อินไซต์ 7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025 ที่ว่ากันว่ามาแรงแน่!

Marketing Strategy

Marketing Strategy – เมื่อเราใกล้จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับ ที่จะส่งผลให้เทรนด์การใช้กลยุทธ์การตลาดพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นักการตลาดที่ต้องการก้าวนำหน้าไม่ใช่แค่ต้องปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ต้องมีการคาดการณ์เทรนด์ล่วงหน้าด้วยเพราะสิ่งนี้หมายถึงโอกาสสำหรับธุรกิจที่ต้องการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่มีความหมาย ด้วยการทำความเข้าใจเทรนด์ที่จะเติบโตในปีหน้าจะช่วยให้นักการตลาดสามารถวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่แถวหน้าและขับเคลื่อนความสำเร็จในโลกดิจิทัลที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกวันได้  

ภาพรวมของ Marketing Strategy ปี 2024

ภาพรวม Marketing Strategy 2024

9 ภาพรวมของ Marketing Strategy ปี 2024

ภาพรวมของ กลยุทธ์การตลาดในปี 2024 มีการพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองต่อโลกที่เน้นดิจิทัลเป็นอันดับแรกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแบรนด์ต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalization) ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดย AI ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ (Immersive) ตลอดจนแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน และประเด็นของความยั่งยืน (Sustainability) และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เรามาเจาะลึกเทรนด์และกลยุทธ์สำคัญๆ บางส่วนโดยละเอียดตลอดปี 2024 ที่ผ่านมากันดีกว่าครับ ว่ามีกลยุทธ์ใดบ้างที่แบรนด์ต่างๆ นำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแพร่หลาย

1. Marketing Strategy เน้นการปรับแต่งตามขนาด

ในปี 2024 นักการตลาดใช้การปรับแต่งตามขนาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้บริโภค แนวทางนี้ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้โดยไม่ละทิ้งการสัมผัสแบบเฉพาะบุคคลที่ผู้บริโภคคาดหวัง ด้วยประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับความต้องการส่วนบุคคลที่ช่วยลดอัตราการส่งคืนสินค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนช่วยปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อเสื้อผ้าของผู้บริโภคที่แบรนด์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Digital Twin ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักการตลาดยุคใหม่พร้อมสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัว มีประสิทธิภาพ และน่าพอใจมากยิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ

2. AI และ Marketing Automation

เชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นการเติบโตของ Tools ต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยเฉพาะแนวทางในการสร้างเนื้อหา ซึ่งพึ่งพา Gen AI ในการสร้างภาพ ข้อความ วิดีโอ และแม้แต่เสียงด้วยปริมาณและคุณภาพสูง จุดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างเนื้อหาที่คุ้มต้นทุน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้การตลาดแบบ Omni Channel ราบรื่นยิ่งขึ้น รวมไปถึง Chatbots ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังก้าวล้ำมากขึ้น ที่สามารถจัดการในด้านการสนับสนุนลูกค้า การขาย และการให้คำแนะนำโดยมนุษย์ไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการรักษาลูกค้าได้ดีขึ้นเนื่องจากการตอบสนองที่รวดเร็ว โต้ตอบได้ และเป็นประโยชน์นอกจากนี้ แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ AI สำหรับการวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าโดยอิงจากพฤติกรรมปัจจุบันและในอดีต ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตได้ ทำให้พวกเขาสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่างๆ แก่ลูกค้าในเชิงรุกได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

3. Marketing Strategy เน้นประสบการณ์แบบ Immersive

ในปีที่ผ่านมาแบรนด์ต่างๆ เริ่มนำ Immersive Marketing มาใช้ ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยี AR และ VR เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดื่มด่ำให้กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถลองสวมเสื้อผ้าได้แบบเสมือนจริง ในขณะที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์ให้ผู้ใช้มองเห็นผลิตภัณฑ์ในบ้านของตนได้ผ่านเทคโนโลยี AR ก่อนการตัดสินใจซื้อ รวมไปถึงวิดีโอแบบโต้ตอบ ที่ให้ผู้ใช้คลิกและซื้อสินค้าได้ภายในวิดีโอนั้นๆ ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง TikTok และ Instagram กำลังนำฟีเจอร์วิดีโอที่ซื้อได้มาใช้ ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเพิ่มยอดขายโดยตรงจากเนื้อหาวิดีโอได้อย่างง่ายดายนอกจากนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสตรีมสดด้วยฟีเจอร์การช้อปปิ้งแบบบูรณาการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกับลูกค้าเพื่อนำเสนอตัวเลือกการซื้อได้อย่างทันท่วงที 

4. Marketing Strategy เน้นเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (UGC)

แบรนด์ต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การสร้างคอมมูนตี้ที่ภักดีต่อผลิตภัณฑ์ของตนมากขึ้น ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ที่เป็นเสมือนศูนย์รวมของเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้ การสนทนาและข้อเสนอแนะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา Influencer Marketing ยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามแทนที่แบรนด์จะร่วมงานกันอิฟลูฯรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่แบรนด์จำนวนมากกำลังให้ความสำคัญกับอินฟลูเอนเซอร์ขนาดเล็ก อาทิ Micro Influencer ซึ่งมักจะมีอัตราการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตามที่สูงกว่าและเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะกลุ่มมากกว่าและที่สำคัญอินฟลูฯ เหล่านี้ สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องให้กับข้อความของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีที่สำคัญเราจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ ได้ผสานรวมโปรแกรมความภักดีเข้ากับเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งลูกค้าจะได้รับคะแนนสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย การรีวิวผลิตภัณฑ์หรือเข้าร่วมกิจกรรมของแบรนด์

5. ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม

ทุกวันนี้ ผู้บริโภคเรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ ดำเนินธุรกิจตามแนวทางที่ยั่งยืน หรือ Sustainability มากขึ้น ซึ่งแบรนด์ทั้งหลายก็ได้สนองตอบด้วยการเน้นย้ำถึงความยั่งยืนต่างๆ เช่น ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มที่เป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานที่รับผิดชอบ เป็นต้น ซึ่งความโปร่งใสในกระบวนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญของการตลาดในปัจจุบันอย่างปฏิเสธไม่ได้ นอกเหนือจากความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว แบรนด์ต่างๆ ยังมุ่งเน้นไปที่การค้าที่เป็นธรรม ความหลากหลาย และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามจริยธรรม รวมไปถึงแคมเปญที่ส่งเสริมความหลากหลายในการจ้างงาน การโฆษณา ซึ่งสามารถสะท้อนถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความใส่ใจต่อสังคมได้เป็นอย่างดี

6. การตลาดแบบ Omnichannel 

ปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่สอดคล้องกันในทุกจุดสัมผัส ตั้งแต่โซเชียลมีเดียไปจนถึงอีเมลตลอดจนหน้าร้านค้าจริง แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ระบบ CRM และ AI เพื่อเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เหล่านี้ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับข้อความที่สอดคล้องกันทุกที่ที่โต้ตอบกัน ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียงและการค้นหาภาพ แบรนด์ต่างๆ กำลังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเนื้อหาของตนเพื่อรองรับรูปแบบการค้นหาเหล่านี้ การค้นหาด้วยเสียงมีชุดการพิจารณาการเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาของตัวเอง โดยเน้นที่ภาษาสนทนาในขณะที่การค้นหาภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการค้นพบผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของอีคอมเมิร์ซ 

7. การตลาดเชิงประสบการณ์

นักการตลาดใช้ประโยชน์จากการตลาดเชิงประสบการณ์ หรือ Experiential Marketing มากขึ้นในปี 2024 เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่น่าจดจำและดื่มด่ำกับผู้บริโภค แนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าผ่านประสบการณ์ที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางอารมณ์ แทนที่จะพึ่งพาการโฆษณาแบบดั้งเดิมเท่านั้น โดยแบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละบุคคล โดยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งสะท้อนกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น แบรนด์อีคอมเมิร์ซใช้แบบทดสอบแบบโต้ตอบเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของผู้ใช้ เป็นต้น

8. การตลาดในพื้นที่เฉพาะ

แบรนด์ต่างๆ มีการดำเนินแคมเปญเฉพาะท้องถิ่นหรือแคมเปญในพื้นที่เฉพาะ (Local Marketing) มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจัดการกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม เทรนด์ในพื้นที่และความชอบเฉพาะในภูมิภาคต่างๆได้ผลดีเป็นพิเศษในตลาดขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลาย ซึ่งการส่งข้อความแบบเหมารวมเหมือนที่เคยอาจใช้ไม่ได้ผล โฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับบริบทของสถานการณ์ปัจจุบันของลูกค้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โฆษณาเหล่านี้ได้รับข้อมูลจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ สถานที่ หรือเวลา โดยให้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องและทันท่วงที

9. โมเดลการสมัครสมาชิก

โมเดลการสมัครสมาชิก (Subscription Business Model) ที่เสนอการจัดส่งซ้ำ การเข้าถึงแบบพิเศษ หรือเนื้อหาแบบพรีเมียมกำลังเติบโต สิ่งเหล่านี้สร้างกระแสรายได้ที่คาดเดาได้ ในขณะที่ยังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยแบรนด์ต่างๆ ได้ให้ความสำคัญกับการรวบรวมและนำคำติชมของลูกค้าไปปฏิบัติอย่างแข็งขันเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วม ข้อเสนอที่ปรับแต่งส่วนบุคคล ประโยชน์จากความภักดีที่กำหนดเป้าหมาย และแรงจูงใจในการรักษาลูกค้าจะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก

เราจะเห็นได้ว่าการตลาดในปี 2024 เน้นหนักไปที่ประเด็นของการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อสร้างการเชื่อมต่อที่เป็นส่วนตัว ในขณะที่ยังรักษาสมดุลระหว่างความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ความถูกต้องและความรับผิดชอบต่อสังคม แบรนด์ที่สามารถใช้ประโยชน์จาก AI เพื่อการปรับแต่งส่วนบุคคล และโอบรับประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ ตลอดจนดึงดูดลูกค้าด้วยเนื้อหาที่ขับเคลื่อนโดยชุมชนน่าจะประสบความสำเร็จได้ไม่ยากทั้งในวันนี้และอนาคต

7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025 ที่น่าจับตา

7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025

7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025 ที่น่าจับตา

ต่อไปนี้คือเทรนด์การตลาดที่น่าจับตา 7 ข้อ ที่เชื่อว่าจะเข้ามาปฏิวัติวิธีที่ธุรกิจเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมาย และขับเคลื่อนการเติบโตในโลกที่เป็นดิจิทัลมากขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2025 ครับ
 

1. Marketing Strategy กับแนวทางที่เน้น AI เป็นหลัก 

เห็นได้ชัดว่าปัญญาประดิษฐ์มีแนวโน้มว่าอยู่คู่โลกไปตลอดนับจากนี้ และ AI จะไม่ใช่แค่คำฮิตในการตลาดอีกต่อไป สัญญาณทั้งหมดบ่งชี้ว่า AI จะมีบทบาทสำคัญในกลยุทธ์การตลาดส่วนใหญ่ในปี 2025 และปีต่อๆ ไป ในความเป็นจริง ตามข้อมูลของ Statista มูลค่าตลาดของ AI ซึ่งอยู่ที่ 93,530 ล้านดอลลาร์ในปี 2021 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 190,610 ล้านดอลลาร์ในปี 2025
 
เครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วย AI เช่น ChatGPT Gemini และ Claude จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยการปรับแต่งเฉพาะบุคคล (Personalization) ในระดับที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยให้นักการตลาดสามารถปรับแต่งเนื้อหา คำแนะนำผลิตภัณฑ์ และประสบการณ์ของลูกค้าได้อย่างแม่นยำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และตามรายงานของ Forbes  AI Chatbot จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้นผ่านเว็บไซต์ ร้านค้า แอปพลิเคชัน และอุปกรณ์อัจฉริยะ ต่างๆ
 
ในไม่ช้า ประสบการณ์การบริการลูกค้าอาจพัฒนาไปโดยอาศัยแชทบ็อตที่สั่งงานด้วยเสียง เช่นเดียวกับการโต้ตอบด้วยแป้นพิมพ์ที่ใช้ในการโปรโมตผลิตภัณฑ์ เทคโนโลยีนี้จะไม่เพียงแต่ใช้ในการถ่ายทอดข้อมูลผลิตภัณฑ์เท่านั้นแต่ยังช่วยในกระบวนการขายอีกด้วย
 
อัลกอริทึม Machine Learning จะวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อคาดการณ์พฤติกรรมของผู้บริโภค ปรับการใช้จ่ายโฆษณาให้เหมาะสม และทำให้กระบวนการทางการตลาดที่ซับซ้อนเป็นอัตโนมัติ แนวทางที่เน้น AI เป็นหลักนี้จะไม่เพียงแค่ปรับปรุงประสิทธิภาพเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความคิดสร้างสรรค์อีกด้วย  AI สามารถช่วยให้นักการตลาด สร้างแนวคิด และเนื้อหาที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามีอนาคตที่น่าตื่นเต้นรออยู่อีกมากมายเมื่อพูดถึงความเป็นไปได้ของ AI ในการตลาด และการหาแนวทางในการผสานรวมสิ่งนี้เข้ากับกลยุทธ์การตลาดของคุณในตอนนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ
 

2. การเติบโตของ Voice Marketing

ในปี 2025 คาดว่าเราจะได้เห็นการเติบโตของ Voice Marketing ในอีกระดับอย่างแน่นอน เนื่องจากอุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียงได้กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในบ้านและที่ทำงาน การตลาดด้วยเสียงจึงกลายเป็นช่องทางสำคัญในการเข้าถึงผู้บริโภคภายในปี 2025 การปรับแต่งเนื้อหาสำหรับการค้นหาด้วยเสียงจะยิ่งมีความสำคัญมากขึ้นพอๆ กับ SEO หรือ แม้แต่ GEO ในปัจจุบัน รับรองได้ว่าอนาคตของการตลาดจะมีความสร้างสรรค์และน่าดึงดูดใจมากกว่าในปีที่ผ่านมา ด้วยการใช้อุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียง เช่น Alexa, Google Assist, Siri หรือแม้แต่ AI เชิงสนทนาจาก ChatGPT ตัวอย่างเช่น การใช้ลำโพงอัจฉริยะที่ลูกค้าจะสามารถสำรวจผลิตภัณฑ์หรือสนทนาผ่าน AI ได้อย่างง่ายดายจากทุกที่ภายในบ้าน
 
ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ต่างๆ จะต้องปรับเปลี่ยนข้อความให้สอดคล้องกับรูปแบบของภาษาสนทนาและเน้นไปที่การให้ข้อมูลที่มีคุณค่าและกระชับ ซึ่งสามารถถ่ายทอดได้อย่างง่ายดายผ่านผู้ช่วยเสียง นอกจากนี้ โฆษณาด้วยเสียงแบบโต้ตอบ ตลอดจนประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สั่งงานด้วยเสียงอาจสร้างโอกาสใหม่ๆ สำหรับการดึงดูดลูกค้าและขับเคลื่อน Conversion ในขณะที่เทคโนโลยีเสียงเริ่มเข้ามามีบทบาทเป็นตัวเลือกทางการตลาด ช่องทางใหม่ๆ เช่น พอดแคสต์และโฆษณาวิดีโอผ่าน TikTok และ Instagram Reels จะยังคงครองประสบการณ์การช้อปปิ้งต่อไป
 

3. เทคโนโลยีเสมือนจริงจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

เทคโนโลยีเสมือนจริงจะเปลี่ยนแปลงวิธีที่แบรนด์ต่างๆ โต้ตอบกับผู้บริโภค โดยมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำซึ่งลดขอบเขตระหว่างโลกดิจิทัลและโลกกายภาพลง ภายในปี 2025 คาดว่าเทคโนโลยี VR จะเป็นกระแสการตลาดที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นและได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยคาดว่าจะกลายเป็นอุตสาหกรรมที่มีมูลค่า 435 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2030
 
ดังนั้นแบรนด์ต่างๆ อาจต้องเริ่มสร้างโชว์รูมเสมือนจริง ซึ่งช่วยให้ลูกค้าสามารถสำรวจผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อม 3 มิติจากที่บ้านได้อย่างสะดวกสบาย ไม่เกินเลยจนเกินไปที่จะกล่าวว่ากิจกรรมเสมือนจริงและประสบการณ์แบรนด์เหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องมี ซึ่งจะช่วยให้บริษัทต่างๆ สามารถดึงดูดผู้ชมทั่วโลกได้โดยไม่มีข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์อีกต่อไป
 
เรียกได้ว่ากลยุทธ์การตลาดแบบเสมือนจริงจะกำหนดทิศทางของเทรนด์การตลาดในอนาคต และยอดขายจะพุ่งสูงขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดว่าผู้ผลิตยานยนต์และสมาร์ทโฟนกำลังสำรวจวิธีการต่างๆ ในการใช้ VR เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์การตลาดในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงไปสู่ ​​VR จะทำให้ผู้ทำการตลาดต้องคิดนอกกรอบเนื้อหาภาพและเสียงแบบเดิมๆ และพิจารณาถึงวิธีการสร้างประสบการณ์แบรนด์ที่ดื่มด่ำและหลากหลายเพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
 

4. เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

เราจะไม่สามารถมองข้ามพลังของเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (UGC) ที่แท้จริงได้ ซึ่งคาดว่าเนื้อหาลักษณะนี้จะก้าวไปถึงจุดสูงสุดภายในปี 2025 เนื่องจากผู้บริโภคยังคงให้ความสำคัญกับคำแนะนำจากเพื่อนมากกว่าโฆษณาแบบดั้งเดิม แบรนด์ต่างๆ จึงหันไปพึ่งพา UGC มากขึ้นเพื่อสร้างความไว้วางใจและดึงดูดการมีส่วนร่วม ด้วยความช่วยเหลือของเครื่องมือ AI ขั้นสูง นักการตลาดจะสามารถระบุและคัดเลือกเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ที่มีประสิทธิผลมากที่สุดบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ
 
ด้วยวิธีนี้ แบรนด์ต่างๆ มีแนวโน้มที่จะพัฒนากลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อส่งเสริมและจูงใจให้เกิด UGC ที่มีคุณภาพสูง ซึ่งจะทำให้ลูกค้าของพวกเขากลายมาเป็นเสมือน Brand Ambassador ที่กระตือรือร้น นอกจากนี้ การบอกต่อแบบปากต่อปากบนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจะยิ่งมีส่วนช่วยกระตุ้นยอดขายของธุรกิจต่างๆ ซึ่งแนวโน้มในอนาคตของการตลาดที่ใช้การโฆษณาออนไลน์ด้วยวิธีนี้จะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน และการเปลี่ยนแปลงนี้จะนำไปสู่ความสัมพันธ์แบบร่วมมือกันมากขึ้นระหว่างแบรนด์และผู้บริโภค โดยการตลาดจะกลายเป็นการสนทนาแบบสองทาง (Two-way communication) แทนที่จะเป็นการส่งข้อความเพียงฝ่ายเดียวแบบที่เคยเป็นมา
 

5. ช่องทางโซเชียลจะกลายเป็นอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่

ในปี 2025 และในปีต่อๆ ไป เรากำลังจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ นั้นกลายเป็นพื้นที่ดิจิทัลที่ครอบคลุมและขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ช่องทางอย่าง Facebook หรือ Instagram ถือเป็นช่องทางหลักสู่อินเทอร์เน็ตสำหรับผู้ใช้จำนวนมาก ณ ปี 2023 โดยมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียมากกว่า 5 พันล้านคนทั่วโลกและมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มขึ้นทุกปี คาดว่าในอนาคต “ซูเปอร์แอป” เหล่านี้ จะผสานรวมอีคอมเมิร์ซ ความบันเทิง ข่าวสาร และบริการสื่อสารเข้าด้วยกัน ทำให้กลายเป็นศูนย์กลางของประสบการณ์ดิจิทัลในชีวิตประจำวันของผู้บริโภค นักการตลาดจะต้องเชี่ยวชาญรูปแบบเนื้อหาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น วิดีโอสั้น สตอรี่ สตรีมสด โพสต์แบบโต้ตอบ เป็นต้น เพื่อรักษาการมองเห็นในส่วนต่างๆ ของซูเปอร์แอปเหล่านี้เอาไว้
 
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จำเป็นต้องใช้แนวทางแบบองค์รวมในการทำการตลาดโซเชียลมีเดีย ซึ่งครอบคลุมถึงการสร้างเนื้อหา การจัดการชุมชน การพาณิชย์ทางโซเชียล และการวิเคราะห์ข้อมูล แบรนด์ที่สามารถเป็นผู้นำบนแพลตฟอร์มโซเชียลที่ครอบคลุมเหล่านี้ได้สำเร็จจะได้รับประโยชน์อย่างมากในด้านการเข้าถึง การมีส่วนร่วม และความภักดีของลูกค้า
 

6. การเพิ่มขึ้นของ Sustainability Marketing 

แนวโน้มสำคัญอีกประการหนึ่งที่ส่งผลต่อภูมิทัศน์ทางการตลาดคือการเน้นย้ำถึงความยั่งยืนและความคิดริเริ่มที่ขับเคลื่อนด้วยจุดประสงค์มากขึ้น เนื่องมาจากผู้บริโภคยุคใหม่เริ่มตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น ด้วยการเรียกร้องให้แบรนด์ไม่เพียงแต่จัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังต้องแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
 
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้จะผลักดันให้เกิดการบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับกลยุทธ์หลักของแบรนด์มากขึ้น ตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ไปจนถึงการส่งข้อความและการดำเนินการแคมเปญ เราจะเห็นการเพิ่มขึ้นของการสื่อสารในห่วงโซ่อุปทานที่โปร่งใส ความคิดริเริ่มด้านบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และแคมเปญการตลาดที่เน้นย้ำถึงการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมของแบรนด์เพื่อบรรลุเป้าหมายด้านความยั่งยืน การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยจุดประสงค์น่าจะขยายออกไปนอกเหนือจากความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมเพื่อครอบคลุมถึงความยุติธรรมทางสังคม ความหลากหลายและการรวมกันเป็นหนึ่ง และการสนับสนุนจากชุมชน แบรนด์ที่สร้างความสอดคล้องกับสาเหตุที่มีความหมายอย่างแท้จริงจะได้รับความได้เปรียบในการแข่งขัน และจะสามารถสร้างความเชื่อมโยงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับผู้บริโภคที่มีค่านิยมร่วมกัน
 

7. Influencer Marketing จะเติบโตต่อเนื่อง

ในปี 2025 แนวโน้มของ Influencer Marketing จะยังคงเติบโตและมีการปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมและความคาดหวังของผู้บริโภค รวมถึงการพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยโฟกัสจะเน้นหนักไปที่คอนเทนต์ที่สมจริงและน่าเชื่อถือ เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มสนใจและต้องการคอนเทนต์ที่ให้ความรู้สึกจริงๆ มากกว่าคอนเทนต์ที่ดูประดิษฐ์ หรือมีลักษณะเป็นโฆษณาอย่างชัดเจน ดังนั้น Influencer จะหันมาเน้นการสร้างคอนเทนต์ที่แสดงถึงการใช้งานสินค้าหรือบริการในชีวิตประจำวันอย่างสมจริง และโปร่งใส เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค นอกจากนี้ Influencer ขนาดเล็ก (Micro และ Nano Influencer) จะเริ่มมีบทบาทมากขึ้นในโลกของการตลาด เนื่องจากพวกเขามักจะมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นและใกล้ชิดกับผู้ติดตาม ซึ่งสามารถส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่าการใช้ Influencer ที่มีชื่อเสียงอีกด้วย
 
ยิ่งไปกว่านั้น การใช้ AI และ Virtual Influencers จะเริ่มชัดเจนขึ้นในปีหน้า เนื่องจาก Virtual Influencers ที่สร้างจาก AI กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้น เพราะเป็นวิธีที่แบรนด์สามารถควบคุมคอนเทนต์และภาพลักษณ์ได้ทั้งหมด ทั้งยังสามารถสร้างคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็วและหลากหลาย ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ ให้กับผู้ติดตามได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 
ปีหน้าแพลตฟอร์มที่เน้นเนื้อหาสั้นอย่าง TikTok, YouTube Shorts และ Reels จะยังคงเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าคอนเทนต์สั้นจะเป็นรูปแบบของเนื้อหาที่สามารถดึงดูดความสนใจและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และเมื่อพูดถึงความแม่นยำในการวัดผลในอนาคต การวัดผลจาก Influencer Marketing จะมีความชัดเจนและมีมาตรฐานมากขึ้น บริษัทต่างๆ จะใช้ข้อมูลเชิงลึกและการวิเคราะห์ที่แม่นยำเพื่อวัด ROI และกำหนดกลยุทธ์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
 
และประเด็นสำคัญที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ Social Commerce จะกลายเป็นวิธีหลักในการขายสินค้าผ่านโซเชียลมีเดีย แพลตฟอร์มต่าง ๆ จะเริ่มสนับสนุนการซื้อขายโดยตรงผ่านช่องทางของ อินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งทำให้ผู้บริโภคสามารถซื้อสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องออกไปจากแอปพลิเคชัน และสำหรับผู้บริโภคยุคใหม่ที่คาดหวังประสบการณ์ที่เป็นมากกว่าการขาย แน่นอนว่าเราจะได้เห็น อินฟลูฯ จำนวนมาก หันมาเน้นการสร้างประสบการณ์ร่วม เช่น การจัดกิจกรรมออนไลน์ หรือไลฟ์สตรีม เพื่อที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์กับแฟน ๆ ได้อย่างใกล้ชิดมากยิ่งขึ้นนั่นเองครับ
 

แหล่งที่มา :

https://www.oppizi.com

https://mediatool.com

https://brandsatplayllc.com   

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *