Remarketing คืออะไร? สำคัญอย่างไร ต่อกลยุทธ์การตลาดดิจิทัล

Remarketing

Remarketing

Remarketing –  ความจริงของการตลาดดิจิทัลทุกวันนี้ คือการแย่งชิงระหว่างแบรนด์และธุรกิจเพื่อให้ได้มาซึ่งลูกค้า ดังนั้นการกระตุ้นให้กลุ่มเป้าหมายกระทำการบางอย่างเพื่อนำไปสู่การแปลง (Conversion) จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกธุรกิจ อย่างไรก็ตาม โจทย์ยากอยู่ที่พฤติกรรมผู้บริโภค ที่ส่วนใหญ่มักจะไม่ตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการหลังจากการโต้ตอบกับแบรนด์เพียงครั้งเดียว ดังนั้นการกระตุ้นให้ผู้บริโภคเหล่านั้นกลับมากระทำการบางอย่างอีกครั้ง จึงเป็นเรื่องของความได้เปรียบทางธุรกิจ ด้วยเหตุนี้ หนึ่งในกลยุทธ์ Digital Marketing ที่เรียกว่า Remarketing จึงถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ดิจิทัลเอเจนซี่ ส่วนใหญ่ใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการรีมาร์เก็ตติ้งกับผู้มีโอกาสเป็นลูกค้า ซึ่งวันนี้ Talka จะมาแจกแจงทุกสิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์รีมาร์เกตติ้ง ตลอดจนเทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณสามารถโน้มน้าวผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าที่คุ้นเคยกับแบรนด์ของคุณให้ทำ Conversion ได้ในที่สุดครับ

Remarketing คืออะไร? มีกี่ประเภท

Remarketing

หากคุณทำงานในสายงานดิจิทัล คุณอาจเคยได้ยินคำนี้มาก่อน แต่ถ้าคุณยังไม่แน่ใจว่ารีมาร์เก็ตติ้ง คืออะไรกันแน่? ให้ลองนึกถึงเวลาที่คุณเข้าเว็บไซต์ๆ หนึ่งเพื่อเลือกดูผลิตภัณฑ์บางอย่างและคิดที่จะซื้อมัน บางทีคุณอาจเพิ่มมันลงในรถเข็นของคุณด้วยซ้ำ แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจซื้อจริงๆ คุณเลือกที่จะปิดหน้าเว็บไซต์ไปและใช้เวลาคิดมากขึ้น วันต่อมา คุณเห็นโฆษณาบนเว็บไซต์อื่นซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เดียวกันกับที่คุณเกือบจะซื้อก่อนหน้านี้ คุณคิดว่าเรื่องนี้มันบังเอิญมั้ยครับ? ความจริงคือมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญอย่างแน่นอน แต่มันแสดงว่าคุณได้มีประสบการณ์ตรงกับกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งของเจ้าของผลิตภัณฑ์ที่คุณหยิบใส่ตะกร้าไปเมื่อวันก่อนแล้วครับ

กล่าวคือ รีมาร์เก็ตติ้ง เป็นรูปแบบการโฆษณาที่ให้คุณแสดงโฆษณาผลิตภัณฑ์ของคุณโดยตรงกับผู้ที่เคยแสดงความสนใจก่อนหน้านี้ มันคือการโฆษณาเพื่อให้ลูกค้าเป้าหมายคิดคำนึงเกี่ยวกับการซื้อ วิธีนี้ช่วยให้แบรนด์ของคุณเข้าถึงผู้เข้าชมได้ก่อนใคร ซึ่งพวกเขาจะเห็นโฆษณาของคุณและจดจำแบรนด์ของคุณไว้ ทำให้พวกเขานึกถึงแบรนด์ของคุณก่อนเมือพวกเขาพร้อมที่จะซื้อผลิตภัณฑ์ชนิดนั้นแล้วจริงๆ 

พูดให้เข้าใจง่ายๆ การทำรีมาร์เก็ตติ้ง ก็คือการทำให้โฆษณาผลิตภัณฑ์ และบริการของคุณแสดงต่อผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ หรือเคยใช้แอปฯ มือถือของคุณ ตลอดจนการกำหนดเป้าหมายโดยใช้ที่อยู่อีเมลของผู้ที่เคยติดต่อกับแบรนด์ Remarketing เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยให้คุณสามารถแสดงโฆษณาต่อผู้ที่เคยอยู่ในเว็บไซต์ของคุณและหรือรวมเข้ากับฐานข้อมูลลูกค้า (CRM) ของคุณได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนออกจากเว็บไซต์ของคุณโดยไม่ได้ซื้อรีมาร์เก็ตติ้งจะช่วยให้คุณเชื่อมต่อกับพวกเขาอีกครั้งด้วยการแสดงโฆษณาที่เกี่ยวข้องในอุปกรณ์ต่างๆ หรือ เครือข่ายต่างๆ และหวังว่าจะนำพวกเขากลับเข้าสู่การมีส่วนร่วมกับคุณได้อีกครั้ง  

หรือการใช้กลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งด้วยวิธียอดนิยม เช่น โฆษณาแบบดิสเพลย์ ที่โฆษณาของคุณจะถูกแสดงบนเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google หรือบนวิดีโอ YouTube ของผู้ที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ของคุณ ฟังก์ชันที่มีให้ในเครือข่ายดิสเพลย์นั้นมีอยู่ทั้งบน YouTube, Facebook, Twitter, LinkedIn และการกำหนดเป้าหมายซ้ำด้วยฟีเจอร์แบบพรีเมียม เมื่อคุณเข้าใจแนวคิดของการกำหนดเป้าหมายใหม่แล้วก็จะสามารถใช้กลยุทธ์นี้บนเครือข่ายต่างๆ ได้เช่นเดียวกัน  

โดยหลักการทำงานของกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง คือ จะมีการวางโค้ด Tracking Pixel ในหน้าที่ต้องการจะติดตามโดยโค้ดจะทำงานร่วมกับคุกกี้ของเบราว์เซอร์ของผู้เข้าชม เพื่อบันทึกข้อมูลการเข้าชมเว็บของผู้เยี่ยมชมรายนั้นๆ เมื่อพวกเขาเปิดหน้าเว็บต่างๆ ที่มีการวางโค้ดไว้ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่การบันทึกข้อมูลส่วนบุคคล แต่มันจะรับรู้ได้ทันทีหากคุณเคยอยู่ในเว็บไซต์ใดเว็บไซต์หนึ่งมาก่อน ด้วยคุกกี้เหล่านี้จะช่วยให้คุณสร้างกลุ่มผู้ชมที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน คุณสามารถสร้างกลุ่มคนที่เข้าชมหน้าใดหน้าหนึ่ง เพื่อที่คุณจะสามารถทำการตลาดกับพวกเขาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ในหน้านั้นได้

กลยุทธ์ Remarketing มีกี่ประเภท

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าการทำรีมาร์เก็ตติ้งไม่ได้มีเพียงวิธีเดียว ซึ่งต่อไปนี้ คือ ประเภทของกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง ทั้ง 6 ประเภท ในปัจจุบัน ที่คุณจำเป็นต้องรู้ครับ

1. Remarketing ดิสเพลย์

รีมาร์เก็ตติ้งแบบดิสเพลย์เป็นประเภทของกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งที่นักการตลาดในปัจจุบันนิยมใช้มากที่สุดก็ว่าได้ มันเกี่ยวข้องกับการใช้การโฆษณาแบบชำระเงิน โดยเฉพาะการแสดงโฆษณาหรือโฆษณาที่ปรากฏในส่วนขอบของเว็บไซต์บุคคลที่สามเพื่อเข้าถึงผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเรียกใช้แคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งแบบดิสเพลย์ได้ ซึ่งปัจจุบัน Google Ads ถือเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่นิยมมากที่สุด อย่างไรก็ตามแต่ละแพลตฟอร์มจะทำงานในลักษณะพื้นฐานเดียวกัน คือติดตามพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์โดยใช้คุกกี้ จากนั้นจะมีการกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ที่เข้าชมเว็บไซต์ของคุณด้วยโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์ของคุณ โฆษณาแบบดิสเพลย์จะปรากฏบนเว็บไซต์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายโฆษณาที่ผู้คนใช้ ยกตัวอย่างเช่น หากคุณใช้ Google Ads โฆษณาของคุณจะปรากฏต่อผู้ใช้เมื่อพวกเขาเข้าชมเว็บไซต์ที่เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายดิสเพลย์ของ Google นั่นเองครับ 

2. Remarketing การค้นหา

การกำหนดเป้าหมายซ้ำ อีกประเภทหนึ่ง คือ รีมาร์เก็ตติ้งการค้นหา รีมาร์เก็ตติ้งบนเครือข่ายการค้นหาทำงานคล้ายกับรีมาร์เก็ตติ้งแบบดิสเพลย์ แต่แทนที่จะใช้โฆษณาแบบดิสเพลย์ จะใช้การโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่ายในหน้าผลลัพธ์ของเครื่องมือค้นหา (SERPs) ซึ่งใน Google Ads ฟีเจอร์นี้เรียกว่า รีมาร์เก็ตติ้งสำหรับโฆษณาบนเครือข่ายการค้นหา (RLSA) และเช่นเดียวกับรีมาร์เก็ตติ้งแบบดิสเพลย์ การดำเนินการนี้ทำงานโดยการติดตามการเข้าชมหน้าเฉพาะบนเว็บไซต์ของคุณ แต่แทนที่จะแสดงโฆษณาไปยังผู้ใช้บนเว็บไซต์บุคคลที่สาม วิธีนี้จะกำหนดเป้าหมายผ่านการค้นหาของ Google โฆษณาบนการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่ายเหล่านี้ดูเหมือนกับผลการค้นหาทั่วไปที่เป็นแบบ Organic Search แต่ข้อแตกต่าง คือ จะมีป้ายกำกับว่าเป็น “โฆษณา” ที่มุมด้านบน โดยทั่วไปแล้วรีมาร์เก็ตติ้งประเภทนี้จะแสดงอยู่เหนือการจัดอันดับทั่วไปทำให้มีประสิทธิภาพในการดึงดูดการคลิกสูง  

3. Remarketing แบบไดนามิก

รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกแตกต่างจากสองประเภทก่อนหน้านี้และไม่ซ้ำกันด้วยรูปแบบ ด้วยเนื้อหาแล้วโฆษณารีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกสามารถมีได้หลายรูปแบบ แต่สิ่งที่เป็นตัวกำหนดในการแสดงผล ก็คือ โฆษณาเหล่านี้จะปรากฏต่อผู้ใช้แต่ละคนไม่เหมือนกัน โฆษณาแบบไดนามิกจะกำหนดเป้าหมายผู้ใช้ตามการกระทำบางอย่างที่พวกเขาทำบนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งมักจะเกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะ หากมีผู้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณและดูสินค้าที่คุณขาย พวกเขาอาจพบโฆษณาที่มีผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในภายหลัง รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกเป็นประเภทการกำหนดเป้าหมายใหม่ที่นักการตลาดยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นวิธีที่กำหนดโฆษณาแบบส่วนบุคคลเฉพาะสำหรับผู้ใช้แต่ละราย ซึ่งในกรณีที่ผู้ใช้บางคนไม่ตอบสนองต่อโฆษณาทั่วๆ ไปของคุณพวกเขาอาจเปิดกว้างมากขึ้นต่อโฆษณาสำหรับผลิตภัณฑ์หรือบริการเฉพาะที่พวกเขาให้ความสนใจเป็นพิเศษ 

4. Remarketing แบบวีดีโอ

รีมาร์เก็ตติ้งแบบวิดีโอเป็นแนวคิดที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน เป็นเพียงรีมาร์เก็ตติ้งที่อยู่ในรูปแบบของเนื้อหาวิดีโอ โดยทั่วไปแล้ว YouTube ถือเป็นช่องทางที่ง่ายที่สุดสำหรับการกำหนดเป้าหมายใหม่ประเภทนี้ สำหรับ Google Ads คุณสามารถตั้งค่าโฆษณาวิดีโอด้วยวิธีเดียวกับที่คุณตั้งค่าโฆษณาบนเครือข่ายการค้นหา หรือแบบดิสเพลย์ สำหรับบน YouTube โดยปกติโฆษณาของคุณจะเล่นก่อนหรือระหว่างวิดีโออื่นๆ ที่ผู้คนกำลังดู จึงเป็นความคิดที่ดีกว่าที่จะทำให้โฆษณาเหล่านี้สั้นกระชับ เพื่อให้ผู้ใช้ไม่หงุดหงิดกับโฆษณาจนเกินไป หรือเพียงแค่คลิก “ข้ามโฆษณา” ขณะที่ผู้ใช้เรียกดูวิดีโออื่นๆ ใน YouTube พวกเขาสามารถพบโฆษณาของคุณและได้รับการเตือนถึงความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ อย่างไรก็ตาม กลุ่มคนที่โฆษณาของคุณไม่สามารถเข้าถึงได้ คือผู้ที่สมัครใช้งาน Youtube แบบ Premium ซึ่งจะไม่มีการแสดงโฆษณาใดๆ ระหว่างการเล่นวีดีโอ

5. Remarketing แบบอีเมล

อีเมลเป็นรีมาร์เก็ตติ้งที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการโฆษณาแบบเสียค่าใช้จ่าย ด้วยการตลาดผ่านอีเมล คุณสามารถส่งโปรโมชั่นและอีเมลแจ้งเตือนความจำไปยังผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าที่สมัครรับอีเมลของคุณ ในการเริ่มต้นสร้างรายชื่ออีเมล คุณสามารถตั้งค่าแบบฟอร์มสั้นๆ บนไซต์ของคุณที่สนับสนุนให้ผู้คนส่งที่อยู่อีเมลของตนเพื่อแลกกับบางอย่าง เช่น จดหมายข่าวหรือส่วนลดพิเศษ จากนั้นคุณสามารถเริ่มส่งสิ่งที่สัญญาไว้ให้กับทุกคนในรายการของคุณ คุณยังสามารถส่งอีเมลถึงผู้ที่ละทิ้งรถเข็นบนไซต์ของคุณ เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาทำการซื้อให้เสร็จสิ้น และสำหรับผู้ที่เปลี่ยนใจมาเลื่อมใสในธุรกิจของคุณเรียบร้อยแล้ว คุณจะสามารถแนะนำผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมที่พวกเขาอาจชอบได้ อีเมลเป็นประเภทรีมาร์เก็ตติ้งที่ยอดเยี่ยมสำหรับการปรับเปลี่ยนในแบบของคุณ คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มการจัดการอีเมลเพื่อส่งอีเมลจำนวนมากโดยระบุชื่อผู้ใช้แต่ละคนได้ตามต้องการ

6. Remarketing โซเชียลมีเดีย

คุณเคยค้นหาบางอย่างทางออนไลน์ แล้วพบว่าโฆษณาทั้งหมดที่คุณเห็นบนโซเชียลมีเดีย เป็นแบรนด์เดียวกันหรือเป็นผลิตภัณฑ์ที่คล้ายคลึงกันกับที่คุณเคยค้นหาทางออนไลน์ใช่มั้ยครับ ความจริงเรื่องนี้ไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันคือหนึ่งในกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง โดยติดตามผู้ใช้ในเว็บไซต์ด้วยข้อเสนอที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่างเช่น เมื่อคุณค้นหากล้องติดรถยนต์บน Google หรือ ในเว็บไซต์ E-Commerce ต่างๆ  และครั้งต่อไปที่คุณเข้าใช้งาน Facebook คุณจะเห็นโฆษณากล้องติดรถยนต์มากมายปรากฏขึ้น ซึ่งนี่แหละครับ คือการทำรีมาร์เก็ตติ้งบนโซเชียลมีเดียให้กับผู้ที่เคยเข้าชมสินค้าหรือบริการต่างๆ บนเว็บไซต์ของคุณ ซึ่งโค้ด (Tracking Pixels) จะถูกวางไว้บนหน้าที่ผู้ใช้นั้นเข้าชม ซึ่งจะส่งผลให้โฆษณาของคุณติดตามพวกเขาไปยังที่ต่างๆ ในอินเทอร์เน็ต เช่น บนโซเชียลมีเดีย 

นอกจากนี้ คุณสามารถกำหนดเป้าหมายผู้คนตามเกณฑ์ต่างๆ เช่น คุณสามารถใช้แนวทางเดียวกันกับรีมาร์เก็ตติ้งประเภทอื่นๆ โดยกำหนดเป้าหมายไปยังผู้ที่เคยเข้าชมบางหน้าในเว็บไซต์ของคุณ หรือกำหนดเป้าหมายผู้คนตามวิธีที่พวกเขามีส่วนร่วมกับโซเชียลมีเดียของคุณได้ ตัวอย่างเช่น บน Facebook คุณสามารถกำหนดเป้าหมายผู้ที่เคยเข้าชมเพจของคุณหรือบันทึกโพสต์ของคุณได้ เป็นต้น

