กลยุทธ์ใหม่ถอดด้าม! Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร?

Generative Engine Optimization คืออะไร?

วันนี้ Talka จะพาทุกคนมาอินไซต์ไปกับ Generative Engine Optimization (GEO) กลยุทธ์การตลาดใหม่ถอดด้ามในยุคที่เทคโนโลยี Generative AI ได้ส่งผลกระทบต่อวิธีการทำงานและการสืบค้นข้อมูลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและลดระยะเวลาในการค้นหาข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้การใช้งาน Gen AI มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง GEO จึงได้รับความสนใจอย่างมาก ในบทความนี้เราจะเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ GEO โดยจะอธิบายถึงความหมาย ความสำคัญในฐานะกลยุทธ์การตลาดที่ควรให้ความสนใจเพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อองค์กรของคุณได้ครับ

Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร?

Generative Engine Optimization คืออะไร?

Generative Engine Optimization (GEO) คืออะไร?

Generative Engine Optimization (GEO) คือ กลยุทธ์การตลาดดิจิทัลที่มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งเนื้อหาสำหรับเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยเฉพาะ ซึ่งแตกต่างจาก Search Engine Optimization (SEO) แบบดั้งเดิม ที่เน้นการใช้คีย์เวิร์ดและการจัดอันดับในหน้าผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาทั่วไป กล่าวคือ GEO จะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มการมองเห็นและความเกี่ยวข้องของเนื้อหาในคำตอบที่สร้างขึ้นโดยโมเดล AI ขั้นสูง เช่น ChatGPT และ Gemini นั่นเองครับปัจจุบัน การใช้ Generative AI ทั่วโลกรวมถึงในประเทศไทยเติบโตอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะในการพัฒนาเนื้อหาเชิงสร้างสรรค์ และการค้นหาข้อมูล ซึ่งนำไปสู่การเกิดแนวคิดของ Generative Engine Optimization เพื่อปรับแต่งเนื้อหาและกระบวนการค้นหาให้สอดคล้องกับการทำงานของ Gen AI เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างแม่นยำและรวดเร็วมากขึ้น

จากข้อมูลการสำรวจ พบว่าคนไทยประมาณ 1 ใน 3 เคยใช้งาน Generative AI ไม่ว่าจะเป็นในการทำงานหรือในชีวิตประจำวัน โดยในกลุ่มคนที่ใช้ AI เหล่านี้มีความคาดหวังสูงว่าเทคโนโลยีจะสามารถปรับปรุงประสบการณ์ในการใช้งานได้ เช่น การค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมและเพิ่มความสะดวกสบายในการเลือกซื้อสินค้า เป็นต้น นอกจากนี้ ในบางภาคส่วน เช่น อุตสาหกรรมการเงิน และสุขภาพ ก็ได้เริ่มหันมาใช้ Generative AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและสร้างเนื้อหาสังเคราะห์ (Synthetic Data) ที่ช่วยให้การบริการมีความแม่นยำและปลอดภัยมากขึ้น

GEO ต่างจาก SEO อย่างไร?

GEO ต่างกับ SEO อย่างไร?

Generative Engine Optimization (GEO) ต่างจาก Search Engine Optimization อย่างไร?

“Generative Engine Optimization” (GEO) และ “Search Engine Optimization” (SEO) เป็นกลยุทธ์ที่คล้ายคลึงกันในแง่ที่ว่าทั้งสองมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มปริมาณการเข้าถึงและความน่าสนใจของข้อมูล แต่มีความแตกต่างในลักษณะการทำงานและจุดประสงค์ดังนี้ครับ
 

1. วัตถุประสงค์หลัก

  • SEO : มุ่งเน้นที่การทำให้เว็บไซต์หรือเนื้อหาติดอันดับในหน้าแรกของเครื่องมือค้นหา (Search Engines) เช่น Google หรือ Bing โดยใช้คีย์เวิร์ดที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผู้ใช้ค้นหา เพื่อเพิ่มโอกาสในการได้รับการคลิก และการเข้าชมเว็บไซต์จากผลการค้นหาแบบออร์แกนิก (Organic Traffic)
  • GEO : มุ่งเน้นที่การทำให้เนื้อหาที่สร้างโดยเครื่องมือสร้างเนื้อหาจากปัญญาประดิษฐ์ (เช่น ChatGPT หรือ DALL-E) ตรงกับความต้องการของผู้ใช้งานมากที่สุด การปรับแต่งนี้เกี่ยวข้องกับการออกแบบ Prompt (ชุดคำสั่ง) หรือการตั้งค่าที่เหมาะสมเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าสนใจ ถูกต้อง และตรงกับความต้องการของผู้ใช้

2. วิธีการทำงาน

  • SEO : มุ่งเน้นที่การใช้กลยุทธ์ต่างๆ เช่น การวิเคราะห์คีย์เวิร์ด (Keyword Research) การสร้างลิงก์ (Link Building) การปรับปรุงโครงสร้างเว็บไซต์ และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านความเร็ว รวมถึงการออกแบบเนื้อหาที่น่าสนใจและตรงกับความต้องการของผู้ค้นหา
  • GEO : ให้ความสำคัญกับการพัฒนาชุดคำสั่ง และการตั้งค่าระบบ AI เพื่อให้เครื่องมือ AI สามารถสร้างคำตอบหรือเนื้อหาที่มีคุณภาพสูงที่สุด เช่น การเลือกคำใน Prompt ที่ชัดเจน หรือการตั้งค่าความยาวหรือระดับของข้อมูลที่ต้องการ

 3. เนื้อหาหรือข้อมูลเป้าหมาย

  • SEO : เนื้อหาที่ใช้ใน SEO มักจะเป็น ข้อความ รูปภาพ และวิดีโอที่แสดงบนเว็บไซต์ โดยเป้าหมาย คือ ทำให้หน้าเว็บไซต์เหล่านั้นมีความสำคัญ มีประโยชน์ หรือมีคุณภาพสูงสำหรับคำค้นหาต่าง ๆ
  • GEO : เน้นการปรับแต่ง Prompt เพื่อให้ระบบ AI สามารถสร้างข้อความ รูปภาพ หรือสื่ออื่นๆ ที่เป็นต้นฉบับ และสอดคล้องกับเจตนาและความต้องการของผู้ใช้ได้ในทันที

4. ตัวอย่างการใช้งาน

  • SEO : สมมติว่าคุณต้องการให้เว็บไซต์ขายเสื้อผ้าติดอันดับในการค้นหาของคำว่า “เสื้อผ้าแฟชั่นฤดูร้อน” คุณจะต้องปรับปรุงเนื้อหา คำบรรยายรูปภาพ และส่วนต่าง ๆ ของเว็บไซต์ให้สอดคล้องกับคำนี้เพื่อดึงดูดผู้ค้นหา
  • GEO : หากคุณต้องการให้ AI สร้างเนื้อหาเกี่ยวกับ “แฟชั่นฤดูร้อนปี 2024” คุณอาจต้องระบุรายละเอียดใน Prompt เช่น “ออกแบบคอนเทนต์เกี่ยวกับแฟชั่นฤดูร้อนปี 2024 ที่มีทั้งรูปภาพและคำบรรยายที่น่าสนใจ” เพื่อให้ระบบสร้างเนื้อหาที่ตรงกับเป้าหมาย

5. ตัววัดผลความสำเร็จ

  • SEO : ใช้ตัวชี้วัด เช่น อันดับของเว็บไซต์ (Rankings) จำนวนคลิก (Click-through rate) จำนวนการเข้าชม (Traffic) และการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ (Engagement) บนเว็บไซต์ เป็นต้น
  • GEO : ใช้ตัวชี้วัด เช่น ความพึงพอใจของผู้ใช้ การได้รับคำตอบที่ตรงตามเป้าหมาย ความสอดคล้องของเนื้อหา และความสามารถของ AI ในการสร้างเนื้อหาที่เป็นไปตามเจตนาของผู้ใช้
สรุปได้ว่า SEO มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการเข้าถึงและการมองเห็นของเนื้อหาบนแพลตฟอร์มการค้นหา ขณะที่ GEO มุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงการสร้างเนื้อหาให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้ใช้ในทันทีผ่านเครื่องมือ Gen AI ต่างๆ

Generative Engine Optimization สำคัญอย่างไร?

Generative Engine Optimization สำคัญอย่างไร

Generative Engine Optimization สำคัญอย่างไร?

Generative Engine Optimization (GEO) ใช้ Gen AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ เพิ่มความคิดสร้างสรรค์ และปรับปรุงกระบวนการตัดสินใจ GEO มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อภูมิทัศน์ทางธุรกิจในปัจจุบันที่เทคโนโลยีด้านการตลาดดิจิทัลมีการพัฒนาไปอีกระดับเพื่อตอบสนองต่อการเพิ่มขึ้นของเครื่องมือค้นหาที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งต่อไปนี้คือเหตุผลสำคัญบางประการที่ทำให้ GEO มีความสำคัญในปัจจุบันครับ

1. เนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับผู้ใช้

โมเดล Gen AI สามารถสร้างเนื้อหาคุณภาพสูง เช่น บทความ โพสต์บล็อก สื่อการตลาด และแม้แต่อีเมลส่วนบุคคล หรือคำแนะนำผลิตภัณฑ์สำหรับธุรกิจ เนื่องจากผู้ใช้พึ่งพาเครื่องมือ AI  เช่น ChatGPT , Gemini และอื่นๆ เพื่อค้นหาข้อมูลมากขึ้นในปัจจุบัน วิธีการค้นหาแบบอิงตามคำสำคัญแบบเดิมจึงอาจมีประสิทธิภาพน้อยลง ซึ่ง GEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งเนื้อหาสำหรับแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ได้โดยเฉพาะ ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าเนื้อหาที่สร้างขึ้นจะสอดคล้องกับวิธีที่ AI ตีความและประมวลผลข้อมูล
 
โดยการเปลี่ยนแปลงนี้โฟกัสไปที่เจตนาและบริบทของผู้ใช้มากกว่าการจับคู่คำสำคัญเพียงอย่างเดียว ประเด็นนี้เองที่ทำให้ GEO มีความสำคัญอย่างมาก ต่อการรักษาการมองเห็นในผลการค้นหา ซึ่งสิ่งที่ตามมาคือการมีส่วนร่วมของลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และการสร้างแบรนด์ที่แข็งแกร่งขึ้น เทคนิค GEO ช่วยให้ธุรกิจสามารถปรับแต่งผลลัพธ์ของ AI ให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย และจัดเตรียมเนื้อหาที่เกี่ยวข้องและตรงเป้าหมายแบบเรียลไทม์ เนื้อหาส่วนบุคคลนำไปสู่ประสบการณ์ของลูกค้าที่ดีขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเพิ่มการแปลงและความภักดีต่อแบรนด์
 

2. สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

GEO ช่วยเพิ่มประสบการณ์ผู้ใช้ (User Experience) โดยระบบ AI สามารถมอบคำตอบที่เกี่ยวข้อง เป็นส่วนตัว และทันเวลาสำหรับคำถามต่างๆ ของผู้ใช้ ส่งผลให้ผู้ใช้เกิดความพึงพอใจและมีส่วนร่วมมากขึ้น เนื่องจากเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะสมผ่าน GEO นั้นมีแนวโน้มที่จะตอบสนองความต้องการของผู้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การโฟกัสไปที่การสร้างเนื้อหาที่มีความหมายครอบคลุมหัวข้อที่กว้างขึ้น จึงทำให้ธุรกิจต่างๆ มั่นใจได้ว่าเนื้อหาของตนจะได้รับการรับรู้ว่ามีคุณค่าทั้งจากผู้ใช้และระบบของ Gen AI นั่นเองครับ
 

3. สร้างข้อได้เปรียบในการแข่งขัน

การนำกลยุทธ์ GEO มาใช้สามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันได้อย่างมาก เมื่อธุรกิจต่างๆ นำแนวทางปฏิบัตินี้มาใช้มากขึ้น ธุรกิจที่ไม่นำแนวทางปฏิบัติดังกล่าวมาใช้ก็อาจพบว่าตนเองล้าหลังอยู่ GEO ช่วยให้สร้างเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะกับอัลกอริทึม AI ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทต่างๆ ตอบสนองต่อความต้องการและแนวโน้มของตลาดได้อย่างรวดเร็ว ความคล่องตัวนี้สามารถนำไปสู่อำนาจและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ที่ดีขึ้น เนื่องจากเนื้อหาที่ปรับให้เหมาะสมมีแนวโน้มที่จะรวมอยู่ในคำตอบที่สร้างโดย AI บนแพลตฟอร์มต่างๆ มากขึ้นนั่นเองครับ
 
ธุรกิจที่นำเครื่องมือสร้างนวัตกรรมมาใช้และปรับให้เหมาะสมอย่างมีประสิทธิผลจะได้รับความได้เปรียบในการแข่งขัน ซึ่งแนวทางของ GEO ช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถส่งมอบผลิตภัณฑ์ บริการ หรือประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไม่เหมือนใครได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่งที่อาจยังคงพึ่งพาวิธีการแบบเดิมๆ อยู่ ไม่ว่าจะเป็นผ่านประสบการณ์ลูกค้าที่ปรับให้เหมาะสม การสร้างเนื้อหาที่เร็วขึ้น หรือกระบวนการตัดสินใจที่ดีขึ้น GEO ช่วยวางตำแหน่งธุรกิจให้เป็นผู้สร้างสรรค์นวัตกรรมในสาขาของตนได้
 

4. เข้าใจพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า

ด้วยการใช้ประโยชน์จาก AI แบบสร้างสรรค์ และเทคนิคการปรับแต่งให้เหมาะสม ธุรกิจต่างๆ จะสามารถวิเคราะห์และทำความเข้าใจในพฤติกรรมและความชอบของลูกค้าได้ดีขึ้น GEO สามารถช่วยประมวลผลข้อเสนอแนะของลูกค้าและสร้างข้อมูลเชิงลึกที่สามารถนำไปดำเนินการต่อได้ในการปรับปรุงข้อเสนอ เพิ่มประสิทธิภาพการบริการลูกค้า และปรับปรุงช่องทางการสื่อสารให้มีประสิทธิภาพ วงจรข้อเสนอแนะในลักษณะนี้ช่วยให้บริษัทปรับตัวได้ตามเวลาจริงตามความต้องการของลูกค้าและความต้องการของตลาดได้อยู่เสมอ
 

5. กลยุทธ์ที่พร้อมรับมืออนาคต

ด้วยวิวัฒนาการที่รวดเร็วของเทคโนโลยีการค้นหา การทำความเข้าใจเกี่ยวกับแนวทางของGEO และการนำมาใช้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเตรียมกลยุทธ์การตลาดดิจิทัลให้พร้อมรับกับอนาคต แน่นอนว่าธุรกิจที่เชี่ยวชาญด้าน GEO จะสามารถอยู่ในตำแหน่งที่ดีกว่าในการนำทางการเปลี่ยนแปลงในวิธีการค้นหาและบริโภคข้อมูลออนไลน์ ซึ่งแนวทางเชิงรุกนี้ไม่เพียงช่วยรักษาความเกี่ยวข้องเท่านั้น แต่ยังช่วยให้มั่นใจได้ว่าแบรนด์ต่างๆ ยังคงถูกมองเห็นได้ท่ามกลางภูมิทัศน์ดิจิทัลที่แออัดหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ
 
มาถึงตรงนี้อาจกล่าวได้ว่า การมาถึงของของ Gen AI ได้เปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ของการค้นหาออนไลน์ไปอย่างสิ้นเชิงก็ว่าได้ เนื่องจากเครื่องมือค้นหาแบบดั้งเดิมจะค้นหาและจัดอันดับเนื้อหาที่มีอยู่โดยอิงตามความเกี่ยวข้องของคีย์เวิร์ดเป็นหลัก ในทางตรงกันข้าม Generative Engine จะสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ เพื่อสร้างคำตอบที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้นและเกี่ยวข้องกับบริบทสำหรับคำถามของผู้ใช้ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องใช้แนวทางใหม่ในการเพิ่มประสิทธิภาพเนื้อหา ดังนั้นจึงมีการพัฒนา GEO ขึ้นมาเพื่อให้สามารถตอบโจทย์กับพฤติกรรมของผู้ใช้ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างแม่นยำ

10 ขั้นตอนการทำ Generative Engine Optimization

10 ขั้นตอนการทำ Generative Engine Optimization

10 ขั้นตอนการทำ Generative Engine Optimization

ในส่วนนี้เราจะมาพูดถึงขั้นตอนโดยละเอียด สำหรับการนำ GEO มาใช้ ตั้งแต่การทำความเข้าใจเจตนาของผู้ใช้และการปรับแต่งโครงสร้างเนื้อหาไปจนถึงการติดตามและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องครับ
 

1 : กำหนดเป้าหมายและกลุ่มเป้าหมาย

  • ระบุวัตถุประสงค์ : เริ่มต้นด้วยการกำหนดสิ่งที่คุณต้องการบรรลุด้วยเนื้อหาของคุณ เช่น เพิ่มปริมาณการเข้าชมจากการค้นหาทั่วไป (Organic Search) เพิ่มการมีส่วนร่วม หรือขับเคลื่อนคอนเวอร์ชันเรท เป็นต้น
  • การวิจัยกลุ่มเป้าหมาย : ใช้เครื่องมือวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจข้อมูลประชากร ความสนใจ และพฤติกรรมการบริโภคเนื้อหาของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
  • การทำแผนที่เจตนา : กำหนดเจตนาในการค้นหาของกลุ่มเป้าหมาย (เช่น ข้อมูล การทำธุรกรรม การนำทาง) ซึ่งจะช่วยกำนดโครงสร้างและแนวทางของเนื้อหา

2 : การวิจัยคำหลักและหัวข้อ

  • การวิเคราะห์คำหลัก : ดำเนินการวิจัยคำหลักโดยใช้เครื่องมือเช่น Google Keyword Planner, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อระบุคำหลักที่มีผลกระทบสูงที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อของคุณ ให้ความสำคัญกับการผสมผสานคีย์เวิร์ดหลัก คีย์เวิร์ดรอง และคีย์เวิร์ดแบบยาว เพื่อเพิ่มความเกี่ยวข้องในการค้นหา
  • การจดจำเอนทิตี : ระบุเอนทิตีที่สำคัญ เช่น ชื่อแบรนด์ สถานที่ บุคคลที่มีชื่อเสียง ที่มีความสำคัญในเชิงบริบท การใช้เอนทิตีอย่างมีประสิทธิผลจะช่วยในบริบทของเครื่องมือค้นหาและช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือของเนื้อหา
  • การวิเคราะห์ช่องว่างเนื้อหา : วิเคราะห์เนื้อหาของคู่แข่งเพื่อระบุโอกาสที่เนื้อหาของคุณสามารถเพิ่มมูลค่าที่ไม่ซ้ำใครหรือเติมเต็มช่องว่างในข้อมูลที่ยังขาดตกได้

3 : สร้างคำกระตุ้นที่มีโครงสร้างสำหรับ Gen AI 

  • การออกแบบคำกระตุ้น : สร้างคำกระตุ้นที่ให้คำแนะนำที่ชัดเจนเกี่ยวกับโทน ความยาว และโครงสร้าง ตัวอย่างเช่น ระบุรายละเอียด เช่น “สร้างคู่มือ 1,500 คำเกี่ยวกับ ‘วิธีปรับปรุงการทำงานร่วมกันเป็นทีม’ พร้อมจุดหัวข้อและหัวข้อส่วนต่างๆ”
  • รวมคำสั่ง SEO : รวมคีย์เวิร์ด เอนทิตี และเครื่องหมายเจตนาของผู้ใช้ในคำกระตุ้น ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคำแนะนำเน้นที่การใช้ภาษาธรรมชาติร่วมกับคีย์เวิร์ดและหลีกเลี่ยงการใช้คีย์เวิร์ดที่ยัดเยียด
  • ระบุข้อกำหนดรูปแบบ : ชี้แนะ AI ในการสร้างเนื้อหาที่มีโครงสร้างโดยรวมรายละเอียดการจัดรูปแบบ (เช่น หัวเรื่อง หัวเรื่องย่อย รายการ) วิธีนี้จะทำให้เนื้อหาอ่านง่ายและอ่านได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งช่วยในเรื่อง SEO

4 : ปรับโครงสร้างเนื้อหาและความสามารถในการอ่านให้เหมาะสม

  • ใช้หัวเรื่องและหัวเรื่องย่อยที่ชัดเจน : ใช้คำหลักในหัวเรื่องและจัดโครงสร้างเนื้อหาด้วยแท็ก H1, H2 และ H3 ตามความเหมาะสม วิธีนี้ช่วยให้ทั้งเครื่องมือค้นหาและผู้อ่านเข้าใจการไหลของข้อมูล
  • ใช้เทคนิค SEO On-Page : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแต่ละส่วนมีข้อมูลเมตา เช่น แท็กชื่อ คำอธิบายเมตา และโครงสร้าง URL คำอธิบายเมตาควรมีคำหลักและสรุปเนื้อหาเพื่อเพิ่มอัตราการคลิก (Click Through Rate)
  • ปรับปรุงความสามารถในการอ่าน : ใช้ประโยคและย่อหน้าสั้นลง เพิ่มจุดหัวข้อ (Bullet Point) และรวมภาพหากเป็นไปได้ วิธีนี้จะช่วยปรับปรุงการมีส่วนร่วมของผู้ใช้ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญใน SEO

5 : ปรับให้เหมาะสมเพื่อการมีส่วนร่วมและการแปลง

  • รวมคำกระตุ้นการตัดสินใจ (CTA) : เพิ่มคำกระตุ้นการตัดสินใจที่ชัดเจนและเกี่ยวข้องเพื่อแนะนำผู้ใช้ไปยังขั้นตอนถัดไป ไม่ว่าจะเป็นการอ่านเนื้อหาเพิ่มเติม สมัครสมาชิก หรือซื้อสินค้า
  • เพิ่มการโต้ตอบ : หากเป็นไปได้ให้ฝังองค์ประกอบแบบโต้ตอบ เช่น แบบทดสอบ แบบฟอร์ม หรือลิงก์ที่คลิกได้ไปยังเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ใช้อยู่บนเพจนานขึ้น
  • ปรับเปลี่ยนโทนและสไตล์ : ปรับแต่งโทนให้ตรงกับความต้องการของผู้ชม ไม่ว่าจะเป็นทางการสำหรับ B2B สนทนาสำหรับผู้ชมทั่วไป เป็นต้น การรักษาโทนเสียงที่แท้จริงและเกี่ยวข้องกันจะสร้างความน่าเชื่อถือและทำให้ผู้ใช้มีส่วนร่วม

6 : นำการทดสอบและปรับแต่งมาใช้

  • ทดสอบ A/B Testing กับเนื้อหา : ทดลองใช้รูปแบบ CTA หรือหัวข้อที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น คุณสามารถทดสอบโพสต์บล็อกเดียวกันสองเวอร์ชันด้วยคำนำที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าเวอร์ชันใดได้รับการคลิกมากกว่ากัน
  • ปรับแต่งเนื้อหาให้เหมาะกับกลุ่มต่างๆ : ปรับแต่งเนื้อหาตามข้อมูลประชากร ตำแหน่งที่ตั้ง หรือประวัติผู้ใช้ วิธีนี้ช่วยให้มอบประสบการณ์ที่ปรับแต่งให้เหมาะกับผู้ใช้และเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมของผู้ใช้

7 : ตรวจสอบและวิเคราะห์ประสิทธิภาพของเนื้อหา

  • ติดตามเมตริกหลัก : ใช้เครื่องมือเช่น Google Analytics, Ahrefs หรือ SEMrush เพื่อตรวจสอบเมตริก เช่น การดูเพจ อัตราการคลิกผ่าน เวลาบนเพจ และอัตราการตีกลับ
  • วิเคราะห์พฤติกรรมของผู้ใช้ : ใช้ Heatmaps, Scroll Maps และ Session Recordings (เช่น ด้วยเครื่องมือเช่น Hotjar หรือ Crazy Egg) เพื่อสังเกตว่าผู้ใช้โต้ตอบกับเนื้อหาอย่างไร ซึ่งจะช่วยระบุได้ว่าส่วนใดดึงดูดความสนใจและส่วนใดที่อาจต้องแก้ไข
  • การวิเคราะห์การมีส่วนร่วมและความรู้สึก : ติดตามการแชร์บนโซเชียล ความคิดเห็น และการวิเคราะห์ความรู้สึก เพื่อวัดการรับรู้ของผู้ชม การมีส่วนร่วมที่สูงและความรู้สึกเชิงบวกเป็นตัวบ่งชี้เนื้อหาที่มีประสิทธิภาพ

8 : ปรับแต่งและทำซ้ำตามข้อมูลเชิงลึก

  • ปรับคำหลักและเนื้อหาตามแนวโน้ม : ใช้ข้อมูลประสิทธิภาพเพื่อระบุคำหลัก และหัวข้อที่ประสบความสำเร็จ และหัวข้อใดที่อาจต้องปรับปรุง หากแนวโน้มเปลี่ยนแปลง ให้ปรับปรุงหรือปรับใช้เนื้อหาใหม่ตามความเหมาะสม
  • ปรับแต่งคำเตือนตามประสิทธิภาพ : หากเนื้อหาประเภทใดมีประสิทธิภาพดีขึ้น ให้ปรับปรุงคำเตือนเพื่อเน้นองค์ประกอบที่ประสบความสำเร็จเหล่านั้น ตัวอย่างเช่น หากผู้ชมตอบสนองต่อเนื้อหาแบบรายการได้ดี คำเตือนในอนาคตสามารถระบุรูปแบบนั้นได้
  • การรีเฟรชเนื้อหา : อัปเดตเนื้อหาเป็นประจำเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหามีความเกี่ยวข้องและถูกต้อง เนื้อหาใหม่จะส่งสัญญาณไปยังเครื่องมือค้นหาว่าข้อมูลเป็นปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยในการจัดอันดับได้

9 : รับรองความสอดคล้องและความปลอดภัยของแบรนด์

  • ตรวจสอบความสอดคล้องของแบรนด์ : ก่อนเผยแพร่ ให้ตรวจสอบเนื้อหาว่าสอดคล้องกับเสียงของแบรนด์ ข้อความ และจริยธรรมหรือไม่ เครื่องมือ GEO หรือการตรวจสอบด้วยตนเองสามารถตรวจสอบอคติ ข้อมูลที่ผิดพลาด หรือภาษาที่ไม่ตรงกับแบรนด์ได้
  • ตรวจสอบคุณภาพและความถูกต้อง : ตรวจสอบข้อมูลสำคัญและใช้มาตรการควบคุมคุณภาพเพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อหาเป็นไปตามมาตรฐานของแบรนด์ ตรวจสอบข้อเรียกร้องหรือข้อมูลซ้ำสองครั้งเพื่อป้องกันความไม่ถูกต้อง

10 : ปรับขนาด GEO ให้ครอบคลุมเนื้อหาต่างๆ

  • นำไปใช้งานในทุกช่องทาง : ใช้หลักการ GEO ไม่เพียงแต่กับโพสต์ในบล็อกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงรูปแบบอื่นๆ เช่น โซเชียลมีเดีย แคมเปญอีเมล และคำอธิบายผลิตภัณฑ์ด้วย
  • ทำให้เป็นอัตโนมัติเมื่อทำได้ : ทำให้งาน GEO เป็นอัตโนมัติ เช่น การผสานรวมคำหลัก การสร้างคำเตือน และการติดตามประสิทธิภาพโดยใช้เครื่องมือหรือซอฟต์แวร์ที่กำหนดเอง วิธีนี้ช่วยให้คุณปรับขนาดความพยายามของ GEO และรักษาคุณภาพให้ครอบคลุมเนื้อหาจำนวนมากขึ้นได้
  • วงจรข้อเสนอแนะ : อัปเดตกลยุทธ์ GEO ของคุณอย่างต่อเนื่องโดยอิงจากข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับประสิทธิภาพและแนวโน้มที่เปลี่ยนแปลงไป สร้างวงจรข้อเสนอแนะที่ทำให้เนื้อหามีความเกี่ยวข้องและสอดคล้องกับความสนใจของผู้ใช้

 

แหล่งที่มา :

https://searchengineland.com

https://www.singlegrain.com 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *