดำเนินการวิเคราะห์คู่แข่ง
- แบรนด์คู่แข่ง : ใครคือคู่แข่งโดยตรงและโดยอ้อมของคุณ
- การวางตำแหน่งแบรนด์ : คู่แข่งเหล่านี้เสนอคุณค่าที่เป็นเอกลักษณ์อะไร ตลอดจนรูปแบบการส่งข้อความและการสื่อสาร โดยดูว่าพวกเขาสื่อสารเรื่องราวของแบรนด์อย่างไร
- เอกลักษณ์ทางภาพ : พวกเขาใช้สี โลโก้ และรูปแบบการออกแบบอย่างไร
- จุดแข็งและจุดอ่อน : วิเคราะห์ และระบุช่องว่างที่คุณสามารถสร้างความแตกต่างได้
4. กำหนดข้อเสนอคุณค่าเฉพาะ (UVP) และการวางตำแหน่งแบรนด์
5. พัฒนาข้อความและการเล่าเรื่องเกี่ยวกับแบรนด์
6. ออกแบบเอกลักษณ์ด้านภาพของแบรนด์
7. เลือกช่องทางของแบรนด์ที่เหมาะสม
8. นำกลยุทธ์การสร้างการรับรู้แบรนด์และการตลาดไปใช้
8 ไอเดีย Brand Strategy ที่น่าสนใจ

ในปี 2025 การสร้างกลยุทธ์แบรนด์ ที่มีประสิทธิภาพนั้นมีหลายแนวทางที่น่าสนใจ และสอดคล้องกับยุคสมัย ดังนี้ครับ
1. การเน้นความยั่งยืน (Sustainability)
การเน้นความยั่งยืนเป็นแนวทางที่ธุรกิจมุ่งเน้นความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างเช่น การใช้วัสดุรีไซเคิล ลดคาร์บอนฟุตพรินต์ และสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น เป็นต้น
2. การเล่าเรื่องที่แท้จริง (Authentic Storytelling)
บอกเล่าเรื่องราวที่มีความเป็นมนุษย์และมีคุณค่า ตัวอย่างเช่น การเน้นเรื่องราวของพนักงาน การใช้คอนเทนต์ที่ผู้ใช้สร้างขึ้น (UGC) และแคมเปญที่ขับเคลื่อนด้วยวัตถุประสงค์
3. การตลาดแบบ Hyper-Personalization
หรือ การปรับแต่งประสบการณ์ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ตัวอย่างเช่น การใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการที่เหมาะสม
4. การสร้างชุมชน (Community Building)
สร้างความผูกพันระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค ตัวอย่างเช่น LEGO Ideas และ Nike SNKRS ที่ให้ลูกค้ามีส่วนร่วมในการออกแบบผลิตภัณฑ์
5. การร่วมมือระหว่างแบรนด์ (Collaboration & Partnership Marketing)
ร่วมมือกับแบรนด์อื่นเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ตัวอย่างเช่น การจัดกิจกรรมร่วมกันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า
6. การตลาดแบบอินฟลูเอนเซอร์ (Influencer Marketing)
ใช้อินฟลูเอนเซอร์ในการโปรโมตสินค้า ตัวอย่างเช่น การใช้ Micro-Influencer และ Nano-Influencer เพื่อสร้างความไว้วางใจในกลุ่มเฉพาะ
7. เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (User-Generated Content)
ใช้เนื้อหาที่ลูกค้าหรือผู้ใช้สร้างขึ้นเพื่อโปรโมตแบรนด์ ตัวอย่างเช่น การแชร์ประสบการณ์หรือรีวิวสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย
8. การตลาดแบบเสียง (Voice Marketing)
ใช้เสียงเป็นช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า ตัวอย่างเช่น การใช้แพลตฟอร์มเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์ที่เป็นส่วนตัว และสะดวกสบาย