Remarketing vs Retargeting

Remarketing

มาถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนคงเคยได้ยินคำที่ใกล้เคียงกันและมักมีการเรียกผิดๆ อย่างคำว่า Retargeting และอาจสงสัยว่ามันแตกต่างอย่างไร กับ Remarketing ความจริงแล้วทั้งสองต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกัน คือ การสร้างโอกาสในการขายให้ธุรกิจ อย่างไรก็ตามยังมีความแตกต่างกันระหว่างทั้งสองคำนี้ กล่าวคือ Retargeting มักใช้กับการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมายโดยอ้างอิงจาก Cookie (ประวัติการเข้าชมเว็บไซต์) เป็นหลัก แต่ Remarketing มักใช้กับการโฆษณาในแพลตฟอร์มต่างๆ เช่น โฆษณาแบบดิสเพลย์ ซึ่งไม่ได้ติดตามผู้ใช้จากประวัติการเข้าชมเว็บไซต์เท่านั้น เป็นเทคนิควิธีการในการเข้าถึงกลุ่มผู้ชมลูกค้าที่เคยเข้ามายังเว็บไซต์ผ่านการโฆษณาที่ไปแสดงผลยังเว็บไซต์ต่างๆ ด้วย 

สรุปแล้วจะเห็นได้ว่าทั้งสองกลยุทธ์มีรายละเอียดที่แตกต่างกันเล็กน้อย ซึ่งถ้าจะเจาะลึกในประเด็นของความแตกต่างอาจเป็นไปได้ด้วยเหตุผลทางการตลาดและการค้า ด้วย Google มักจะให้คำจำกัดความของความสามารถในการเพิ่มศักยภาพการโฆษณาด้วยคำว่า Remarketing มากกว่า และที่เห็นได้ชัดคือ Google จะไม่พูดถึงคำว่า Retargeting เลย ใน Definition จาก Blog หรือ เว็บไซต์ Support ต่างๆ ของ Google ซึ่งคำว่า Retargeting นั้นน่าจะเป็นนิยามจากกลุ่ม แพลตฟอร์มโฆษณาของระบบการตลาดออนไลน์ Adserve อย่างเช่น Chango,Adroll,Ctrieo เป็นต้น ซึ่งมักมีการใช้คำว่า Retargeting มากกว่า เช่น เมื่อเราเปิดเว็บไซต์หนึ่งขึ้นมาแล้วเห็นโฆษณา หรือ Advertises ที่เกี่ยวโปรโมชั่นจากเว็บอื่นๆ ที่เราเคยเปิดเข้าไปดูก่อนหน้านี้แฝงอยู่ เป็นต้น

ความสำคัญและประโยชน์ของ Remarketing

Remarketing

รีมาร์เก็ตติ้งเป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจของคุณ ซึ่งประเด็นต่อไปนี้ คือ ประโยชน์ของการทำ รีมาร์เก็ตติ้ง ที่ส่งผลดีต่อธุรกิจของคุณที่ได้รับการยืนยันและยอมรับจากนักการตลาดมืออาชีพครับ 

  • รีมาร์เก็ตติ้งเป็นเทคนิคที่คุ้มค่าแก่การลงทุน
  • รีมาร์เก็ตติ้งช่วยให้คุณติดต่อกับผู้ชมได้เสมอ
  • ให้ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ที่สูงขึ้น
  • ช่วยปรับปรุงความเกี่ยวข้องของโฆษณา ให้คุณมีกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ที่สำคัญ คือช่วยให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้

ด้วยประโยชน์ ข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจ ที่ปัจจุบันบริษัทต่างๆ จะนำกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งมาใช้อย่างแพร่หลาย เพื่อเพิ่มยอดขายแบบทวีคูณ ซึ่งต่อไปนี้คือ ประโยชน์ของกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งบางประการ ที่ส่งผลต่อความสำคัญของกลยุทธ์นี้ครับ

1. ทำให้คุณเป็นที่หนึ่งในใจของผู้คน

ความท้าทายประการหนึ่งของการทำการตลาดออนไลน์ ก็คือการที่ผู้คนจะฟุ้งซ่านได้ง่าย สักครู่พวกเขาอาจเลื่อนดูหน้าในเว็บไซต์ของคุณ แต่จากนั้นพวกเขาอาจไปที่ไซต์อื่นหรือถูกดึงออกไปโดยการแจ้งเตือนแบบป๊อปอัป โชคดีที่รีมาร์เก็ตติ้งสามารถช่วยแก้ปัญหานี้ได้ ด้วยการช่วยเตือนผู้คนเกี่ยวกับธุรกิจของคุณได้ อาทิ อาจมีใครบางคนพัฒนาความสนใจในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ แต่แล้วก็ลืมคุณไป เมื่อพวกเขาเห็นโฆษณาของคุณ บุคคลนั้นจะนึกถึงคุณและกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณอีกครั้งเพื่อเรียกดูต่อ การแสดงแบรนด์ซ้ำๆ นี้เป็นหนึ่งในประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของการกำหนดเป้าหมายใหม่ และสิ่งที่คุณต้องการควบคุม

2. รีมาร์เก็ตติ้งเข้าถึงผู้ชมที่เกี่ยวข้องได้

องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของการตลาดคือการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม หากผู้ชมของคุณไม่เปิดกว้างต่อสิ่งที่คุณขาย ความพยายามทางการตลาดของคุณจะสูญเปล่า แทบไม่มีผู้ชมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณมากไปกว่ากลุ่มคนที่มีส่วนได้เสียอย่างชัดเจนในผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ หากคุณกำลังพยายามเข้าถึงผู้ที่จะเปิดกว้างต่อโฆษณาของคุณมากที่สุด คนนั้นจะเป็นผู้ที่เคยเข้าชมไซต์ของคุณแล้ว ด้วยเหตุผลดังกล่าว รีมาร์เก็ตติ้งจึงเป็นกลยุทธ์ที่น่าทึ่งในการเข้าถึงกลุ่มคนในอุดมคติเหล่านี้

3. ช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชม

จากงานวิจัยของ QuickSprout.com 97% ของผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์โดยไม่ทำ Conversion ซึ่งหมายถึง ผู้เข้าชมเว็บไซต์ 97 คน จาก 100 คน ที่เป็นผู้ใช้ใหม่ จะไม่ระบุอีเมลหรือหมายเลขติดต่อหรือรายละเอียดการติดต่อต่างๆ ไว้ให้คุณ นอกจากนี้ จากการวิจัยยังพบว่า ประมาณ 49% ของผู้เยี่ยมชมจะเรียกดูเว็บไซต์ประมาณ 2-4 ครั้งก่อนที่จะทำการซื้อ โดยผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้เวลามากในการดูคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์และเปรียบเทียบบนแพลตฟอร์มต่างๆ ดังนั้นเพื่อการเพิ่มยอดขายและตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า ด้วยกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง สามารถทำให้ธุรกิจหรือแบรนด์ สามารถติดตามผู้ใช้จากเว็บไซต์หนึ่งไปอีกเว็บไซต์หนึ่ง และโปรโมตผลิตภัณฑ์และบริการตามความต้องการของพวกเขา กลยุทธ์นี้จะช่วยสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมาย แบรนด์จะได้รับข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า และสามารถทำรีมาร์เก็ตติ้งในลักษณะพิเศษเฉพาะที่เหมาะกับผู้ใช้แต่ละคนได้

4. ปรับการรับรู้ถึงแบรนด์เพิ่มขึ้น

บริษัทประมาณ 42% ใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อสร้างการรับรู้และจดจำแบรนด์ บริษัทที่มีชื่อเสียงต้องการให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ของตนได้อย่างรวดเร็ว เพราะการจดจำแบรนด์เป็นหนึ่งในผลลัพธ์ที่สำคัญ ด้วยรีมาร์เก็ตติ้ง บริษัทต่างๆ สามารถสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ได้อีกครั้ง ลองพิจารณาตัวอย่างเล็กๆ หนึ่งตัวอย่าง เช่น หากคุณกำลังค้นหาแว่นตา บนเว็บไซต์อย่าง Shopee และคุณพบแว่นที่ถูกใจและได้เพิ่มลงในรถเข็นของคุณ แต่ยังไม่ได้ทำการซื้อแล้วออกจากเว็บไซต์ไป คุณคิดว่า Shopee จะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ครับ? แน่นอนว่าพวกเขาจะสร้างแบรนด์ในใจคุณอีกครั้ง พวกเขาสามารถกำหนดเป้าหมายคุณใหม่ผ่านโฆษณารีมาร์เก็ตติ้งของ Facebook โฆษณา Google และโฆษณาโซเชียลมีเดียอื่น ๆ หรือแม้แต่ส่งอีเมลถึงคุณ ด้วยประสิทธิภาพของรีมาร์เก็ตติ้ง พวกเขาสามารถสร้างแบรนด์ในใจของคุณได้อย่างมีกลยุทธ์  นี่คือวิธีที่แบรนด์ต่างๆ ใช้เพื่อเพิ่มการรับรู้และจดจำแบรนด์ของตนนั่นเอง

5. อัตราการแปลงบนเว็บไซต์เพิ่มขึ้น

รีมาร์เก็ตติ้งช่วยเพิ่มโอกาสของแบรนด์และบริษัทในการดึงดูดผู้เข้าชมโดยแสดงโฆษณาบนสื่อต่างๆ โฆษณารีมาร์เก็ตติ้ง เช่น โฆษณาบน Facebook ช่วยให้บริษัทออนไลน์ สามารถเสนอข้อเสนอต่างๆ และดึงดูดผู้เยี่ยมชมดังกล่าวให้กลับมาที่เว็บไซต์อีกครั้งและทำข้อตกลงให้เสร็จสิ้น กล่าวคือ จำนวนครั้งที่ผู้ชมของคุณได้ดูเว็บไซต์ของคุณอีกครั้งสองครั้งมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่มักจะเข้าชมผลิตภัณฑ์เดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะทำการตัดสินใจซื้อ

6. ดึงดูดลูกค้าจากคู่แข่ง

ความสำคัญของรีมาร์เก็ตติ้งอีกประการคือ ความสามารถของการใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อกำหนดเป้าหมายลูกค้าของคู่แข่ง ด้วยการใช้กลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง โฆษณาของคุณจะปรากฏบนเบราว์เซอร์ของลูกค้าหลังจากที่พวกเขาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของคุณหรือค้นหาคำหลักเฉพาะ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถกำหนดเป้าหมายผู้ชมของคุณที่เคยเข้าชมเว็บไซต์ที่มีความเกี่ยวข้องสูงกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณรวมถึงของคู่แข่งของคุณด้วย  ดังนั้น สิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญและเป็นประโยชน์อันดับต้นๆ ของกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้ง นั่นเองครับ

7. สร้างผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) สูง

ประโยชน์ของรีมาร์เก็ตติ้งหลักประการสุดท้ายคือรีมาร์เก็ตติ้งเป็นวิธีที่ถือเป็นตัวเอกในการเพิ่มผลตอบแทนจากค่าโฆษณา (ROAS) ของคุณ โดยทั่วไป ROAS หมายถึงกำไรที่คุณทำได้ เป็นจำนวนเงินที่คุณได้รับคืนเมื่อเทียบกับจำนวนเงินที่คุณใช้ในแคมเปญโฆษณา ด้วยรีมาร์เก็ตติ้งที่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์โดยรวมของคุณ ROAS ของคุณจะสูงขึ้นมาก นั่นเป็นเพราะรีมาร์เก็ตติ้งสามารถเข้าถึงผู้ชมที่สมบูรณ์แบบเพื่อกระตุ้น Conversion ได้มากกว่ากลยุทธ์อื่นๆ มากมาย ซึ่งหมายความว่าจะส่งผลให้เกิดการซื้อและรายได้โดยรวมมากขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือรีมาร์เก็ตติ้งนั้นคุ้มค่ากับการลงทุนเมื่อคุณดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ

เทคนิคการทำ Remarketing ให้ประสบความสำเร็จ

Remarketing

เมื่อคุณจะเริ่มต้นสร้างแคมเปญการตลาดใดๆ ก็แล้วแต่ คุณต้องกำหนดเป้าหมาย ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้จะช่วยคุณในการกำหนดรูปแบบแคมเปญของคุณ เพื่อนำไปจัดโครงสร้างแคมเปญที่ได้ผล บริษัทต่างๆ แบ่งการกำหนดเป้าหมายออกเป็นสองประเภทสำหรับแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้ง ซึ่งก็คือการได้รับโอกาสในการดำเนินการเพื่อการขาย และการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ของตน ซึ่งรายละเอียดของแต่ละเป้าหมายนั้นอธิยายได้ดังต่อไปนี้ครับ

  • เป้าหมายในการกระตุ้นให้ลูกค้าดำเนินการ

บริษัทต่างๆ ใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อให้ผู้ชมดำเนินการ ซึ่งโดยปกติแล้วจะเป็นการซื้อสินค้าและบริการ บริษัทต่างๆ กำหนดเป้าหมายในผู้ที่กำลังพิจารณาผลิตภัณฑ์ของตน ไม่ว่าใครจะเรียกดูผลิตภัณฑ์หรือละทิ้งตะกร้าสินค้า บริษัทก็สามารถกำหนดเป้าหมายคนเหล่านั้นใหม่เพื่อกระตุ้นให้พวกเขาพิจารณาการซื้อใหม่อีกครั้งหนึ่ง

  • เป้าหมายในการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์

การใช้โฆษณารีมาร์เก็ตติ้งเพื่อสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ วิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจของคุณอยู่ในตัวเลือกอันดับต้นๆ ของผู้คน การสร้างโฆษณาที่สร้างการรับรู้ถึงแบรนด์จะช่วยให้ผู้บริโภคคุ้นเคยและไว้วางใจบริษัทของคุณมากขึ้น เมื่อคุณต้องการให้ผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าเห็นโฆษณาและจดจำแบรนด์ของคุณเพื่อให้ได้รับ Conversion มากขึ้น ในท้ายที่สุด เมื่อถึงเวลาตัดสินใจซื้อ ย่อมมีโอกาสที่พวกเขาจะจดจำแบรนด์ของคุณและเลือกบริษัทของคุณเหนือคู่แข่ง

นี่คือเป้าหมายหลักสองประการของแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งที่คุณควรคำนึงถึงเสมอเมื่อทำการตั้งเป้าหมายของแคมเปญ คุณควรกำหนดวัตถุประสงค์ด้วยตัวเลขที่ระบุเกี่ยวกับการแสดงผล หรือการแปลง เนื่องจากสิ่งนี้จะแนะนำคุณให้บรรลุผลลัพธ์ที่จับต้องได้ โดยกำหนดเป้าหมายที่ใช้งานได้จริงและคำนวณได้ เพื่อสร้างแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น ซึ่งจะแปลงลีดที่มีคุณภาพให้กับแบรนด์ของคุณ ซึ่งขั้นต่อไปเราจะมาลงในรายละเอียดของเทคนิคต่างๆ ที่จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จในกลยุทธ์รีมาร์เก็ตติ้งของคุณได้ครับ

1. เลือกกลุ่มผู้ชมที่เหมาะสม

หากคุณต้องการมีแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งที่ประสบความสำเร็จ คุณต้องเริ่มต้นด้วยผู้ชมของคุณ หากคุณไม่ได้กำหนดเป้าหมายผู้ชมที่ถูกต้องสำหรับแบรนด์ของคุณ คุณอาจเสี่ยงที่จะสูญเสียลีดที่แปลงได้ง่าย และคุณจะไม่เห็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจของคุณ แล้วคุณจะหาผู้ชมที่เหมาะสมได้อย่างไร? คุณสามารถใช้รายการจากวิธีการทางการตลาดอื่นๆ เพื่อค้นหาลูกค้าเป้าหมาย โปรไฟล์การตลาดทางโซเชียลมีเดีย และอีเมลของคุณเป็นแหล่งที่ดีในการกำหนดเป้าหมายผู้ที่สนใจหรือเคยดูผลิตภัณฑ์ของคุณ

2. การแบ่งกลุ่มลูกค้า

แม้ว่าผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์อาจมีความสนใจทั่วไปในผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายของคุณ แต่หลายๆ คนมักสนใจสินค้าหรือบริการจริงๆ เพียงหนึ่งหรือสองรายการเท่านั้น หากต้องการจำกัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีแนวโน้มว่าจะสนใจผลิตภัณฑ์หรือบริการมากที่สุด การแบ่งกลุ่มลูกค้าตามความสนใจในผลิตภัณฑ์ เช่น ข้อมูลประชากร ภูมิศาสตร์ และปัจจัยอื่นๆ ถือเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง การแบ่งกลุ่มลูกค้าจะทำงานได้ดีที่สุดกับรีมาร์เก็ตติ้งก็ต่อเมื่อเราจัดการและตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ในทันที

นอกจากนี้ การแบ่งกลุ่มผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ตามพฤติกรรม ก็เป็นอีกวิธีซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีได้ ตัวอย่างเช่น หากคุณเป็นเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ ผู้บริโภครายหนึ่งไปที่หน้าสุดท้ายของกระบวนการเช็คเอาต์แต่ไม่ได้ทำการซื้อจนเสร็จสิ้น เมื่อเกิดกรณีนี้ คุณควรเพิ่มบุคคลนั้นในกลุ่มอื่นสำหรับชุดข้อความที่แตกต่างจากผู้เยี่ยมชมที่เข้าชมเฉพาะหน้าแรก เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าผู้บริโภครายนี้สนใจที่จะซื้อสินค้าหรือบริการบางอย่างมากแต่กลับตัดสินใจไม่ซื้อในวินาทีสุดท้ายซึ่งคาดเดาได้ว่าบางทีเขาอาจต้องการเปรียบเทียบราคาเพิ่มเติมอีกหน่อย ดังนั้น ควรแสดงโฆษณาที่รับประกันการจับคู่ราคาซึ่งจะทำให้ผู้คนกลับเข้าสู่เว็บไซต์ของคุณอีกครั้งเพื่อไม่ให้พวกเขาซื้อผลิตภัณฑ์จากคู่แข่งแทน

3. ผสมผสานช่องทางรีมาร์เก็ตติ้ง

ธุรกิจส่วนใหญ่เลือกช่องทางเฉพาะสำหรับแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งของตน เช่น โฆษณาแบบรูปภาพ โฆษณาแบนเนอร์ และโฆษณาบน Facebook หรือวิดีโอ  อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคไม่ได้อยู่แค่ช่องทางเดียว เช่นเดียวกับความพยายามทางการตลาดอื่นๆ การเข้าถึงผู้บริโภคในที่ที่พวกเขาอยู่จึงเป็นสิ่งสำคัญ ซึ่งหมายถึงการกระจายแคมเปญของคุณผ่านช่องทางต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนอุปกรณ์เคลื่อนที่

4. พิจารณารีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิก

รีมาร์เก็ตติ้งรูปแบบขั้นสูง คือ รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกที่ให้ความสำคัญกับประวัติการเข้าชมของผู้ชมของคุณ ด้วยการใช้เทคนิคการตลาดแบบไดนามิกในแคมเปญของคุณ คุณจะสามารถดึงลูกค้าเป้าหมายกลับมาที่เว็บไซต์ของคุณได้ดียิ่งขึ้น เมื่อคุณใช้รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิก คุณสามารถแสดงโฆษณาที่มีผลิตภัณฑ์ที่ผู้เข้าชมเคยดูก่อนหน้านี้ หากคุณมีกลุ่มผู้ชมตามความสนใจ การทำเช่นนี้จะทำให้คุณโฆษณาผลิตภัณฑ์กับพวกเขาง่ายขึ้น รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกยังช่วยให้คุณเลือกเลย์เอาต์ที่ดีที่สุดโดยพิจารณาจากบุคคลและอุปกรณ์ที่พวกเขาใช้ ซึ่งจะช่วยให้คุณมอบประสบการณ์การโฆษณาที่ดียิ่งขึ้นแก่ผู้ชมของคุณ การใช้รีมาร์เก็ตติ้งแบบไดนามิกทำให้คุณสามารถมอบประสบการณ์โฆษณาที่ดีขึ้นให้กับบรรดาลีดของคุณได้

5. สร้างโฆษณาที่สะท้อนถึงธุรกิจของคุณ

หากคุณกำลังจะสร้างโฆษณา คุณต้องสร้างโฆษณาที่สะท้อนถึงแบรนด์ของคุณ คุณต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าผู้ชมจะรับรู้ว่าโฆษณานั้นมาจากธุรกิจของคุณ ในการทำเช่นนี้ คุณจะต้องใช้ชุดสีและสไตล์ที่โดดเด่นซึ่งเชื่อมโยงกับบริษัทของคุณ วิธีนี้จะช่วยให้ผู้คนจำโฆษณาธุรกิจของคุณได้ทันทีเมื่อสังเกตเห็น การแสดงโฆษณาที่เป็นเอกลักษณ์ของคุณจะทำให้แบรนด์ของคุณอยู่ในความคิดของผู้คน สร้างการจดจำแบรนด์ให้โดดเด่นท่ามกลางคู่แข่งของคุณเพื่อรับ Conversion เพื่อโอกาสในการขายมากขึ้น

6. สร้างโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์

คุณต้องสร้างโฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์สำหรับแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งของคุณ โฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์มีความสำคัญเนื่องจากช่วยให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์โฆษณาที่ดีขึ้น โฆษณาที่ปรับเปลี่ยนตามอุปกรณ์จะปรับขนาดให้พอดีกับหน้าจอ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ทุกประเภทสามารถดูโฆษณาในรูปแบบที่ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์ของตน

นอกจากนี้ยังพอดีกับพื้นที่โฆษณาบนอุปกรณ์แต่ละเครื่องที่ผู้ชมของคุณใช้ ตัวอย่างเช่น หากคุณมีลูกค้าเป้าหมายรายหนึ่งกำลังดูโฆษณาของคุณบนอุปกรณ์เคลื่อนที่และอีกรายหนึ่งอยู่บนเดสก์ท็อป โฆษณาจะเปลี่ยนรูปลักษณ์เพื่อให้พอดีกับพื้นที่บนอุปกรณ์ ไม่ว่าคุณจะมีโฆษณาแบนเนอร์ โฆษณาแบบไดนามิก หรือสื่อส่งเสริมการขายประเภทอื่นๆ การออกแบบที่ตอบสนองได้ช่วยให้มั่นใจได้ว่าโฆษณาของคุณจะปรับให้เข้ากับประสบการณ์ของผู้ชมของคุณ ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ทั้งหมดจะได้รับประสบการณ์เชิงบวกกับโฆษณาของคุณ ซึ่งจะทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะทำ Conversion มากขึ้นนั่นเอง

7. กระตุ้นเตือนผู้ที่ละทิ้งตะกร้าสินค้า

หนึ่งในสิ่งที่พบบ่อยที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับลูกค้าเป้าหมายของคุณ คือการที่พวกเขาละทิ้งตะกร้าสินค้า แม้พวกเขาจะใส่สินค้าในรถเข็นและคลิกต่อไปที่หน้าชำระเงิน แต่สุดท้ายแล้วพวกเขากลับหยุดอยู่แค่นั้น ในกรณีนี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการซื้อผลิตภัณฑ์เหล่านั้นเลย เพียงแต่พวกเขากำลังมีความคิดที่สองและต้องการคิดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการซื้อผลิตภัณฑ์นั้นของคุณ นี่เป็นพฤติกรรมปกติของผู้บริโภคที่พบเห็นได้เสมอ เพราะพวกเขาต้องการให้แน่ใจว่าพวกเขากำลังตัดสินใจเลือกสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง  และเนื่องจากผู้บริโภคเหล่านี้ใส่ผลิตภัณฑ์ลงในรถเข็นคุณจึงรู้ว่าพวกเขาต้องการซื้อ ดังนั้น คุณต้องเตือนพวกเขาว่าทำไมพวกเขาต้องการซื้อมัน คุณสามารถตั้งค่าการติดตามนี้โดยวางโค้ด Tracking Pixel บนหน้าตะกร้าสินค้าและหน้ายืนยันการสั่งซื้อของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณติดตามผู้ที่เข้าชมหน้าเหล่านี้และปิดเบราว์เซอร์ของพวกเขาไป 

ด้วยผู้บริโภคกลุ่มนี้ คุณสามารถสร้างโฆษณาที่กำหนดเป้าหมายใหม่ซึ่งดึงดูดพวกเขาและกระตุ้นให้พวกเขาทำ Conversion วิธีนี้จะช่วยให้คุณผลักดันโอกาสในการขายเหล่านี้ไปสู่การซื้อได้ ดังนั้น การมีส่วนร่วมกับผู้ที่ละทิ้งรถเข็นชอปปิ้งอย่างสม่ำเสมอจะทำให้คุณได้รับ Conversion มากขึ้นสำหรับธุรกิจของคุณ

8. โฆษณาให้กับผู้ที่เคยซื้อก่อนหน้านี้

เมื่อคุณใช้งานแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้ง คุณจะได้รับ Conversion เพิ่มขึ้นและเพิ่มผลกำไรทางธุรกิจ สิ่งนี้อาจดูเหมือนเป็นจุดสิ้นสุดของ Customer Journey หรือ การเดินทางของลูกค้า แต่ความจริงสิ่งนี้ยังคงมีศักยภาพที่จะได้รับ Conversion มากขึ้นอีก หากผู้บริโภคซื้อบางอย่างโดยไม่ได้รวมถึง รายการเสริมต่างๆ ที่สามารถใช้งานร่วมกับผลิตภัณฑ์นั้นได้ คุณมีโอกาสที่จะสร้างการแปลงเพิ่มเติมจากจุดนี้

นี่เป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเชื่อมต่อกับลีดที่ชอบผลิตภัณฑ์ของคุณเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และช่วยสร้าง Conversion เพิ่มเติมสำหรับธุรกิจของคุณ ตัวอย่างเช่น คุณเคยซื้อบางอย่างและต่อมาได้รับอีเมลหรือเห็นโฆษณาสำหรับสินค้าที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่คุณซื้อหรือไม่ ประเด็นนี้ จุดมุ่งหมาย คือ ให้คุณทำการซื้อเพิ่มเติม หลายๆ บริษัทจะใช้กลยุทธ์ “ถ้าคุณชอบสิ่งนี้ คุณจะชอบสิ่งนี้” เพื่อเพิ่มยอดขายและดึงดูดผู้บริโภคให้ซื้อสินค้าเพิ่มเติม

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีคนซื้อเกมคอนโซล พวกเขาอาจต้องการสิ่งต่างๆ เช่น เกมคอนโทรลเลอร์เพิ่มเติม หรือที่ชาร์จสำหรับคอนโทรลเลอร์ เป็นต้น ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน คุณสามารถใช้รีมาร์เก็ตติ้งเพื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมแก่บุคคลเหล่านี้ อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญ คือ ต้องต้องสังเกตและอย่าลืมว่าเมื่อคุณได้รับ Conversion ในการนำเสนอผลิตภัณฑ์เสริมแล้ว คุณต้องลบโค้ดการติดตามออกจากรายการของคุณ คุณสามารถทำได้โดยใช้การเบิร์นพิกเซล  การดำเนินการนี้จะลบใครก็ตามที่แปลงสำเร็จแล้วออกจากรายชื่อของคุณ ดังนั้นพวกเขาจะไม่เห็นโฆษณาเดิมอีก ดังนั้น การโฆษณาผลิตภัณฑ์ใหม่แก่ผู้ที่เคยซื้อผลิตภัณฑ์จากเว็บไซต์ของคุณมาก่อน จะช่วยกระตุ้น Conversion สำหรับธุรกิจของคุณได้อย่างที่กล่าวไปครับ

9. กำหนดวันและเวลาในการโฆษณาให้เหมาะสม

เมื่อคุณสร้างแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้ง คุณคงไม่ต้องการเสียเงินไปกับโฆษณาหากผู้ชมเป้าหมายของคุณไม่เห็นมัน ซึ่งคุณสามารถป้องกันสิ่งนี้ได้ด้วยการตั้งเวลาให้โฆษณาของคุณปรากฏเมื่อลีดของคุณมีแนวโน้มที่จะเห็นมากที่สุดด้วยการค้นคว้าเกี่ยวกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อทำความเข้าใจว่าช่วงเวลาใดที่พวกเขามีแนวโน้มจะออนไลน์มากที่สุด เมื่อคุณทราบวันและเวลาที่เหมาะสมแล้ว คุณจะสามารถตั้งค่าให้โฆษณาของคุณปรากฏในช่วงวันและเวลาดังกล่าวได้ ด้วยการตั้งเวลาโฆษณาในเวลาที่เหมาะสม คุณจะเห็นความสำเร็จมากขึ้นกับแคมเปญรีมาร์เก็ตติ้งของคุณ

10. อย่ากลัวความล้มเหลว

สุดท้ายแล้วมันไม่มีเส้นตรงสู่ความสำเร็จ วิธีที่คุณคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของคุณในตอนแรกและวิธีที่ผู้คนใช้ผลิตภัณฑ์จะเปลี่ยนไปในแต่ละวัน กุญแจสำคัญคือ “ล้มเหลวอย่างรวดเร็ว” และเรียนรู้จากสิ่งที่ใช้ได้ผลและไม่ได้ผล เพื่อนำมาปรับปรุงผลิตภัณฑ์และรูปแบบธุรกิจของคุณต่อไป 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก :

https://www.webfx.com

https://digitalmarketinginstitute.com

https://growhackscale.com

 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *