Marketing Strategy – เมื่อเราใกล้จะก้าวเข้าสู่ปี 2025 ที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคอาจเปลี่ยนแปลงไปอีกระดับ ที่จะส่งผลให้เทรนด์การใช้กลยุทธ์การตลาดพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว นักการตลาดที่ต้องการก้าวนำหน้าไม่ใช่แค่ต้องปรับตัวให้ทันต่อความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น แต่ต้องมีการคาดการณ์เทรนด์ล่วงหน้าด้วยเพราะสิ่งนี้หมายถึงโอกาสสำหรับธุรกิจที่ต้องการเชื่อมต่อกับกลุ่มเป้าหมายด้วยวิธีการใหม่ๆ ที่มีความหมาย ด้วยการทำความเข้าใจเทรนด์ที่จะเติบโตในปีหน้าจะช่วยให้นักการตลาดสามารถวางตำแหน่งตัวเองให้อยู่แถวหน้าและขับเคลื่อนความสำเร็จในโลกดิจิทัลที่ซับซ้อนมากขึ้นทุกวันได้
ภาพรวมของ Marketing Strategy ปี 2024
9 ภาพรวมของ Marketing Strategy ปี 2024
ภาพรวมของ กลยุทธ์การตลาดในปี 2024 มีการพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองต่อโลกที่เน้นดิจิทัลเป็นอันดับแรกมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าแบรนด์ต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งส่วนบุคคล (Personalization) ระบบอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดย AI ประสบการณ์ที่ดื่มด่ำ (Immersive) ตลอดจนแนวทางที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน และประเด็นของความยั่งยืน (Sustainability) และอื่นๆ อย่างไรก็ตาม เรามาเจาะลึกเทรนด์และกลยุทธ์สำคัญๆ บางส่วนโดยละเอียดตลอดปี 2024 ที่ผ่านมากันดีกว่าครับ ว่ามีกลยุทธ์ใดบ้างที่แบรนด์ต่างๆ นำมาใช้เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแพร่หลาย
1. Marketing Strategy เน้นการปรับแต่งตามขนาด
ในปี 2024 นักการตลาดใช้การปรับแต่งตามขนาดที่ขับเคลื่อนด้วย AI มากขึ้นเพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของผู้บริโภค แนวทางนี้ช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลให้กับกลุ่มเป้าหมายจำนวนมากได้โดยไม่ละทิ้งการสัมผัสแบบเฉพาะบุคคลที่ผู้บริโภคคาดหวัง ด้วยประโยชน์จากการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เพื่อให้คำแนะนำเกี่ยวกับความต้องการส่วนบุคคลที่ช่วยลดอัตราการส่งคืนสินค้าได้อย่างมีนัยสำคัญ ตลอดจนช่วยปรับปรุงความพึงพอใจของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น การซื้อเสื้อผ้าของผู้บริโภคที่แบรนด์ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น Digital Twin ซึ่งแสดงให้เห็นว่านักการตลาดยุคใหม่พร้อมสร้างประสบการณ์การช้อปปิ้งที่เป็นส่วนตัว มีประสิทธิภาพ และน่าพอใจมากยิ่งขึ้นให้แก่ผู้บริโภค ทั้งนี้เพื่อตอบสนองความต้องการของแต่ละบุคคลโดยเฉพาะ
2. AI และ Marketing Automation
เชื่อว่าทุกคนคงได้เห็นการเติบโตของ Tools ต่างๆ ที่ขับเคลื่อนด้วย AI โดยเฉพาะแนวทางในการสร้างเนื้อหา ซึ่งพึ่งพา Gen AI ในการสร้างภาพ ข้อความ วิดีโอ และแม้แต่เสียงด้วยปริมาณและคุณภาพสูง จุดนี้เองที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสร้างเนื้อหาที่คุ้มต้นทุน ซึ่งเป็นเนื้อหาที่ปรับแต่งให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายบนแพลตฟอร์มต่างๆ ได้ ซึ่งมีส่วนช่วยทำให้การตลาดแบบ Omni Channel ราบรื่นยิ่งขึ้น รวมไปถึง Chatbots ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่กำลังก้าวล้ำมากขึ้น ที่สามารถจัดการในด้านการสนับสนุนลูกค้า การขาย และการให้คำแนะนำโดยมนุษย์ไม่ต้องเข้ามาแทรกแซง ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการมีส่วนร่วมของกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการรักษาลูกค้าได้ดีขึ้นเนื่องจากการตอบสนองที่รวดเร็ว โต้ตอบได้ และเป็นประโยชน์นอกจากนี้ แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ AI สำหรับการวิเคราะห์เชิงทำนาย (Predictive Analytics) เพื่อคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าโดยอิงจากพฤติกรรมปัจจุบันและในอดีต ซึ่งช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถคาดการณ์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตได้ ทำให้พวกเขาสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์และโซลูชันต่างๆ แก่ลูกค้าในเชิงรุกได้อย่างแม่นยำมากยิ่งขึ้นนั่นเอง
3. Marketing Strategy เน้นประสบการณ์แบบ Immersive
ในปีที่ผ่านมาแบรนด์ต่างๆ เริ่มนำ Immersive Marketing มาใช้ ด้วยการพึ่งพาเทคโนโลยี AR และ VR เพื่อมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ดื่มด่ำให้กับลูกค้า ตัวอย่างเช่น แบรนด์แฟชั่นเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถลองสวมเสื้อผ้าได้แบบเสมือนจริง ในขณะที่บริษัทเฟอร์นิเจอร์ให้ผู้ใช้มองเห็นผลิตภัณฑ์ในบ้านของตนได้ผ่านเทคโนโลยี AR ก่อนการตัดสินใจซื้อ รวมไปถึงวิดีโอแบบโต้ตอบ ที่ให้ผู้ใช้คลิกและซื้อสินค้าได้ภายในวิดีโอนั้นๆ ยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น ซึ่งแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยักษ์ใหญ่อย่าง TikTok และ Instagram กำลังนำฟีเจอร์วิดีโอที่ซื้อได้มาใช้ ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเพิ่มยอดขายโดยตรงจากเนื้อหาวิดีโอได้อย่างง่ายดายนอกจากนี้ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียยังช่วยให้แบรนด์ต่างๆ สามารถสตรีมสดด้วยฟีเจอร์การช้อปปิ้งแบบบูรณาการ ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ของตนได้แบบเรียลไทม์ อีกทั้งยังสามารถโต้ตอบกับลูกค้าเพื่อนำเสนอตัวเลือกการซื้อได้อย่างทันท่วงที
4. Marketing Strategy เน้นเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้ (UGC)
แบรนด์ต่างๆ มุ่งเน้นไปที่การสร้างคอมมูนตี้ที่ภักดีต่อผลิตภัณฑ์ของตนมากขึ้น ซึ่งเป็นคอมมูนิตี้ที่เป็นเสมือนศูนย์รวมของเนื้อหาที่สร้างขึ้นโดยผู้ใช้ การสนทนาและข้อเสนอแนะช่วยให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์มากขึ้น นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา Influencer Marketing ยังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามแทนที่แบรนด์จะร่วมงานกันอิฟลูฯรายใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่แบรนด์จำนวนมากกำลังให้ความสำคัญกับอินฟลูเอนเซอร์ขนาดเล็ก อาทิ Micro Influencer ซึ่งมักจะมีอัตราการมีส่วนร่วมจากผู้ติดตามที่สูงกว่าและเป็นกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะกลุ่มมากกว่าและที่สำคัญอินฟลูฯ เหล่านี้ สามารถเพิ่มความน่าเชื่อถือและความเกี่ยวข้องให้กับข้อความของแบรนด์ได้เป็นอย่างดีที่สำคัญเราจะเห็นได้ว่าบริษัทต่างๆ ได้ผสานรวมโปรแกรมความภักดีเข้ากับเนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้อย่างแพร่หลาย ซึ่งลูกค้าจะได้รับคะแนนสำหรับการแบ่งปันประสบการณ์เกี่ยวกับแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย การรีวิวผลิตภัณฑ์หรือเข้าร่วมกิจกรรมของแบรนด์
5. ความยั่งยืนและความรับผิดชอบต่อสังคม
ทุกวันนี้ ผู้บริโภคเรียกร้องให้แบรนด์ต่างๆ ดำเนินธุรกิจตามแนวทางที่ยั่งยืน หรือ Sustainability มากขึ้น ซึ่งแบรนด์ทั้งหลายก็ได้สนองตอบด้วยการเน้นย้ำถึงความยั่งยืนต่างๆ เช่น ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ความคิดริเริ่มที่เป็นกลางทางคาร์บอน ตลอดจนห่วงโซ่อุปทานที่รับผิดชอบ เป็นต้น ซึ่งความโปร่งใสในกระบวนการผลิตและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมของแบรนด์ต่างๆ เหล่านี้ ถือเป็นส่วนสำคัญของการตลาดในปัจจุบันอย่างปฏิเสธไม่ได้ นอกเหนือจากความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมแล้ว แบรนด์ต่างๆ ยังมุ่งเน้นไปที่การค้าที่เป็นธรรม ความหลากหลาย และแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องตามจริยธรรม รวมไปถึงแคมเปญที่ส่งเสริมความหลากหลายในการจ้างงาน การโฆษณา ซึ่งสามารถสะท้อนถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความใส่ใจต่อสังคมได้เป็นอย่างดี
6. การตลาดแบบ Omnichannel
ปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์ที่สอดคล้องกันในทุกจุดสัมผัส ตั้งแต่โซเชียลมีเดียไปจนถึงอีเมลตลอดจนหน้าร้านค้าจริง แบรนด์ต่างๆ กำลังใช้ระบบ CRM และ AI เพื่อเชื่อมโยงจุดเหล่านี้เหล่านี้ให้เป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับข้อความที่สอดคล้องกันทุกที่ที่โต้ตอบกัน ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ที่สั่งงานด้วยเสียงและการค้นหาภาพ แบรนด์ต่างๆ กำลังเพิ่มประสิทธิภาพให้กับเนื้อหาของตนเพื่อรองรับรูปแบบการค้นหาเหล่านี้ การค้นหาด้วยเสียงมีชุดการพิจารณาการเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาของตัวเอง โดยเน้นที่ภาษาสนทนาในขณะที่การค้นหาภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการค้นพบผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกของอีคอมเมิร์ซ
7. การตลาดเชิงประสบการณ์
นักการตลาดใช้ประโยชน์จากการตลาดเชิงประสบการณ์ หรือ Experiential Marketing มากขึ้นในปี 2024 เพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่น่าจดจำและดื่มด่ำกับผู้บริโภค แนวทางนี้มุ่งเน้นไปที่การดึงดูดลูกค้าผ่านประสบการณ์ที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงทางอารมณ์ แทนที่จะพึ่งพาการโฆษณาแบบดั้งเดิมเท่านั้น โดยแบรนด์ต่างๆ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ส่วนบุคคลที่ปรับแต่งตามความต้องการของแต่ละบุคคล โดยการใช้การวิเคราะห์ข้อมูลและข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคเพื่อสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ไม่เหมือนใครซึ่งสะท้อนกับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น แบรนด์อีคอมเมิร์ซใช้แบบทดสอบแบบโต้ตอบเพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของผู้ใช้ เป็นต้น
8. การตลาดในพื้นที่เฉพาะ
แบรนด์ต่างๆ มีการดำเนินแคมเปญเฉพาะท้องถิ่นหรือแคมเปญในพื้นที่เฉพาะ (Local Marketing) มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อจัดการกับความแตกต่างทางวัฒนธรรม เทรนด์ในพื้นที่และความชอบเฉพาะในภูมิภาคต่างๆได้ผลดีเป็นพิเศษในตลาดขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลาย ซึ่งการส่งข้อความแบบเหมารวมเหมือนที่เคยอาจใช้ไม่ได้ผล โฆษณาที่ปรับให้เหมาะกับบริบทของสถานการณ์ปัจจุบันของลูกค้ากำลังได้รับความนิยมมากขึ้น โฆษณาเหล่านี้ได้รับข้อมูลจากข้อมูลแบบเรียลไทม์ เช่น สภาพอากาศ สถานที่ หรือเวลา โดยให้เนื้อหาที่เกี่ยวข้องและทันท่วงที
9. โมเดลการสมัครสมาชิก
โมเดลการสมัครสมาชิก (Subscription Business Model) ที่เสนอการจัดส่งซ้ำ การเข้าถึงแบบพิเศษ หรือเนื้อหาแบบพรีเมียมกำลังเติบโต สิ่งเหล่านี้สร้างกระแสรายได้ที่คาดเดาได้ ในขณะที่ยังสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยแบรนด์ต่างๆ ได้ให้ความสำคัญกับการรวบรวมและนำคำติชมของลูกค้าไปปฏิบัติอย่างแข็งขันเพื่อปรับปรุงผลิตภัณฑ์และบริการ ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่าและมีส่วนร่วม ข้อเสนอที่ปรับแต่งส่วนบุคคล ประโยชน์จากความภักดีที่กำหนดเป้าหมาย และแรงจูงใจในการรักษาลูกค้าจะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีก
7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025 ที่น่าจับตา
7 เทรนด์ Marketing Strategy ปี 2025 ที่น่าจับตา
1. Marketing Strategy กับแนวทางที่เน้น AI เป็นหลัก
2. การเติบโตของ Voice Marketing
3. เทคโนโลยีเสมือนจริงจะได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
4. เนื้อหาที่สร้างโดยผู้ใช้จะมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
5. ช่องทางโซเชียลจะกลายเป็นอินเทอร์เน็ตรูปแบบใหม่
6. การเพิ่มขึ้นของ Sustainability Marketing
7. Influencer Marketing จะเติบโตต่อเนื่อง
แหล่งที่มา :