Data-Driven Marketing – ทุกวันนี้ไม่มีใครหรอกครับที่อยากเห็นโฆษณาบนหน้าจอที่ไม่เกี่ยวข้องกับความสนใจของตัวเอง ผลการวิจัยล่าสุดโดย Hubspot พบว่า 64% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขาไม่ชอบโฆษณาออนไลน์ ด้วยเหตุผลง่ายๆ ก็คือ มันน่ารำคาญ และ รบกวนความเป็นส่วนตัว ธุรกิจชั้นนำจึงจำเป็นต้องทำการตัดสินใจทางธุรกิจอย่างมีข้อมูลโดยอิงจากการค้นพบข้อมูลที่ถูกต้องแม่นยำ ด้วยเหตุนี้เอง กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจึงถูกนำมาใช้ครับ
นักการตลาดมืออาชีพทุกคนทราบดีว่า กลยุทธ์ Data-Driven Marketing สามารถเพิ่มโอกาสที่ลูกค้าเป้าหมายจะดำเนินการตามที่ธุรกิจต้องการได้ เช่น การเข้าร่วมการสัมมนาแบบออนไลน์ การซื้อสินค้า การคลิกโฆษณา หรือแม้แต่การอ่านบล็อกโพสต์ เป็นต้น ด้วยการวิเคราะห์และตีความข้อมูลลูกค้าและโปรไฟล์ดิจิทัลของแต่ละบุคคล ย่อมช่วยให้ธุรกิจต่างๆ เข้าใจถึงความต้องการและความปรารถนาของลูกค้าเพื่อนำมาปรับปรุงการรับรู้ถึงแบรนด์ และประสบการณ์ของลูกค้านั่นเองครับ
เพื่อให้กระบวนการทางธุรกิจของทุกคนมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เรามาทำความเข้าใจว่าแนวทางนี้จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดได้อย่างไร ซึ่งวันนี้ Talka จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจในประเด็นนี้ให้ดียิ่งขึ้นครับ
Data-Driven Marketing คืออะไร?

“Data-Driven Marketing” คือการใช้ข้อมูลที่ได้มาจากการโต้ตอบกับลูกค้า และบุคคลที่สาม เพื่อรับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับแรงจูงใจ ความชอบ และพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งข้อมูลเชิงลึกจะช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถนำมาปรับปรุงและปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้าได้ โดยการใช้ข้อมูลมาตอบคำถามต่างๆ เช่น ใคร เมื่อใด ที่ไหน ข้อความใด และทำให้คำตอบเหล่านั้นนำไปปฏิบัติได้จริง ช่วยให้ธุรกิจออกแบบการสื่อสาร และวางกลยุทธ์ที่สร้างสรรค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพทางการตลาดให้ดียิ่งขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
กล่าวคือ การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเป็นกระบวนการของการใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์ของลูกค้ากับธุรกิจและบุคคลที่สามอื่นๆ เพื่อให้เข้าใจตลาดเป้าหมายได้ดีขึ้น ด้วยข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าที่รวมถึงความต้องการ ความชอบ แรงจูงใจ และรูปแบบพฤติกรรมต่างๆ นักการตลาดสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแคมเปญให้เหมาะสมที่สุด
โดยทั่วไปการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมักเกี่ยวข้องกับการปรับแต่งเว็บไซต์ การทดสอบ A/B Testing การทำแผนที่การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey Mapping) และ การแบ่งกลุ่มลูกค้า นอกจากนี้ ยังรวมถึงขอบเขตการใช้งานอื่น ๆ ได้แก่
1. การโฆษณาแบบไดนามิก (Dynamic Advertising)
Dynamic Ads คือ การปรับแต่งโฆษณาตามความต้องการของกลุ่มเป้าหมายใน Twitter Facebook และ Instagram โดยปรับใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ด้วยการผสมผสานทางการตลาดนี้ จะช่วยให้ธุรกิจสามารถลดค่าโฆษณา ปรับปรุงอัตราการแปลง (Conversion Rate) และ เพิ่มความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ตลอดจนเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ได้อย่างมาก
2. การกำหนดเป้าหมายใหม่ (Retargeting)
คือ การใช้เทคโนโลยีคุกกี้ ซึ่งใช้โค้ด JavaScript เพื่อติดตามกลุ่มเป้าหมายผ่านทางอินเทอร์เน็ต การกำหนดเป้าหมายใหม่ หรือ Retargeting รวมไปถึงการทำ Remarketing ซึ่งมีแนวคิดของกลยุทธ์ใกล้เคียงกัน เป็นอีกหนึ่งโอกาสที่นักการตลาดจะสามารถใช้แนวทางการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมาใช้เพื่อให้ได้ลูกค้าเพิ่มขึ้น ความจริงที่หลายธุรกิจพบเจอ คือ มีผู้เข้าชมเว็บไซต์ของธุรกิจเพียงไม่กี่เปอร์เซนต์ ที่ตัดสินใจซื้อผลิตภัณฑ์จากการเข้าชมเว็บไซต์ครั้งแรก ซึ่งหมายความว่าทุกธุรกิจต่างต้องเผชิญกับการสูญเสียผู้มีโอกาสเป็นลูกค้าในเปอร์เซนต์ที่สูงเกือบทุกวัน ซึ่งการกำหนดเป้าหมายใหม่ด้วยความช่วยเหลือของกลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล จะช่วยให้ธุรกิจสามารถกำหนดเป้าหมายลูกค้าใหม่และเพิ่ม Conversion ได้
3.การตลาดผ่านอีเมลเป้าหมาย (Targeted Email Marketing)
แคมเปญการตลาดผ่านอีเมล (Email Marketing) เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทใหญ่ๆ เกือบทุกแห่ง ด้วยการใช้การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลควบคู่กับแคมเปญอีเมล จะช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งข้อความทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพิ่มอัตราการแปลงได้อย่างมาก ที่สำคัญยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างแข็งแกร่งอีกด้วย
4.แคมเปญการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย (Paid Search Campaigns)
หลายธุรกิจมีการใช้จ่ายอย่างมหาศาลในแคมเปญการค้นหา (SEM) ที่เสียค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน แต่ถ้าหากธุรกิจไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทางการตลาดได้แม้จะลงทุนมหาศาลก็เปล่าประโยชน์ แต่หากรวมการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลเข้ากับแคมเปญในเครือข่ายการค้นหาที่เสียค่าใช้จ่าย จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ว่าธุรกิจจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มปริมาณการเข้าชมหน้า Landing Page ซึ่งในที่สุดจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย และ เพิ่ม Conversion Rate
ประเภทของ Data-Driven Marketing
การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลมีเครื่องมือต่างๆ ที่ช่วยให้นักการตลาดได้มาซึ่งข้อมูลที่สามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างสูงสุด แม้เครื่องมือวิเคราะห์การตลาดจะมีหลายหลายประเภท แต่ส่วนใหญ่ล้วนมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือเพื่อช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลกำไรจากการทำการตลาด ซึ่งโดยทั่วไป เครื่องมือวิเคราะห์การตลาดจะจัดอยู่ในหมวดหมู่ดังต่อไปนี้ครับ
-
วิเคราะห์เว็บไซต์ (Web Analytics Tools)
เครื่องมือวิเคราะห์เว็บไซต์จะช่วยทำหน้าที่ติดตามกิจกรรมของผู้ใช้เว็บไซต์ของธุรกิจ เครื่องมือ หรือ แพลตฟอร์ม ต่างๆ เช่น Google Analytics จะช่วยให้คุณติดตามข้อมูลเพื่อนำมาวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเว็บไซต์และวัดผลกระทบของแคมเปญการตลาดของคุณที่มีต่อการเข้าชมและเมตริกต่างๆ ตลอดจน Conversion ที่นำไปสู่โอกาสในการขาย
-
วิเคราะห์แหล่งที่มา (Attribution Analytics Tools)
เครื่องมือชนิดนี้จะช่วยให้นักการตลาดเข้าถึงข้อมูลที่ลึกเข้าไปอีกขั้นก้าวไปอีกขั้น ซึ่งครอบคลุมกิจกรรมต่างๆ บนเว็บไซต์ ที่จะช่วยทำลายอุปสรรคระหว่างการตลาด และการขายด้วยการระบุช่องทางที่สร้างรายได้ ไม่ใช่แค่ข้อมูลการคลิก และ Conversion เท่านั้น
-
วิเคราะห์การโทร (Call Analytics Tools)
นักการตลาดมืออาชีพทุกคนรู้ดีว่าการโทรไม่ใช่แค่โอกาสในการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้าเท่านั้น แต่ยังถือเป็นแหล่งข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าที่สำคัญเกี่ยวกับความต้องการของลูกค้า โดยพื้นฐานแล้ว การวิเคราะห์การติดตามการโทรจะช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามได้ว่า การยิงโฆษณา การใช้คำหลัก (Keywords) หรือ แคมเปญใดบ้าง ที่ทำให้เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมหากธุรกิจเพิ่มโอกาสในการขายทางออนไลน์แต่สามารถแปลงดีลได้ในแบบออฟไลน์ นอกจากนี้ทีมขายและทีมการตลาดสามารถเรียนรู้จากข้อมูลการวิเคราะห์การโทรเพื่อนำมาขับเคลื่อนความคิดริเริ่ม และใช้ประโยชน์จากการโทรในฐานะแหล่งที่มาหลักของลีดที่มีคุณภาพได้
-
วิเคราะห์โซเชียลมีเดีย (Social Media Analytics)
โซเชียลมีเดียกำลังเติบโต และแน่นอนว่าทุกคนต้องการเป็นส่วนหนึ่งของมัน การได้มาซึ่งข้อมูลเชิงปริมาณที่ได้จากความช่วยเหลือของ Social Listening Tools ต่างๆ สามารถนำไปสู่ข้อมูลเชิงลึกที่นำไปปฏิบัติได้ ช่วยให้นักการตลาดนำมาเป็นแนวทางในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และข้อเสนอการบริการตลอดวงจรชีวิตของลูกค้าได้ นอกจากนี้ยังทำให้มองเห็นข้อเสนอของคู่แข่ง ความเชื่อมั่นของลูกค้า และตัวชี้วัดแบบเรียลไทม์เกี่ยวกับประสิทธิภาพของแคมเปญการตลาด ซึ่งนักการตลาดจะสามารถติดตามว่าแคมเปญใดที่สามารถขับเคลื่อนอัตราการแปลงสูงสุด และนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้