ส่องเทรนด์ E-Commerce 2025 มีอะไรที่น่าจับตาและต้องอัปเดตบ้าง?

E-Commerce

วันนี้ Talka จะมาพูดถึงเทรนด์อีคอมเมิร์ซ ปี 2025 ที่คาดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ โดยมีเทรนด์สำคัญที่ผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เรามาดูไปพร้อมกันครับว่าในปีที่ผ่านมามีเทรนด์อะไรที่โดดเด่น และในปีหน้าจะมีเทรนด์อะไรที่นักการตลาดควรให้ความสำคัญบ้าง

สรุปเทรนด์ E-Commerce 2024

สรุปเทรนด์ E-Commerce 2024

ภาพรวมของเทรนด์ E-Commerce ในประเทศไทยในปี 2024 แสดงให้เห็นถึงการเติบโต และการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในตลาด โดยมีเทรนด์ที่น่าสนใจหลายประการ โดยภาพรวมของเทรนด์หลักของ E-Commerce ในปีที่ผ่านมาที่เห็นได้ชัดเจน คือ 

 

1. การเติบโตของ Social Commerce

ปีที่ผ่านมา Social Commerce หรือ การค้าบนโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook, Instagram และ TikTok ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากหันมาซื้อสินค้าผ่านแพลตฟอร์มเหล่านี้เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ด้วยการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค การใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น และแนวโน้มใหม่ๆ ที่ช่วยส่งเสริมประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ ทำให้ผู้ประกอบการต่างต้องปรับตัวอย่างหนักเพื่อแข่งขันในตลาดที่กำลังขยายตัวนี้ ซึ่งข้อมูลจากสมาคม E-Commerce ไทย ชี้ให้เห็นว่าผู้บริโภคชาวไทยซื้อสินค้าผ่าน Social Commerce เป็นอันดับที่ 1 ของโลก โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าความงาม และผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคล ในปี 2024 มูลค่าตลาด Social Commerce เติบโตขึ้นเป็น 28% ของมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหมดในประเทศไทย ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 22% ในปี 2022

2. ประสบการณ์การช้อปปิ้งส่วนบุคคล

ในปี 2024 ประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบเฉพาะบุคคลในประเทศไทยพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตนี้ คือ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยี AI ได้กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการกำหนดประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลและความชอบของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำทำให้สามารถแนะนำผลิตภัณฑ์แบบเฉพาะบุคคลและโฆษณาแบบตรงเป้าหมายได้

นอกจากนี้ บริษัทต่างๆ กำลังใช้ประโยชน์จาก Big Data มากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเข้าถึงข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งช่วยให้เข้าใจรูปแบบและความชอบในการซื้อ ส่งผลให้การช้อปปิ้งแบบเฉพาะบุคคลเติบโต ความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้รับการปรับปรุงช่วยให้ผู้ค้าปลีกสามารถสร้างแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคลที่ตรงใจผู้บริโภคแต่ละคนได้ที่สำคัญ แนวโน้มของ Hyper-Personalization ได้รับความนิยมมากขึ้นในปีที่ผ่านมา โดยแบรนด์ต่างๆ ไม่เพียงแค่ปรับแต่งข้อเสนอแต่ยังปรับแต่งประสบการณ์การช้อปปิ้งทั้งหมดตาม Customer Journey ของลูกค้าแต่ละราย ซึ่งรวมถึงเนื้อหาที่ปรับแต่งเฉพาะบุคคล ไปจนถึงข้อเสนอแนะผลิตภัณฑ์ และกลยุทธ์ด้านราคาที่ปรับเปลี่ยนตามเวลาจริงตามปฏิสัมพันธ์ของผู้บริโภค

3. การจัดส่งที่รวดเร็ว

ความต้องการในการจัดส่งสินค้าที่รวดเร็วกำลังเพิ่มสูงขึ้น ผู้บริโภคชาวไทยต้องการเวลาในการจัดส่งที่เร็วขึ้น หลายคนคาดหวังว่าจะได้รับคำสั่งซื้อภายในหนึ่งวันหรือไม่กี่ชั่วโมงหลังจากซื้อ แนวโน้มนี้ขับเคลื่อนโดยความสะดวกสบายในการช้อปปิ้งออนไลน์และความต้องการความพึงพอใจในทันที คาดว่าตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยจะเติบโตสูงถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ภายในปี 2028 ซึ่งบริการจัดส่งด่วนจะกลายเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของการเติบโตนี้ เนื่องจากช่วยเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้าซึ่งจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้ในที่สุดในช่วงที่ผ่านมาเราได้เห็นผู้เล่นหลักๆ ในตลาดอีคอมเมิร์ซ อย่าง Lazada ขยายบริการจัดส่งแบบเร่งด่วนให้ครอบคลุม 23 จังหวัดหลักในประเทศไทยโดยลูกค้าสามารถรับสินค้าได้ในวันถัดไปหลังจากทำการสั่งซื้อ

บริการนี้ใช้เทคโนโลยีโลจิสติกส์ขั้นสูงและระบบคัดแยกอัตโนมัติที่ศูนย์โลจิสติกส์แห่งใหม่ ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการปฏิบัติตามคำสั่งซื้อ นอกจากนี้ผู้เล่นหลักอีกเจ้าอย่าง Shopee ก็กำลังเข้าสู่การแข่งขันอย่างเข้มข้นในพื้นที่โลจิสติกส์ ด้วยตัวเลือกการจัดส่งแบบด่วนของตนเอง เพื่อให้แน่ใจว่าลูกค้าจะได้รับสินค้าที่สั่งซื้อไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งการแข่งขันระหว่างผู้เล่นเจ้าหลักๆ นี้เองที่ช่วยส่งเสริมนวัตกรรมและปรับปรุงบริการการจัดส่งในทุกๆ ด้านของอุตสาหกรรมนี้

4. การไลฟ์สดขายสินค้าบน TikTok

การช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมในประเทศไทยได้เปลี่ยนโฉมหน้าอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซได้อย่างรวดเร็วในปี 2024 ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ขับเคลื่อนโดยแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ที่สามารถผสมผสานความบันเทิงเข้ากับการค้า (Shoppertainment) ได้อย่างมีประสิทธิภาพเรียกได้ว่า TikTok สามารถปฏิวัติวิธีที่ผู้บริโภคมีส่วนร่วมกับอีคอมเมิร์ซได้อย่างลงตัวโดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2024 TikTok Shop เติบโตอย่างน่าทึ่ง ถึง 500% ในมูลค่าสินค้ารวม (GMV) ด้วยการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีม ซึ่งการเพิ่มขึ้นนี้เหมือนเป็นการเน้นย้ำถึงประสิทธิภาพของแพลตฟอร์มนี้ในการเปลี่ยนผู้ชมให้กลายเป็นผู้ซื้อระหว่างเซสชั่นสด โดยผู้ใช้ TikTok ประมาณ 80% มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าโดยตรงจาก TikTok Shop แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งระหว่างการมีส่วนร่วมบนโซเชียลมีเดียและพฤติกรรมการซื้อ

โดยเฉพาะในช่วงอีเวนต์ใหญ่ๆ ยอดขายผ่านการไลฟ์สตรีมเพิ่มขึ้นถึง 140% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นระหว่างแคมเปญส่งเสริมการขายการผสานรวมความบันเทิงกับการช้อปปิ้งจะกลายเป็นเทรนด์ที่สำคัญทั้งวันนี้และอนาคตเพราะไลฟ์สตรีมไม่เพียงแต่ทำหน้าที่เป็นช่องทางการขายเท่านั้น แต่ยังดึงดูดผู้ใช้ผ่านเนื้อหาที่ให้ความบันเทิงทำให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งสนุกสนาน และโต้ตอบได้มากขึ้น คาดว่าแนวโน้มของการช้อปปิ้งผ่านไลฟ์สตรีมจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า เนื่องจากผู้บริโภคจำนวนมากเริ่มคุ้นเคยกับวิธีการช้อปปิ้งแบบนี้ การผสานรวมฟีเจอร์ขั้นสูงและประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้นน่าจะช่วยส่งเสริมการเติบโตนี้ต่อไป 

5. การค้าแบบไร้พรมแดน

ความก้าวหน้าของอีคอมเมิร์ซ และการมีส่วนร่วมของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้การค้าไร้พรมแดนของประเทศไทย ผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์เติบโตอย่างต่อเนื่อง ตลาดอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยเติบโต 13.7% โดยมีมูลค่าประมาณ 66.7 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้นจาก 58.7 พันล้านดอลลาร์ ในปี 2023 แพลตฟอร์มออนไลน์กลายมาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมข้ามพรมแดน การเติบโตของอีคอมเมิร์ซทำให้ธุรกิจของไทยสามารถเข้าถึงตลาดต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยใช้ประโยชน์จากช่องทางดิจิทัลสำหรับการขาย และการตลาด นอกจากนี้ การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงศูนย์ข้อมูลที่รองรับ AI มีส่วนปรับปรุงประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์และการดำเนินงานสำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนธุรกรรมข้ามพรมแดนที่รวดเร็วและเชื่อถือได้มากขึ้น

6. การค้าปลีกแบบ Omni-Channel 

ปี 2024 การขายปลีกแบบ Omni-Channel เติบโตอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งขับเคลื่อนโดยความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ผู้ค้าปลีกกำลังนำกลยุทธ์ Omni-Channel มาใช้มากขึ้น ซึ่งผสมผสานประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างลงตัว แนวทางนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ต่างๆ ได้บนแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งเพิ่มความสะดวกและความพึงพอใจ ปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยมีแนวโน้มที่จะใช้ทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ในการซื้อสินค้า โดย 59% ของคนไทยหาข้อมูลออนไลน์ก่อนจะซื้อสินค้าออฟไลน์ และ 53% ดูสินค้าจากหน้าร้านก่อนจะซื้อออนไลน์  

และด้วยแนวโน้มของการใช้แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียสำหรับการช้อปปิ้งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากชอบค้นหาและซื้อสินค้าผ่าน TikTok และ Instagram ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยยกระดับประสบการณ์แบบ Omni-Channel ด้วยการผสานความบันเทิงเข้ากับการช้อปปิ้ง ซึ่งผู้ค้าปลีกหลายรายกำลังมุ่งเน้นไปที่การปรับแต่งประสบการณ์ของลูกค้า โดยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อปรับแต่งความพยายามทางการตลาดและคำแนะนำผลิตภัณฑ์ให้เหมาะกับความชอบส่วนบุคคล 

7. Influencer Marketing

การตลาดผ่านผู้มีอิทธิพลยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และกำลังกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของกลยุทธ์ของแบรนด์ โดย 69% ของแบรนด์วางแผนที่จะเพิ่มงบประมาณการตลาดแบบมีอิทธิพล การเติบโตของการตลาดแบบอินฟลูฯ นั้นขับเคลื่อนโดยการผสมผสานระหว่างปริมาณการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตที่สูงขึ้น ตลอดจนความนิยมที่เพิ่มขึ้นของโซเชียลมีเดียและประสิทธิภาพของอินฟลูเอนเซอร์ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าแฟชั่นและความงาม ปัจจุบันผู้บริโภคชาวไทยจำนวนมากนิยมเลือกซื้อสินค้าตามคำแนะนำจากอินฟลูเอนเซอร์ โดย 81% ได้ทำการซื้อสินค้าตามคำแนะนำของอินฟลูฯ แพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับการตลาดแบบผู้มีอิทธิพลในประเทศไทย ได้แก่ TikTok YouTube และ Facebook ซึ่งรูปแบบวิดีโอสั้น (1.5 ถึง 2 นาที) มีประสิทธิผลเป็นพิเศษในการดึงดูดผู้ชม

เทรนด์ E-Commerce 2025 ที่น่าจับตา

เทรนด์ E-Commerce 2025 ที่น่าจับตา
ตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศไทยกำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2025 เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 23,400 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2022 การเติบโตนี้ขับเคลื่อนโดยปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของผู้บริโภค ความก้าวหน้าด้านกฎระเบียบ และพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป นักการตลาดที่ต้องการใช้ประโยชน์จากตลาดที่กำลังขยายตัวนี้ควรติดตามแนวโน้มที่สำคัญดังนี้ครับ
 

1. อีคอมเมิร์ซบนมือถือจะครองตลาด

คาดว่าการเป็นเจ้าของสมาร์ทโฟนจะสูงถึง 84% ภายในปี 2026 อีคอมเมิร์ซบนมือถือจึงกลายเป็นช่องทางหลักสำหรับการช้อปปิ้งออนไลน์ ยอดขายออนไลน์มากกว่า 80%ในประเทศไทยเกิดขึ้นบนอุปกรณ์พกพา ซึ่งเน้นย้ำถึงความจำเป็นของประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ปรับให้เหมาะกับอุปกรณ์พกพา นอกจากนี้ กระเป๋าสตางค์บนมือถือยังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดยคิดเป็น 23% ของธุรกรรมทั้งหมด ซึ่งบ่งชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงไปสู่โซลูชันการชำระเงินแบบดิจิทัลที่นักการตลาดต้องผสานรวมเข้ากับกลยุทธ์ของตน การเสนอวิธีการชำระเงินที่หลากหลาย เช่น กระเป๋าสตางค์ดิจิทัล การชำระเงินด้วย QR Code จึงมีความจำเป็น นักการตลาดควรตรวจสอบให้แน่ใจว่ากระบวนการชำระเงินของตนนั้นมีความปลอดภัย ใช้งานง่าย และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค หากเป็นไปได้การนำส่วนลดหรือรางวัลมาใช้กับลูกค้าที่ใช้ช่องทางการชำระเงินเฉพาะน่าจะเป็นกลยุทธ์ที่สามารถกระตุ้นยอดขายให้กับธุรกิจได้อีกทางหนึ่ง
 

2. การเพิ่มขึ้นของ Shoppertainment

เทรนด์ “Shoppertainment” ที่ผสมผสานการช้อปปิ้งเข้ากับความบันเทิงกำลังได้รับความนิยมมากขึ้น แนวทางนี้ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังกระตุ้นยอดขายผ่านเนื้อหาเชิงโต้ตอบ หรือ Interactive Content เช่น สตรีมสดและวิดีโอสั้นอีกด้วย นอกจากนี้การตลาดแบบอินฟลูฯ จะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยครีเอเตอร์มากกว่า 3 ล้านคนในประเทศไทยใช้ประโยชน์จากแพลตฟอร์มอย่าง TikTok เพื่อการพาณิชย์ในรูปแบบ Shoppertainment ดังนั้นนักการตลาดจึงควรพิจารณาความร่วมมือกับผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มประชากรที่อายุน้อยกว่า โดยเฉพาะ Gen Z ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

3. การเติบโตของอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

นักช้อปออนไลน์ชาวไทยเกือบครึ่งหนึ่งซื้อสินค้าจากผู้ขายต่างประเทศ โดยเฉพาะจากจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น แนวโน้มนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการปรับกลยุทธ์การตลาดเพื่อรองรับผู้บริโภคข้ามพรมแดนและการรับรองการปฏิบัติตามกฎระเบียบระหว่างประเทศ เนื่องจากการซื้อของข้ามพรมแดนเติบโต นักการตลาดจึงควรปรับกลยุทธ์ให้เหมาะกับตลาดต่างๆ โดยปรับเนื้อหาและโปรโมชันให้เหมาะกับท้องถิ่น ซึ่งรวมถึงการแปลคำอธิบายผลิตภัณฑ์ ปรับเปลี่ยนข้อความทางการตลาด และทำความเข้าใจพฤติกรรมของผู้บริโภคในท้องถิ่นนั้นๆ ที่สำคัญควรสร้างความไว้วางใจกับลูกค้าต่างประเทศ เช่น การนำเสนอนโยบายการคืนสินค้าที่ชัดเจน บริการลูกค้าในภาษาของท้องถิ่น และข้อมูลการจัดส่งที่โปร่งใส ซึ่งกลยุทธ์ต่างๆ เหล่านี้ตะสามารถบรรเทาความกังวลของผู้ซื้อสินค้าข้ามพรมแดนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
 

4. เน้นการปรับแต่งเฉพาะบุคคล

ภายในปี 2025 การผสานรวมการวิเคราะห์ข้อมูลและ AI เข้ากับกลยุทธ์อีคอมเมิร์ซจะเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งที่ปรับแต่งได้ซึ่งตรงตามความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้บริโภค ผู้ค้าปลีกที่นำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้จะไม่เพียงแต่เพิ่มความพึงพอใจของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันกันสูงอีกด้วย การมุ่งเน้นที่การปรับแต่งให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย การมีส่วนร่วมที่ได้รับการปรับปรุงผ่านการพาณิชย์เชิงสนทนา ฟังก์ชันการค้นหาที่ได้รับการปรับปรุง การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์สำหรับการจัดการสินค้าคงคลัง กลยุทธ์การกำหนดราคาแบบไดนามิก และระบบโลจิสติกส์ที่เหมาะสมที่สุด จะช่วยกำหนดการดำเนินการอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จในอนาคต
 

5. ความคิดริเริ่มด้าน Sustainability

ความตระหนักรู้ทั่วโลกเกี่ยวกับความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเมื่อผู้บริโภคมีความตระหนักรู้ต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น กลยุทธ์การตลาดที่เน้นถึงแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนจะได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการนำแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้กับการดำเนินการอีคอมเมิร์ซจึงมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย นักการตลาดควรเน้นย้ำผลิตภัณฑ์และแนวทางปฏิบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ การให้ข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการจัดหาและการผลิตสามารถเพิ่มความไว้วางใจของผู้บริโภคได้ แบรนด์ที่สื่อสารถึงความพยายามด้านความยั่งยืนอย่างมีประสิทธิผลมีแนวโน้มที่จะดึงดูดฐานลูกค้าที่ภักดีได้
 

6. SMEs จะเข้าสู่อีคอมเมิร์ซมากขึ้น

รัฐบาลไทยมีนโยบายสนับสนุนวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) อย่างแข็งขันเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อีคอมเมิร์ซผ่านโปรแกรมต่างๆ ที่มุ่งเป้าไปที่การพัฒนาทักษะและความสามารถด้านดิจิทัล กฎระเบียบที่ส่งเสริมการเข้าถึงเครื่องมือดิจิทัลและแพลตฟอร์มในราคาที่เอื้อมถึงสามารถช่วยให้ SMEs สร้างสถานะออนไลน์ได้ ซึ่งรวมถึงเงินอุดหนุนหรือแรงจูงใจทางภาษีสำหรับการนำเทคโนโลยีมาใช้ ดังนั้นนักการตลาดควรปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับแผนริเริ่มเหล่านี้เพื่อเจาะตลาด SMEs ที่กำลังเติบโต โดยมีการวิจัยที่ระบุว่า SMEs ที่นำอีคอมเมิร์ซมาใช้สามารถเห็นการเติบโตของรายได้สูงถึง 370% เมื่อยอดขายออนไลน์คิดเป็นมากกว่า 80% ของรายได้ทั้งหมด 
 
การเปลี่ยนแปลงนี้ไม่เพียงแต่ส่งเสริมประสิทธิภาพของธุรกิจแต่ละรายเท่านั้น แต่ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโดยรวม ที่สำคัญ การลดความซับซ้อนของกฎระเบียบเกี่ยวกับอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดนสามารถเปิดตลาดใหม่ให้กับ SMEs ของไทย ทำให้สามารถเข้าถึงลูกค้าต่างประเทศได้ง่ายขึ้น ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญเนื่องจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คาดว่าจะมีส่วนแบ่งที่สำคัญของอีคอมเมิร์ซทั่วโลก 
 
ในปี 2025 อีคอมเมิร์ซจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและน่าจับตามอง โดยมีเทรนด์สำคัญที่ผู้ประกอบการและนักการตลาดควรให้ความสนใจเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างต่อเนื่อง เทรนด์เหล่านี้รวมถึงการใช้เทคโนโลยี AI ที่ช่วยให้ประสบการณ์การช้อปปิ้งเป็นไปอย่างเฉพาะบุคคลมากขึ้น การเติบโตของ Social Commerce ที่เชื่อมโยงการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย และแนวทาง Mobile First ที่ทำให้การเข้าถึงสินค้า และบริการผ่านมือถือเป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ การสร้างประสบการณ์แบบ Omnichannel ที่เชื่อมโยงทั้งช่องทางออนไลน์และออฟไลน์จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า ในขณะที่ความยั่งยืน และการรักษาสิ่งแวดล้อมก็จะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินธุรกิจ ดังนั้น การติดตามและปรับตัวตามเทรนด์เหล่านี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามเพื่อสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีการแข่งขันสูงในอนาคต
 
 

บทความแนะนำ

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *